กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 331 พานพบอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด! (4)
เดิมทีซูหลีควรดีใจ แต่นางกลับรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ทั้งสองแคว้นเพิ่งเริ่มทำศึกกันได้ไม่นาน ไม่มีอันตรายจากด้านอื่น และยังไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปราชัย จู่ๆ กลับเจรจาสงบศึกกันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ มิใช่เป็นเรื่องแปลกเกินไปหรือ?
“ตังอวี๋คือที่ใด?” หลังจากเรียกศิษย์เฉินเหมินทั้งสี่เข้ามาในกระโจม ซูหลีก็เอ่ยถามเสียงขรึม
“ข้าได้ส่งม้าเร็วไปสืบดูล่วงหน้าแล้ว เดิมทีตังอวี๋เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ มีชาวบ้านไม่เยอะ คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่อาศัยการล่าสัตว์ในการเลี้ยงชีพ ต่อมาสงครามลุกลาม ชาวบ้านพากันอพยพหนี สถานที่นัดหมายในการเจรจาสงบศึกครั้งนี้ก็คือศาลฉีเซียงที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน”
“ศาลฉีเซียงมีไว้ทำสิ่งใด?” หวั่นซินถามอย่างสงสัย
“เป็นศาลบรรพบุรุษประจำหมู่บ้าน ทว่าหรูหราโอ่อ่ามาก ทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีลานถึงสี่ลาน แล้วยังมีโรงครัวแยกออกไปอีกต่างหาก คาดว่าน่าจะเป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าชาวบ้าน” ฉินเหิงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาวาดภาพลงบนพื้น พลางอธิบายไปด้วย “ข้าศึกษาภูมิประเทศของที่นั่นมาอย่างดีแล้ว จะวาดให้พวกเจ้าดู”
สมกับที่เป็นยอดฝีมือด้านการสืบข่าว เพียงไม่นาน ฉินเหิงก็วาดลานสวนและห้องหับทั้งหมดอย่างชัดเจน ยิ่งดูซูหลีก็ยิ่งตกตะลึง ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกำหนดสถานที่เช่นนี้เป็นสถานที่นัดหมาย เห็นได้ชัดว่าเขามีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝง
“พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม ออกเดินทางไปพร้อมกับข้า” นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวต่ออีกว่า “เจียงหยวนพกยาไปด้วย เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน”
ทุกคนรับคำ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเตรียมตัว หลังผ่านเวลาเที่ยงวันไปไม่นาน หยางเซียวก็พาพวกซูหลีซึ่งมีกันทั้งหมดห้าคน กับองครักษ์ประจำกายของตนเองรวมอีกห้าคน มุ่งหน้าไปยังตังอวี๋พร้อมกัน
ทั้งหมู่บ้านร้างไร้ผู้คน รอบข้างเงียบสงัดไร้เสียง แม้แต่หมาตัวเดียวก็ไม่มีให้เห็น บนหอสุราแห่งหนึ่งที่อยู่หน้าหมู่บ้าน ยังมีธงเรียกลูกค้าแขวนอยู่ โถงด้านในกว้างขวางมาก ยังคงมีร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองและคึกคักในวันวานหลงเหลือให้เห็น ยามซูหลีเห็นธงที่โบกสะบัดไปตามสายลม ก็พลันใจลอยตกอยู่ในห้วงภวังค์ไปชั่วขณะ
ครั้นเข้ามาในหมู่บ้าน ทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังศาลฉีเซียงทันที ยามนี้ประตูศาลบรรพบุรุษเปิดกว้าง ลานด้านหน้าเต็มไปด้วยใบไม้ที่ร่วงโรย เนิ่นนานแล้วที่ไม่มีผู้มาเยือน
ม้าสิบตัววิ่งเข้ามาในลานกว้างอย่างรวดเร็ว หยางเซียวสั่งให้มัดม้าไว้ให้ดี ก่อนจะกวาดตามองทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แล้วชะโงกหน้ามากล่าวกับซูหลีด้วยรอยยิ้ม “พวกเขายังไม่มา พวกเราไปหาสถานที่สวยๆ กันก่อนดีกว่า”
ซูหลีไม่พูดอะไร เพียงเหลือบมองประตูใหญ่ที่ถูกเปิดไว้เล็กน้อย “นัดหมายไว้ที่ใด?”
