กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 318 ปริศนาชาติกำเนิด (1)
“เจ้าจะทำอะไรกันแน่?” เขาถามด้วยเสียงแหบพร่าและสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
ซูหลีถอยหลังเข้าใกล้ชายฝั่งหนึ่งก้าว สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยน ตะโกนด้วยความตกใจ “อย่าทำเรื่องโง่ๆ นะ!”
เขาพุ่งตัวเข้ามาหานาง นางกลับถอยหลังอย่างรวดเร็ว พลางตะโกนเสียงเกรี้ยว “อย่าเข้ามานะ!”
ครั้นเห็นนางยืนอยู่บนขอบฝั่ง อีกก้าวเดียวก็จะตกลงไปในแม่น้ำหลานชางแล้ว เขาตกตะลึง รีบหยุดฝีเท้า ตะโกนอย่างร้อนใจ “ได้ ข้าจะไม่เข้าไป เจ้าอย่าถอยอีกเลย!”
ซูหลีหยุดก้าวอย่างเชื่อฟัง
ตงฟางเจ๋อรู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขากำลังแขวนอยู่บนชายฝั่งอันตรายแห่งนั้นพร้อมกับร่างของนาง เขาไม่เคยหวาดกลัวที่จะสูญเสียถึงขนาดนี้มาก่อน ได้แต่เอื้อมมือออกไป แล้วขานเรียก “ซูซู อย่าจากข้าไป!”
ความหวาดกลัวครอบงำเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขอร้องคนอื่นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนเช่นนี้
แต่ทว่า นางเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว มิอาจถอยหลังได้อีกแล้ว
เห็นเขาเอื้อมมือออกมากลางอากาศ สายตาของนางเจ็บปวด นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “สุราสามแก้ว แทนการตัดขาดระหว่างเราสอง หวังว่าชาตินี้…จะไม่ต้องพบกันอีกตลอดกาล!” สิ้นประโยค นางก็กระโดดลงไปในแม่น้ำหลานชาง
“ซูซู ไม่นะ!” ตงฟางเจ๋อตะโกนด้วยความแตกตื่น พุ่งตัวเข้าไปเหมือนลูกศร
สายฝนเทกระหน่ำ พายุลูกใหญ่พัดเข้ามาราวกับจะกลืนกินโลกทั้งใบ เสียงสายฟ้าคำรามเลื่อนลั่นคล้ายต้องการทำลายทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
ณ ชายฝั่งแม่น้ำหลานชาง ลมกระโชกแรง คลื่นน้ำป่วนพล่าน ร่างของหญิงสาวถูกกลืนหายไปในพริบตา ห่างออกไปจากชายฝั่ง เหล่าทหารสามพันนายจากตำหนักองค์รัชทายาทต่างตกตะลึงไปกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ พวกเขาไม่เคยเห็นตงฟางเจ๋อเจ็บปวดและสิ้นหวังถึงเพียงนั้นมาก่อน ราวกับโลกทั้งใบได้แตกสลายกลายเป็นผุยผงในเสี้ยววินาทีที่หญิงสาวนางนั้นกระโดดลงไป!
ชายหนุ่มนั่งหมอบอยู่ข้างชายฝั่ง สีหน้าสิ้นหวัง สองมือเอื้อมไปข้างหน้า ทว่าสิ่งที่คว้าไว้ได้กลับมีเพียงอากาศอันหนาวเหน็บดั่งน้ำแข็ง…
วันนี้ของปีที่แล้ว ท่านหญิงหมิงอวี้หลีซูตกแม่น้ำตาย พายุลมป่วนพล่าน ท้องฟ้าเปลี่ยนสี
วันนี้ของปีนี้ ท่านหญิงหมิงซีซูหลีกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ตัดขาดสายสัมพันธ์ ความตายพลัดพรากทั้งสองให้จากกันตลอดกาล
บทส่งท้าย
ในวันอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทเจ๋อแห่งแคว้นเฉิงกับองค์หญิงเจาหวาแห่งแคว้นเปี้ยน ซูหลีบุตรสาวอนุภรรยาจวนอัครเสนาบดี พระชายาในองค์รัชทายาท แท้จริงคือเจ้าสำนักเฉินเหมิน กองกำลังรับจ้างสังหารคนอันดับหนึ่งของยุทธภพ นางได้เปิดเผยว่าแม่ทัพทหารม้าจั้นอู๋จี๋คือคนร้ายตัวจริงในคดีท่านหญิงหมิงอวี้หลีซู และตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหวั่น มีแผนชั่วหมายจะฉวยโอกาสยึดครองบัลลังก์และสังหารศัตรูเพื่อแก้แค้นระหว่างพิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นเฉิง จั้นปลิดชีพตนเอง หลีกระโดดแม่น้ำหลานชางฆ่าตัวตาย
