กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 306 รักร้าวใจสลาย (ตอนจบ) (2)
“ไม่เจอกันหลายเดือน ยามนี้พบกันอีกครั้ง เจิ้นหนิงอ๋องก็กลายเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเฉิงแล้ว! ขอแสดงความยินดีด้วย!” หลางฉ่างก้าวเดินเข้ามาข้างใน ประสานมือคารวะ กล่าวแสดงความยินดี ทว่าน้ำเสียงกลับฟังดูเย็นชาเล็กน้อย
ตงฟางเจ๋อหรี่ตา ก้าวเข้าไปแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พิธีอภิเษกสมรสถูกจัดขึ้นอย่างกะทันหัน จึงไม่ทันส่งคำเชิญไปให้แต่ละแคว้น เดิมเจ๋อยังนึกเสียดายอย่างยิ่ง นึกไม่ถึง องค์รัชทายาทกลับเดินทางมาทันเวลา เจ๋อ ซาบซึ้งยิ่งนัก”
หลางฉ่างกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจิ้นหนิงอ๋องถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท เดิมหลางฉ่างก็อยากมาแสดงความยินดีอยู่แล้ว นึกไม่ถึงกลับได้ร่วมพิธีอภิเษกสมรสอย่างประจวบเหมาะ ช่างบังเอิญยิ่งนัก จำได้ว่าหลังพิธีคัดเลือกพระสวามีครั้งก่อน หลางฉ่างกลับแคว้นไปได้ไม่นาน ก็ได้ข่าวว่าคดีของท่านหญิงหมิงอวี้ถูกสืบจนกระจ่างและลบล้างมลทินได้สำเร็จ จากนั้นท่านหญิงหมิงซีก็เลือกเจิ้นหนิงอ๋องเป็นคู่ครอง…ยามนั้นแม้หลางฉ่างตัวอยู่แคว้นติ้ง กลับรู้สึกยินดีกับเจิ้นหนิงอ๋องและท่านหญิงหมิงซี แอบอวยพรให้ทั้งสองอยู่ในใจ…”
เขาหยุดพูดไปเล็กน้อย สายตาของตงฟางเจ๋อเคร่งขรึมลง หลางฉ่างกล่าวอย่างทอดถอนใจต่อว่า “เดิมทีนึกว่าทั้งสองเหมาะสมกันเช่นกิ่งทองใบหยก จะต้องกลายเป็นคู่สร้างคู่สมอย่างแน่นอน กลับนึกไม่ถึง เพียงไม่กี่เดือน เจิ้นหนิงอ๋องไม่เพียงฐานะเปลี่ยน แม้แต่เจ้าสาวในพิธีอภิเษกสมรสก็ยังเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นด้วย!” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ รอยยิ้มสดใส คล้ายไม่มีความหมายอื่นใดแฝงอยู่ แต่ในวาจาประโยคนั้น คล้ายแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจเบาๆ ทำให้ผู้ที่ได้ยินต่างอดคิดกันไปต่างๆ นานาไม่ได้
นึกย้อนไปในอดีต ท่านหญิงหมิงซีเลือกพระสวามี ผู้เข้าคัดเลือกเป็นถึงองค์ชายที่เป็นที่โปรดปรานของเหล่ากษัตริย์แห่งสามแคว้นใหญ่ พิธีคัดเลือกพระสวามีในครั้งนั้นยังไม่ทันได้เริ่ม ก็เป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วหล้า กลายเป็นตำนานอันงดงาม ทุกคนต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าสุดท้ายผู้ใดจะถูกเลือก กลับไม่มีใครคาดคิดว่าสุดท้ายจะจบลงเช่นนี้! หลังจากที่แหวกโค่นดงหนาม[1] เจิ้นหนิงอ๋องที่ชนะใจโฉมสะคราญอย่างยากลำบาก ครั้นขึ้นเป็นองค์รัชทายาท กลับสู่ขอองค์หญิงเจาหวาหยางเสวียนแห่งแคว้นเปี้ยนแทน! ส่วนซูหลี หญิงงามที่เคยถูกองค์ชายทั้งสี่แย่งชิง ยามนี้ถูกถอดยศท่านหญิง รัศมีที่เคยเจิดจรัสพลันดับหาย ยามนี้ไม่รู้ถูกขังไว้ในตำหนักต้องห้ามใด
ใจคนเปลี่ยนแปลงง่ายดายดังคาด โชคชะตาช่างเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา!
