กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 330 พานพบอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด! (3)
กลีบปากอุ่นๆ พุ่งขึ้นมา ก่อนจะกัดเขาเต็มแรง!
เขาสะท้านไปทั้งตัว แววตื่นตะลึง เจ็บปวด และยินดีปรากฏชัดในดวงตา!
เสี้ยววินาทีที่เขาอึ้งงัน ซูหลีซัดฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็ว คล้ายต้องการซัดกระดูกสะบักไหล่ของอีกฝ่าย แต่นึกไม่ถึงว่าเพียงชั่วสายฟ้าฟาด นางกลับถูกเขาบีบข้อมือไว้แน่น แทบไม่เหลือช่องว่างให้ขัดขืน เขาพลิกกายกลางอากาศ ตรึงร่างนางไว้ด้านล่างอีกครั้ง แม้แขนได้รับบาดเจ็บ แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับไม่สะดุดเลยแม้แต่น้อย โลหิตสีแดงไหลอาบอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็ย้อมผ้าห่มให้กลายเป็นสีแดง เขากลับทำเหมือนไม่รู้สึก ราวกับแขนข้างนั้นไม่ใช่ของเขา ไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ เอาแต่จ้องดวงตาของสตรีที่อยู่ด้านล่างเขม็ง
ระหว่างการต่อสู้ ผ้าโปร่งสีดำที่คลุมหน้าเขาหลุดลงเล็กน้อย ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าที่ซีดขาวเพราะเสียเลือดมาก ยังคงหล่อเหลาดังเช่นในความทรงจำของนาง
เลือดในกายนางคล้ายแข็งกระด้างไปทั้งตัวอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ในใจจะเดาไว้แล้วว่าเป็นเขา แต่ในวินาทีที่เห็นหน้าเขานางกลับอดอึ้งงันไม่ได้ นิ้วมือเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งทันที
ใบหน้าที่ไม่อยากเห็นแม้แต่ในความฝัน ยามนี้กลับปรากฏอยู่ตรงหน้านางแล้ว
เขาหอบหายใจเบาๆ กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นอบอวลอยู่ในอากาศ ลอยฟุ้งอยู่ตรงปลายจมูกของทั้งสอง
ลมหายใจของซูหลีสะดุดเล็กน้อย นางแน่นิ่งไม่ขยับ
เขาก้มหน้าลงมา ดวงหน้าหล่อเหลาแทบจะแนบชิดกับหน้ากากของนาง การสบตากันในระยะที่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ทำให้ความรักและความแค้นที่ผสมปนเปกันเป็นเสมือนเส้นด้ายบางๆ ที่มองไม่เห็น ซึ่งกำลังกระตุกหัวใจอันอ่อนแอบอบบางของทั้งสองอย่างไม่หยุดยั้ง
ความเจ็บปวดที่เสียดแทงลึกเข้าไปถึงกระดูกค่อยๆ แผ่ไปทั่วร่างกาย
ข้อมือบอบบางยังคงถูกฝ่ามือใหญ่กำไว้แน่น ขาเรียวบางทั้งสองข้างของนางก็ถูกขาอันแข็งแกร่งของเขาหนีบไว้แน่นจนมิอาจขยับเขยื้อน
นางเงยหน้ามองเขาอย่างเย็นชา เขากลับโน้มกายลงมากระซิบข้างหูนาง “หากต้องการแหวน ก็ไปกับข้า” เสียงทุ้มต่ำ ราวกับการล่อลวงอันอ่อนโยนที่หยอกเย้าให้หัวใจของสตรีสั่นไหว
รอยยิ้มเย็นชาพาดผ่านดวงตาซูหลี แต่นางก็ยังคงไม่ตอบ คิดจะหลอกล่อนางหรือ นางไม่มีทางหลงกลแน่นอน!