เจ๋อ องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเฉิงค้นหาศพของหลีบริเวณชายฝั่งเป็นเวลาเจ็ดวัน ตำหนักบูรพาสังหารองค์หญิงเจาหวาและทูตจากแคว้นเปี้ยนสามร้อยสามสิบเอ็ดคน สายสัมพันธ์แคว้นเฉิงและแคว้นเปี้ยนขาดสะบั้นลง
สามวันให้หลัง ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิงสวรรคต องค์รัชทายาทเจ๋อขึ้นครองราชย์ และได้แต่งตั้งให้หลีเป็นฮองเฮา กำลังทหารสามแสนนายของแคว้นเฉิงและแคว้นเปี้ยนปะทะกัน ณ เขตชายแดนเทียนเหมิน สองแคว้นเริ่มทำศึกสงครามกันอย่างดุเดือด
ณ ภูเขาชื่อเหลียนซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน ห่างจากพระราชวังของแคว้นเปี้ยนเพียงไม่กี่สิบลี้ ภูเขาสูงเส้นทางอันตรายแห่งนี้น้อยนักที่จะมีคนสัญจรผ่าน
ม้าเร็วห้าตัววิ่งทะยานเข้ามา พวกเขาสวมหน้ากากแปลกประหลาด ไอพิฆาตที่เกิดจากการเคี่ยวกรำผ่านแสงดาบเงากระบี่แผ่กำจายรอบกาย
อาภรณ์สีขาวของสตรีที่เป็นผู้นำลอยไหวไปตามลม นางสวมหน้ากากสีเงินครึ่งหน้า สะท้อนแสงวิบวับแยงตาเมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์ นางดึงบังเหียนม้า ผู้ติดตามสี่คนรอฟังคำสั่งอยู่ตรงตีนเขาด้วยท่าทางเคร่งครัดจริงจัง
“คุณหนู ที่นี่แหละเจ้าค่ะ!” สตรีสวมหน้ากากสีทองนางหนึ่งกล่าวเสียงเบา ดูจากการแต่งกาย นางเป็นผู้นำของคนเหล่านี้ ทว่ากลับมีท่าทีนอบน้อมต่อสตรีชุดขาว คนผู้นี้ก็คือหวั่นซิน สาวรับใช้ประจำกายของซูหลีนั่นเอง และคนที่นางเรียกว่าคุณหนู ก็ย่อมต้องเป็นซูหลีที่ ‘กระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย’ อยู่แล้ว
ซูหลีกำภาพวาดม้วนหนึ่งไว้ในมือ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ กางภาพวาดออก ในภาพวาดมียอดภูเขาเขียวสูงชะลูดเทียมเมฆ บ่อน้ำมรกตดั่งหุบเหว เมฆบางดั่งสายหมอกลอยคลอเคล้าอยู่ท่ามกลางแนวภูเขาสลับสล้าง มันคือภาพวาดทิวทัศน์ของหรงซีจินที่ซูหลีนำออกมาแสดงในพิธีคัดเลือกพระสวามีนั่นเอง ในภาพวาด ยอดภูเขาสูงชันมีเมฆหมอกบางเบาลอยเคล้าเคลีย เหมือนกับทิวทัศน์ของภูเขาชื่อเหลียนที่อยู่ตรงหน้าพวกนางในยามนี้
ด้านหลังภาพวาดยังคงเป็นกลอนบทเดิม
บรรพตสูงจรดนภดล บนหนทางคดเคี้ยวทอดยาว
เมฆาขาวลอยห่มเวหาหาว หมอกหม่นพราวผุดแผ่กำจาย
หมื่นหุบเขาธาราเรียงราย เสียงฤทัยเพรียกหาเปลี่ยวเอกา
เงี่ยหูฟังเสียงจันทรา โอ้ใจข้านั้นแสนโดดเดี่ยว
“พวกเราอาศัยกลอนบทนี้ กอปรกับลักษณะภูมิประเทศในภาพวาด ตามหาเขามรกต เมฆาขาว หมื่นหุบเขา จันทราเสี้ยว วารีใหม่ สำเภาหมอก ครรลองคดเคี้ยว และท่องโมรา แปดสำนักย่อยของลัทธิธิดาเทพจนเจอ แต่ก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของท่านน้าจิ้งหวั่น พวกเขาคงจับตัวนางกลับไปที่แท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพแล้ว จากข่าวที่ข้าสืบมา ทางเข้าน่าจะอยู่บนยอดเขา” ฉินเหิงรายงานตามหน้าที่ ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนค้นพบช่องลับที่อยู่ใต้ชายฝั่งแม่น้ำหลานชาง ซูหลีจึงวางแผนจักจั่นลอกคราบ[1] ด้วยการสั่งให้พวกเซี่ยงหลีขนย้ายทรัพย์สมบัติของเฉินเหมินอย่างลับๆ และหนีจากการจับกุมของตงฟางเจ๋อได้สำเร็จ
การกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายเป็นเพียงส่วนหนึ่งในแผนการของนางเท่านั้น ยามนี้ใต้หล้าล้วนรับรู้ ท่านหญิงหมิงซีซูหลีที่เคยเปล่งประกายเจิดจรัสที่สุดในแคว้นเฉิงได้สิ้นใจอยู่ใต้ก้นแม่น้ำหลานชางแล้ว
ตามแผนเดิม นางต้องเดินทางไปแคว้นติ้ง แต่ระหว่างทางกลับได้รับข่าวว่าท่านน้าจิ้งหวั่นถูกคนของลัทธิธิดาเทพจับตัวไป นางจึงจำต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางอย่างกะทันหัน พวกนางมุ่งหน้าขึ้นมาทางเหนือ เข้าสู่เขตแดนแคว้นเปี้ยน ซูหลีกับฉินเหิงวิเคราะห์ภาพวาดของหรงซีจินอย่างละเอียด และมั่นใจว่าภาพวาดนี้เป็นแผนที่ของลัทธิธิดาเทพ แปดสำนักใหญ่กระจายตัวอยู่ท่ามกลางเทือกเขาสูงต่ำสลับสล้างสี่ลูก ล้อมรอบหุบเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพ จะต้องอยู่ในหุบเขาแห่งนั้นอย่างแน่นอน
ซูหลีเงยหน้า ยามนี้เข้าสู่เดือนเจ็ดแล้ว ดวงตะวันเจิดจ้าลอยเด่นกลางท้องฟ้า สายตาของนางกลับเย็นเยียบดังหิมะ ไร้ซึ่งความอบอุ่น กลิ่นอายเย็นชาน่าพรั่นพรึงแผ่กำจายรอบกาย หลังจากเหตุการณ์ในแคว้นเฉิง นิสัยของนางก็เปลี่ยนไป นางกลายเป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจา เรื่องของตงฟางเจ๋อกลายเป็นเรื่องต้องห้ามที่ห้ามกล่าวถึงเมื่ออยู่ต่อหน้านาง
ซูหลีเงยหน้ามองยอดเขาสูงชันตรงหน้า นางไม่พูดอะไร เพียงโบกมือเบาๆ หวั่นซิน เซี่ยงหลี เจียงหยวน และฉินเหิงรีบลงจากม้าเมื่อได้รับคำสั่ง ทั้งห้าคนมุ่งหน้าขึ้นยอดเขาทันที
หลังจากมาถึงยอดเขา ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งงัน ถึงแม้ซูหลีคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าในนี้จะต้องมีดินแดนอีกผืนซ่อนอยู่เป็นแน่ ทว่าครั้นเห็นกับตาก็ยังอดตะลึงไม่ได้ ในหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยยอดเขาสูงสี่ลูก กลับมียอดเขาอีกหนึ่งลูกอยู่ตรงกลาง ไม่ได้เป็นพื้นที่ราบเหมือนที่คาดเดาไว้ เพียงแต่ยอดเขาลูกนั้นไม่ได้สูงมาก หากยืนอยู่นอกยอดเขาทั้งสี่ที่อยู่รอบๆ ไม่มีทางมองเห็นอย่างแน่นอน ยอดเขาสี่ลูกเชื่อมต่อกัน เสมือนแนวป้องกันอันแข็งแกร่งที่ปกป้องแท่นบูชาหลักแห่งนี้เอาไว้
“คุณหนูเจ้าคะ…” หวั่นซินลังเลเล็กน้อย “ที่นี่จะใช่แท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพจริงหรือเจ้าคะ?”
ซูหลีครุ่นคิด ไม่ได้ตอบคำถามของหวั่นซินทันที
ฉินเหิงขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ตามตำแหน่งบนแผนที่ แท่นบูชาหลักน่าจะอยู่ที่นี่ไม่ผิดแน่ แต่ภูเขาลูกนี้ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ แทบจะดูไม่ออกว่าทางเข้าออกของมันอยู่ที่ใด”
เซี่ยงหลีอดพูดขึ้นไม่ได้ “ที่นี่ดูเหมือนภูเขาโล้นๆ ลูกหนึ่งเท่านั้น หรือแท่นบูชาหลักจะซ่อนอยู่ในยอดเขา? รอบด้านก็ไม่มีใครเฝ้าระวัง ไร้เงาคน ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก”
ซูหลีสายตาไหวระริก เพ่งสายตาทอดมองออกไปไกล ภายใต้แสงตะวัน บนยอดเขาลูกนั้นกลับมีแสงไหววูบวาบ ความคิดพลันบังเกิด นางโฉบกายออกไปอย่างรวดเร็วดั่งหมอกควัน อีกสี่คนตกตะลึง รีบไล่ตามไปติดๆ
……………………………………………
[1] จักจั่นลอกคราบ หมายถึง แอบเล็ดลอดหนีไปอย่างแยบยล