สายตาของตงฟางเจ๋อเย็นชาเล็กน้อย มีหรือเขาจะตีความวาจาเสียดสีของหลางฉ่างไม่ออก เพียงแต่แปลกใจ องค์รัชทายาทผู้นี้ไม่เคยเปิดเผยอารมณ์ให้ใครรู้ ยามนี้กลับออกหน้ากล่าววาจาแฝงความหมายเสียดสีแทนซูหลี ดูแล้ว ความรู้สึกที่คนผู้นี้มีต่อซูหลีไม่ธรรมดา! หัวใจพลันหนักอึ้ง ภายนอกกลับยังคงสงบนิ่ง แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ชะตากรรมของคนเรานั้นเปรียบดังลมฝนและสายฟ้าฟาด เปลี่ยนผันไปมาตลอดเวลา ยามนี้ฟ้าใส ไม่แน่วินาทีถัดไปฟ้าฝนอาจคะนอง ทว่าหลังฟ้าผ่า ผู้ใดจะรู้ว่าท้องฟ้าสดใสอาจรออยู่?”
หลางฉ่างยิ้มบาง “อาจเป็นเช่นนั้น แต่ท้องฟ้าผืนนี้ กลับไม่ใช่ท้องฟ้าผืนเดิมอีกต่อไป” สายตาของเขาสดใสสงบนิ่ง แต่ตงฟางเจ๋อกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเบื้องหลังความสงบนิ่งนั้นมีคลื่นอารมณ์ที่ยากจะคาดเดากำลังป่วนพล่านอยู่
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ทันได้ใคร่ครวญมากไปกว่านั้น เสียงขานร้องใสกังวานก็ดังเข้ามาจากด้านนอกอีกครั้ง “ฝ่าบาทเสด็จ”
ทุกคนรีบคุกเข่า ร้องสรรเสริญกันอย่างพร้อมเพรียง
ฮ่องเต้ก้าวลงจากเกี้ยวพระที่นั่งโดยมีหัวหน้าขันทีคนใหม่นามว่าโจวหลี่คอยประคอง ใบหน้าซีดเซียวหม่นหมอง เห็นได้ชัดว่าร่างกายทรุดโทรมลงเรื่อยๆ
“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้สูดหายใจลึกๆ ก้าวผ่านเหล่าขุนนางด้วยฝีเท้าโรยแรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าตงฟางเจ๋อ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทำให้ฮ่องเต้สูญเสียอะไรไปมากมาย ยามนี้เหลือโอรสเพียงองค์เดียว เขาก็ปีกกล้าขาแข็ง ยากจะควบคุมเสียแล้ว สีหน้าฮ่องเต้ยิ่งหม่นหมอง ตงฟางเจ๋อรีบลุกขึ้นประคองฮ่องเต้ไปนั่งบนที่นั่งสูงสุด
ขุนนางพิธีการจึงกล่าวในตอนนี้เอง “ได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว องค์รัชทายาทโปรดเชิญองค์หญิงออกมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อเข้าไปรับตัวเจ้าสาวในห้องโถงด้านใน เสียงร้องสรรเสริญยินดีดังขึ้น ตำหนักใหญ่พลันครึกครื้นขึ้นมาในพริบตา ทว่าเทียบกับความคึกคักของที่นี่ ความเงียบงันและโดดเดี่ยวในสวนดอกเหมยด้านหลัง กลับเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่อาจคาดเดาได้
ฤดูใบไม้ผลิสรรพสิ่งฟื้นคืนชีวิต ดอกเหมยร่วงโรยไปนานแล้ว กลิ่นหอมสดชื่นจางหาย หน่ออ่อนแตกยอด ทว่าทั่วสวนกลับอ้างว้างหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูก
ซูหลีสวมอาภรณ์สีขาว ยืนอยู่ใต้ต้นเหมยที่เหลือแต่กิ่งก้าน นางเงยหน้า จ้องมองออกไปด้านหน้าสวน ตอนนี้ พวกเขาคงใกล้จะคำนับฟ้าดินแล้วกระมัง?
เงาร่างสีดำสายหนึ่งไหวผ่านด้านหลัง ในสวนดอกเหมยอันโล่งกว้าง พลันปรากฏเงาร่างของใครคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
“ทุกอย่างเตรียมพร้อมตามคำสั่งของคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” หวั่นซินยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยเช่นยามปกติ เงยหน้ามองแผ่นหลังบอบบางและอ้างว้างของนาง แววห่วงใยพาดผ่านดวงตา อดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปใกล้ แล้วถามเสียงเบา “คุณหนู…ตัดสินใจดีแล้วหรือเจ้าคะว่าจะทำเช่นนี้?”