นอกกระโจมพลันมีเสียงผิวปากประหลาดดังขึ้น
เสียงนั้นเป็นเอกลักษณ์ ทุ้มต่ำและเบาจนแทบไม่ได้ยิน
ใบหน้าของบุรุษที่อยู่บนกายพลันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นชัดว่าเขาได้รับสัญญาณเตือนถึงอันตรายจากด้านนอก ดวงตาคมเข้มฉายประกายเย็นชา ทว่ามือที่กุมมือนางไว้กลับยังคงไม่มีทีท่าว่าจะคลายออก
ผู้ที่อยู่ด้านนอกครั้นเห็นว่าไร้การตอบสนองจากด้านในกระโจม ก็เหมือนจะร้อนใจ จึงส่งสัญญาณเร่งเร้าอีกครั้ง สถานการณ์คับขันจนพาให้หัวใจของซูหลีตึงเครียดไปด้วย
“องค์ชายสี่!” เสียงของทหารที่ทำหน้าที่เฝ้ายามดังมาจากที่ไกลๆ ใบหน้าของซูหลีที่อยู่ด้านหลังหน้ากากก็พลอยเปลี่ยนสีไปด้วย
ในที่สุดบุรุษบนกายนางก็ยอมปล่อยมือ รู้ดีว่าค่ำคืนนี้อย่างไรก็ยากจะสมปรารถนา เขารีบดึงผ้าโปร่งคลุมหน้าขึ้นปกปิดใบหน้า แล้วหันกลับมามองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง “อีกไม่นานพวกเราจะได้พบกันอีก” เอ่ยจบก็พลิกกายลงจากเตียง เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว แหวกม่านวิ่งออกไป พริบตาเดียวก็หายลับไปจากครรลองสายตาของนาง ไม่เหลือร่องรอยใดๆ อีก
ซูหลีจ้องมองทิศทางที่เขาหายตัวไป สายตาของนางเหมือนแผ่นน้ำแข็งที่แตกร้าว แลดูว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง นางนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม บนกายเหมือนยังหลงเหลืออุณหภูมิอุ่นๆ จากตัวเขา ทว่าเลือดของเขาที่อยู่บนอกนางกลับเย็นชืดไปแล้ว และกำลังแข็งตัวเกาะกุมอยู่บนหน้าอกนางทีละนิดๆ
“ใครน่ะ?!” เงาร่างสองสายไหวผ่านนอกกระโจมไปอย่างรวดเร็ว หยางเซียวตวาดถามเสียงเกรี้ยว เขาสาวเท้ายาวๆ วิ่งเข้ามา กลับมองไม่เห็นเงาร่างสองสายนั้นแล้ว ราวกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา
“องค์ชายสี่ มีเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หทารที่เดินลาดตระเวนกะกลางคืนได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาถามไถ่
หยางเซียวไม่ตอบ กลิ่นคาวเลือดในอากาศมิอาจเล็ดลอดประสาทรับกลิ่นอันว่องไวของเขาไปได้ เขาตกตะลึง ครั้นเห็นหวั่นซินวิ่งกลับมาด้วยความเร็ว สายตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งกว่าทุกครั้ง ทั้งสองรีบแหวกประตูกระโจมเข้าไปอย่างร้อนใจโดยมิได้นัดหมาย
กลิ่นคาวเลือดลอยโชยมา ภายในกระโจมเงียบสงบจนน่าแปลก เหมือนไม่มีผู้ใดอยู่เลย
หยางเซียวหน้าเปลี่ยนสีไปทันที หวั่นซินรีบเดินเข้ามาข้างเตียง หมายจะจุดไฟ กลับได้ยินซูหลีตวาดเสียงต่ำ “ออกไป”
หวั่นซินชะงัก หยางเซียวขานเรียกอย่างเป็นห่วง “อาหลีน้อย…”
“ออกไป! อย่าให้ข้าพูดเป็นหนที่สอง” เสียงของนางเย็นชาดั่งน้ำแข็ง พลังวังชาเต็มเปี่ยม ไม่เหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บ
หยางเซียวอึ้งงันไปครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็ข่มความสงสัย ยอมเดินออกจากกระโจมไปพร้อมกับหวั่นซินอย่างว่าง่าย
นอกกระโจม หวั่นซินหลุบตาต่ำ สายตาไม่วอกแวก เห็นชัดว่าไม่ต้องการพูดอะไรทั้งสิ้น หยางเซียวรู้ว่าถึงถามไปก็ไม่ได้อะไร จึงทำได้เพียงสั่งให้เพิ่มกำลังคนเฝ้าระวังความปลอดภัยเท่านั้น
ค่ำคืนนี้ดูเหมือนพายุลมเงียบสงบ แต่หัวใจของซูหลีกลับมิอาจสงบนิ่งได้อีก บางทีนับจากนี้ไป นางอาจไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกแล้ว!