“ก็ที่นี่อย่างไรเล่า” หยางเซียวบิดขี้เกียจ สาวเท้าหมายจะเดินเข้าไปข้างใน “ไม่รู้ว่าลานชั้นไหนกว้างกว่ากัน อย่างน้อยก็ควรมีที่ให้คนมากมายขนาดนี้ยืน”
ซูหลีพลันรู้สึกได้ว่ามีลมสายหนึ่งพัดเข้ามาจากประตูชั้นที่สาม นางอึ้งไปเล็กน้อย รีบเดินตามไปรั้งเขาไว้ “ระวัง”
หยางเซียวฉีกยิ้มกว้าง พลิกมือมาจูงมือนาง “ดีเหลือเกินๆ อาหลีน้อยจะปกป้องข้า”
ซูหลีชะงัก รีบสะบัดมือเขาออก “จริงจังหน่อย”
เขากลับหัวเราะเบิกบานอย่างไม่ยี่หระ แสร้งทำเป็นหลบด้านหลังนาง ทำท่าขลาดกลัว “ข้าจริงจังมากนะ เจ้าต้องปกป้องข้า” เขาสูงกว่าซูหลีเกือบครึ่งหนึ่ง ยามนี้กลับแสร้งทำเป็นอ่อนแอกว่านาง ภาพที่เห็นจึงดูตลกขบขัน เหล่าคนที่เดินตามหลังมาต่างพากันพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลัง จึงไม่หลุดหัวเราะออกมา
“องค์ชายสี่เสด็จ กระหม่อมขออภัยหากต้อนรับบกพร่อง”
เสียงเคร่งขรึมของคนผู้หนึ่งดังขึ้น บรรยากาศผ่อนคลายในตอนแรกพลันตึงเครียดทันที ซูหลีเงยหน้า ด้านในประตูชั้นที่สาม พลันปรากฏเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่ง เขาสวมชุดเกราะนักรบ ดูห้าวหาญชาญชัย เส้นผมข้างขมับแม้จะเริ่มหงอกขาว แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยราศีน่าเกรงขามที่มิอาจดูหมิ่น เขาก็คือหลีเฟิ่งเซียนนั่นเอง
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ พยายามสะกดกลั้นคลื่นอารมณ์ที่ก่อตัวในใจ ก้มหน้า แล้วสาวเท้าเดินไปหาเขา หยางเซียวก้าวเท้าเข้าไปยกมือประสานคารวะ พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เซ่อเจิ้งอ๋อง มิได้พบกันเสียนาน”
บุรุษสองคนนี้อายุห่างกันมาก แต่มีฐานะและตำแหน่งที่เทียบเคียงกัน ครั้นยืนอยู่ด้วยกัน กลับให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
สายตาของหลีเฟิ่งเซียนกวาดพิจารณาหน้ากากบนหน้าซูหลีกับพวก สีหน้าอึ้งไปเล็กน้อย สายตาสับสนแปรเปลี่ยนไปมาไม่แน่นอน
กลุ่มองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังเขาล้วนสวมชุดเกราะสีดำ ใบหน้าเคร่งขรึม เก็บซ่อนรัศมีคมปลาบไว้ภายใน เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นยอดฝีมือ มิใช่องครักษ์ธรรมดาแน่นอน หนึ่งในนั้นร่างกายสูงใหญ่ หน้าตาธรรมดา ดูไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตา แต่ดวงตาของเขากลับคมปลาบมีพลัง ซูหลีมองแวบเดียว ก็รีบถอยหลังไปยืนข้างกายหวั่นซินเงียบๆ ก่อนจะก้าวไปยืนข้างหลังหวั่นซิน ปิดบังเงาร่างของนางไปมากกว่าครึ่ง
“ผู้ใดคือคนที่ทำลายค่ายกล?” หลีเฟิ่งเซียนถามเสียงเย็น
แววเย็นชาพาดผ่านดวงตาของหยางเซียว “ดูจากท่าทางของเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว วันนี้คงมิได้มาเจรจาสงบศึก แต่มาจับคนมากกว่ากระมัง!” เขาสะบัดชายเสื้อ สาวเท้าขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ เท้าแขนยาวๆ บนโต๊ะ แล้วมองลงมาจากข้างบนอย่างไม่ไว้หน้า
ซูหลีขมวดคิ้ว การเจรจาสงบศึกยังไม่ทันเริ่ม บรรยากาศก็คุกรุ่นไปด้วยกลิ่นดินปืนแล้ว
หลีเฟิ่งเซียนเงยหน้า แสยะยิ้มเย็นชา “จะเจรจาสงบศึกนั้นย่อมได้ ขอเพียงพวกท่านส่งตัวคนที่ทำลายค่ายกลมา ทุกอย่างล้วนราบรื่น”
“เซ่อเจิ้งอ๋องคงความจำไม่ค่อยดี กองทัพของแคว้นเปี้ยนเราแข็งแกร่งเกรียงไกร พวกท่านเป็นฝ่ายเสนอการเจรจาสงบศึก ข้าจึงเดินทางมาคุยกับท่านถึงที่นี่!” แม้ใบหน้าของหยางเซียวยังคงเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาของเขากลับเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง “หลายวันก่อน พวกท่านวางแผนประหลาด ล่อท่านฮูเอ่อร์ตูขุนพลอันดับหนึ่งของแคว้นเปี้ยนเราไปติดอยู่ในป่าควันพิษ ทหารยอดฝีมือกว่าหนึ่งหมื่นนายล้มตายไปมากกว่าครึ่ง บัญชีนี้ พวกข้ายังไม่ได้สะสางกับพวกท่านเลย!”