ซูหลีไม่ได้หันกลับมามอง สายตายังคงจ้องมองไปยังทิศทางเดิม นางไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าหนักแน่นของนางได้บ่งบอกทุกอย่างอย่างชัดเจนแล้ว นิ้วมือเรียวขาวกำศิลาเลือดนกเพลิงไว้แน่น สีหน้าเย็นชาและเด็ดเดี่ยว
หวั่นซินถอนหายใจ “หม่อมฉันจะหลอกล่อเซิ่งฉินออกไป คุณหนูต้องระวังตนเองด้วยนะเจ้าคะ” เอ่ยจบก็สวมหน้ากากสีเงิน แล้วเหินข้ามกำแพงสวนออกไป ได้ยินเพียงเซิ่งฉินตวาดเสียงดัง “ใครน่ะ?!” จากนั้นก็วิ่งตามหวั่นซินออกไป
ซูหลีจึงค่อยสาวเท้ายาวๆ เดินออกจากประตูไป นางสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ใบไม้พลันปลิดปลิวออกจากกลางนิ้วเรียวสวย ทหารที่เฝ้าประตูไม่ทันระวัง หมดสติล้มลงไปทันที
นางไม่แม้แต่จะหันไปมอง เพียงสาวเท้ายาวๆ มุ่งหน้าไปยังตำหนักบูรพา
ตลอดเส้นทาง สิ่งที่เห็นคือผ้าไหมมงคลเต็มไปหมดทุกซอกมุม บรรยากาศเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ สำหรับนางแล้ว ตำหนักบูรพาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย แต่ที่นางไม่คุ้ยเคยยิ่งกว่า ก็คือตงฟางเจ๋อที่เคยใกล้ชิดยามนี้กลับห่างเหินราวกับอยู่คนละขอบฟ้า!
ในห้องโถงจัดพิธี แขกเหรื่อมากมายต่างอวยพรและแสดงความยินดีไม่ขาดสาย
ตงฟางเจ๋อสวมอาภรณ์มงคลสีแดง ใบหน้าหยกรัดเกล้าทอง ยังคงหล่อเหลาจนไม่อาจละสายตาได้ดังเช่นในความทรงจำ ยามนี้ ท่ามกลางเสียงขับขานของขุนนางพิธีการ เขากับหยางเสวียนถือปลายผ้าไหมสีแดงกันคนละข้าง เดินไปยังใต้พระที่นั่งของฮ่องเต้ช้าๆ จากนั้นก็ค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อม
สายตาของคนทุกผู้ล้วนจับจ้องไปยังพวกเขา ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเงาร่างที่ปรากฏตัวกะทันหันตรงปากประตู
ซูหลียืนเหม่อลอยอยู่ที่ประตูตำหนัก สีแดงของงานมงคลช่างบาดตานางยิ่งนัก ตำหนักที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความน่ายินดี มีเพียงนางที่สวมอาภรณ์สีขาวทั้งตัว หัวใจเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ผิดแผกไปจากทุกสิ่งในยามนี้ เดิมทีนางนึกว่าตนเองตัดใจจากเขาได้แล้ว ไม่มีทางเจ็บปวดเพราะเขาอีกอย่างแน่นอน แต่เพราะเหตุใดกัน ยามนี้ครั้นเห็นเขาคำนับฟ้าดินร่วมกับผู้อื่น หัวใจของนางก็เหมือนถูกฉีกทึ้งทั้งเป็น
ถ้าหากเขาไม่เคยเอ่ยคำสัญญากับนาง บางที หากเขาไม่เคยร้องขอให้นางเชื่อในคำสัญญาของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นางอาจไม่รู้สึกทรมานอย่างนี้ก็ได้
“ท่านหญิงหมิงซี?!” หลางฉ่างหันมาเห็นนาง ใบหน้าหล่อเหลาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่เจอกันเพียงไม่กี่เดือน โฉมสะคราญที่งดงามไม่มีใครเทียมนางนั้น ยามนี้แม้ยังมีรูปโฉมงดงาม ทว่าใบหน้ากลับซีดเซียวอย่างปิดไม่มิด ร่องรอยแห่งความปวดใจและสิ้นหวังพาดผ่านดวงตาเย็นชาและจางหายไปอย่างรวดเร็ว เขาอดปวดใจไม่ได้ พลันลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจสถานการณ์ แล้วสาวเท้าเข้าไปหานางเร็วๆ
ผู้คนรอบกายได้ยินก็หันไปดู สายตาทุกคู่หันขวับไปที่ประตูเป็นตาเดียว
ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งตัว ครั้นหันไปมอง สตรีสวมอาภรณ์สีขาวที่ยืนอยู่หน้าประตู ผ่ายผอมซีดเซียว ไม่ได้ปกปิดหรือเติมแต่งปานบนใบหน้าแต่อย่างใด ยิ่งอยู่บนใบหน้างดงามแต่เย็นชาก็ยิ่งดูบิดเบี้ยวไม่เป็นมงคล นางยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงประตู จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา คล้ายต้องการมองทะลุความเสแสร้งในใจเขา สายตาของนางคมปลาบจนน่ากลัว
………………………………………………
[1] แหวกโค่นดงหนาม หมายถึง ขจัดอุปสรรคและสิ่งกีดขวางบนทางสู่ความสำเร็จ