ซูหลีหลับตาแน่น นางรู้ดี ยามนี้ไม่ใช่เวลามัวมาเสียใจที่ตัดสินใจมาที่นี่ นางควรคิดว่าจะรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อย่างไร
แสงรุ่งอรุณมาเยือน ความมืดยามราตรีมลายหายสิ้น ตอนหวั่นซินกลับเข้ามาที่กระโจม ซูหลีลุกขึ้นแล้ว และก็ได้จัดการอาภรณ์กับผ้าห่มที่เปื้อนเลือดอย่างเหมาะสมแล้ว
สายตาของซูหลีดูเหมือนยามปกติ การเคลื่อนไหวก็ดูเป็นปกติไร้อุปสรรคใดๆ หวั่นซินจึงคลายใจลงเล็กน้อย เมื่อคืน นางถูกคนผู้หนึ่งที่ปิดบังใบหน้าล่อออกไป วรยุทธ์ของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกที่คุ้นเคย ยามนั้นนางก็สังหรณ์ใจไม่ดีแล้ว ยามนี้ครั้นเห็นซูหลีไม่ยอมปริปากเอ่ยถึง นางก็มั่นใจแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน อดขานเรียกอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “คุณหนูเจ้าคะ”
ซูหลีกำลังควานหากล่องยา นางกล่าวโดยไม่หันกลับมา “ว่ามา”
“เช้าวันนี้แคว้นเฉิงส่งทูตมาส่งสารว่า เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนต้องการนัดหมายองค์ชายสี่เพื่อเจรจาสงบศึก”
ซูหลีสะดุดกึก เมื่อคืนนางยังคิดหาทางหยุดยั้งสงครามครั้งนี้ เช้านี้เขาก็ส่งคนมาเสนอการเจรจาสงบศึก ใช่บังเอิญเกินไปหรือไม่? ดวงหน้าซีดขาวของคนผู้นั้นผุดขึ้นมาในสมอง พร้อมกับประโยคที่เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนจากไป ‘อีกไม่นานพวกเราจะได้พบกันอีก’
หัวใจของนางหนักอึ้งขึ้นมาทันที เป็นดังคาด ด้วยนิสัยของตงฟางเจ๋อ หากเขาสงสัยเมื่อใด จะไม่มีวันยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ! นางหันกลับมา ครั้นเห็นหวั่นซินทำหน้าหนักใจ เห็นได้ชัดว่ายังพูดไม่จบ ซูหลีจึงกล่าวเสียงราบเรียบ “ว่าต่อไป”
หวั่นซินจึงทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า “อีกฝ่ายมีเงื่อนไขว่าคุณหนูต้องเข้าร่วมการเจรจาด้วยเจ้าค่ะ”
“เหตุผลเล่า?”
“คุณหนูทำลายค่ายกลเก้าประตูแปดทิศของพวกเขา เซ่อเจิ้งอ๋องจึงเสนอเงื่อนไขว่าคุณหนูจำต้องเข้าร่วมการเจรจาสงบศึกครั้งนี้เจ้าค่ะ”
เป็นเหตุผลนี้ดังคาด! เพียงแต่…ผู้ที่เสนอเงื่อนไขนี้ เกรงว่าจะมิใช่เสด็จพ่อของนาง
ซูหลีควานหากล่องยาจนเจอยาลูกกลอนที่สามารถเปลี่ยนเสียงพูดได้ ก็กินเข้าไปทันที เสียงของนางแปรเปลี่ยนเป็นแหบพร่าทุ้มต่ำ นางเก็บกล่องยา หมุนกายหันมาถามว่า “หยางเซียวว่าอย่างไรบ้าง?”
“องค์ชายสี่ส่งนกพิราบไปทูลฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนแล้ว คาดว่าบ่ายนี้คงทราบคำตอบเจ้าค่ะ”
“เพราะการตายของหยางเสวียน ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจึงมีแค้นใหญ่หลวงกับตงฟางเจ๋อ เขาจะยอมสงบศึกง่ายๆ ได้เช่นไร?” ซูหลีกล่าวอย่างทอดถอนใจ
หวั่นซินขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ฟังจากที่องค์ชายสี่กล่าว เขากลับดูเหมือนต้องการไปเจรจาสงบศึก กองทัพแคว้นเปี้ยนช่ำชองการทำศึก แต่หลังจากเหตุการณ์ในหุบเขาเร้นลับ ทำให้พวกเขาสูญเสียกำลังทหารไปไม่น้อย ยามนี้ต้องการเวลาในการพักฟื้นความเสียหาย เซียวอ๋องไม่แสดงท่าทีใดๆ คนผู้นี้ความคิดยากแท้หยั่งถึง จับทางได้ยาก คุณหนูต้องระวังเขาให้มากนะเจ้าคะ”
ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง ทอดสายตามองออกไปนอกกระโจม “เจ้าว่า…จู่ๆ เหตุใดเซ่อเจิ้งอ๋องจึงต้องการเจรจาสงบศึก?”
สายตาของหวั่นซินขรึมลง นางไม่ได้ตอบ
หลายวันต่อมา หยางเซียวได้รับรายงานด่วน สาสน์จากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าเห็นด้วยกับการเจรจาสงบศึก การเจรจาสงบศึกถูกนัดหมายสามวันหลังจากนี้ สถานที่คือตังอวี๋ที่อยู่ห่างจากเมืองชายแดนสามสิบลี้ ทูตจากแคว้นเปี้ยนที่ถูกส่งไปร่วมเจรจาสงบศึกคือหยางเซียว สองฝ่ายต่างตกลงกันว่าอนุญาตให้พาผู้ติดตามไปเพียงสิบคนเท่านั้น ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนอนุญาตให้ซูหลีติดตามไปด้วย
…………………………………………………