หลีเฟิ่งเซียนแค่นหัวเราะ “การทหารไม่เบื่อหน่ายกลอุบาย สนามรบเต็มไปด้วยการเข่นฆ่าไร้ความปรานี ย่อมต้องมีการสังเวยด้วยชีวิต ฮูเอ่อร์ตูติดกับเพราะเขาดูเบาศัตรู เห็นแก่ชัยชนะมากไป หากองค์ชายสี่ไม่เข้าใจสัจธรรมนี้ ก็ให้ผู้ที่เข้าใจมาเจรจาแทนเถิด”
ครั้นเอ่ยมาถึงประโยคนี้ บรรยากาศก็ยิ่งคุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายมิได้เต็มใจที่จะเจรจาสงบศึก
หยางเซียวลุกขึ้นยืนตัวตรง แล้วเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังหลีเฟิ่งเซียนอย่างแช่มช้า สายตาดั่งสุนัขจิ้งจอกสะท้อนความเกลียดชังและเย็นชาออกมา เขากวาดตามองเหล่าองครักษ์ที่หลีเฟิ่งเซียนพามาด้วยทีละคนๆ กระทั่งไปหยุดจ้องมองใบหน้าของคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นหน้าตาธรรมดา สายตาปกติ แต่งกายเหมือนองครักษ์คนอื่นทุกประการ แต่เขากลับให้ความรู้สึกที่ต่างจากคนอื่นอย่างบอกไม่ถูก เขายืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้นไม่พูดอะไร รอบกายกลับมีรังสีประหลาดที่ไม่อาจมองข้ามแผ่ปกคลุม
หยางเซียวแสยะยิ้มเย็นชา จ้องหน้าเขา แล้วกล่าวว่า “แคว้นเฉิงของพวกท่านเป็นฝ่ายประกาศศึกก่อน แล้วก็เป็นฝ่ายเสนอเจรจาสงบศึก เดิมข้ายังสงสัยว่าพวกท่านจะใช้เงื่อนไขใดมาเจรจาสงบศึกสงคราม เป็นแก้วแหวนเงินทอง? หรือดินแดนเขตเมือง? เพื่อเลี่ยงไม่ให้ไพร่ฟ้าประชาชนตกทุกข์ได้ยาก ข้ายังเคยลังเลว่าจะช่วยเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อแทนพวกท่านดีหรือไม่ แต่ดูแล้ว เซ่อเจิ้งอ๋องกลับมิได้มีเจตนาเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านพูดเองว่าการทหารไม่เบื่อหน่ายกลอุบาย หากวันนี้ข้าลอบวางกำลังทหารล้อมที่นี่ไว้อย่างลับๆ แล้วสังหารพวกท่านให้สิ้น ก็คงมิใช่เรื่องผิดกระมัง?!”
องครักษ์ชุดดำได้ยินเช่นนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยน รีบเอื้อมมือไปจับด้ามกระบี่ที่เหน็บไว้ตรงเอว ตั้งท่าเตรียมสู้ทุกเมื่อ
หลีเฟิ่งเซียนตวาดเสียงเกรี้ยว “เหลวไหล การเจรจาสงบศึกของสองกองทัพเป็นฉันทามติของสองราชวงศ์ จะเปรียบเทียบกับสนามรบได้เช่นไร ลอบสังหารแม่ทัพบนโต๊ะเจรจาสงบศึก ถือเป็นการตระบัดสัตย์คืนคำ เป็นพฤติกรรมของคนต่ำทราม เป็นที่ครหาของชาวโลก!”
สายตาของหยางเซียวคมปลาบดุดัน “น่าขัน! หากทำเช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นที่ครหาของชาวโลก เช่นนั้นการที่แคว้นใหญ่อันดับหนึ่งเช่นพวกท่านสังหารทูตของแคว้นเราถือเป็นการกระทำใดกัน?”
‘องครักษ์’ ที่ถูกหยางเซียวมองหน้ายังคงมีสีหน้านิ่งเฉย ทว่าสายตากลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกดังน้ำแข็ง
หยางเซียวกล่าวต่ออีกว่า “แคว้นเฉิงของพวกท่านอาศัยว่าตนเองเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ประชาชนแข็งแกร่ง จึงไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ถึงกับกล้าสังหารหมู่คณะทูตของแคว้นเปี้ยนเรา ทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบคน ไม่รอดแม้แต่คนเดียว แม้แต่น้องหญิงของข้า…ก็ต้องตายอย่างน่าอนาถอยู่ในวังหลวงของพวกท่าน! หนี้เลือดนี้ มีเพียงต้องชดใช้ด้วยเลือดเท่านั้น มิเช่นนั้นจะกลายเป็นที่ครหาอย่างแท้จริง! พวกท่านกำเริบเสิบสานเช่นนี้ รังแกผู้อื่นอย่างไร้ความปรานี คิดว่าแคว้นเปี้ยนเราไร้ยอดคนแล้วอย่างนั้นหรือ?”
………………………………………………………..