กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 335 พบหน้าอีกครั้ง (3)
เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน อดีตจอมทัพที่นำทหารนับหมื่นกวาดล้างกองทัพมานับไม่ถ้วน ชื่อเสียงเลื่องระบือไกล ผู้ใดได้ยินชื่อเป็นต้องอกสั่นขวัญหาย แม้เขาจะอายุมากแล้ว แต่ประสบการณ์ด้านการทหารนั้นโชกโชนยิ่ง สำหรับชาวแคว้นเปี้ยนที่มีความเก่งกล้าสามารถด้านการรบ เขายังคงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวมาก!
ฝ่ายหนึ่งคือเสด็จพ่อที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ทางสายเลือด แต่กลับเลี้ยงดูอุ้มชูนางด้วยความรักจนนางเติบใหญ่! อีกฝ่ายเป็นน้องชายแท้ๆ ที่มีเชื้อสายเดียวกันของเสด็จแม่! ไม่ว่าฝ่ายไหน นางก็ไม่อยากทำร้ายทั้งนั้น
ตงฟางเจ๋อเพิ่งขึ้นครองราชย์ กลับออกศึกครั้งนี้ด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับศึกครั้งนี้มากเพียงใด สายสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นเดิมก็ตึงเครียดอยู่แล้ว การเจรจาสงบศึกในวันนี้ล้มเหลวลง ยิ่งเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดกว่าเดิม พร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ การสงบศึกครั้งนี้ลงอย่างราบรื่น จึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
แต่ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะยากเย็นเพียงใด นางก็จะไม่มีวันถอย เพื่อครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ของนาง!
สายตาเย็นชาและกระจ่างชัดของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่น นางหมุนข้อมือเล็กน้อย เกาทัณฑ์ส่งสัญญาณพุ่งขึ้นฟ้า เสียงแหวกอากาศดังหวีดหวิว เป็นสัญญาณติดต่อกันที่มีเฉพาะในเฉินเหมิน เพียงพริบตาเดียว ก็มีสัญญาณตอบกลับ
ผ่านไปไม่นาน เงาร่างสี่สายที่เคลื่อนไหวด้วยความคล่องแคล่วว่องไวก็มุ่งหน้ามาทางนี้ พวกเขาสี่คนก็คือหวั่นซิน เจียงหยวน เซี่ยงหลี และฉินเหิงนั่นเอง พวกเขาทิ้งตัวลงพื้นอย่างไร้ซุ่มเสียง แล้วมายืนอยู่ข้างกายซูหลีอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู!” หวั่นซินกล่าวด้วยเสียงร้อนใจ “คุณหนูไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ?”
เมื่อครู่ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหัน ซูหลีถูกองครักษ์ผู้นั้นจับตัวไป พวกนางกำลังต่อสู้กับศัตรู ไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ จึงกลัวว่าซูหลีจะบาดเจ็บ ยามนี้ครั้นเห็นนางปลอดภัยดีและอยู่เพียงลำพัง ก็ยังคงอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
พวกเขามองไม่เห็นสีหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากของซูหลี นัยน์ตาของนางเรียบนิ่งและเย็นชา มองไม่เห็นคลื่นอารมณ์ใดๆ ราวกับเมื่อครู่ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นมาก่อน
ซูหลีส่ายหน้า ไม่พูดอะไร
“ท่านเจ้าสำนัก ตอนนี้พวกเราควรไปที่ใด?” ฉินเหิงมองหน้าซูหลี แล้วถามอย่างระมัดระวัง
การเจรจาสงบศึกล้มเหลว พวกเขาแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับแคว้นเปี้ยนอย่างเปิดเผย ซ้ำยังจับตัวองค์ชายสี่หยางเซียวเป็นตัวประกันอีก หากกลับแคว้นเปี้ยนก็รังแต่จะเป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แคว้นเฉิงคือสถานที่ที่นางทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะหนีออกมา นางไม่มีวันกลับไปอย่างแน่นอน ตามหลักแล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดในยามนี้ คือรีบฉวยโอกาสนี้ถอนตัวและหลีกหนีจากสถานที่ที่ไม่ควรรั้งอยู่นานแห่งนี้โดยเร็วที่สุด จากนั้นก็หาสถานที่หลบภัย แล้วค่อยวางแผนอีกที
“กลับกองทัพชายแดน” ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ซูหลีก็มุ่งหน้าสู่เขตชายแดนโดยใช้วิชาตัวเบาทันที
คำตอบ กลับเหนือความคาดหมายของพวกเซี่ยงหลี แม้แต่หวั่นซินที่สนิทกับนางที่สุด ได้ยินคำตอบของนางก็ยังอึ้งงัน ยามนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าซูหลีคิดสิ่งใดอยู่
ทั้งสี่คนมองตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะข่มความสงสัย ถอนหายใจเบาๆ แล้วรีบเคลื่อนตัวตามไปอย่างรวดเร็ว
ณ กองทัพชายแดนแคว้นเปี้ยน
พวกซูหลีเดินเข้าไปในกองทัพอย่างแช่มช้า มีคนไปรายงานสถานการณ์ก่อนแล้ว พวกนางยังเดินไปไม่ถึงปากกระโจม คนกลุ่มหนึ่งก็พุ่งพรวดออกมาจากกระโจม คนแรกที่เดินออกมาคือเซียวอ๋องหยางเจิ้นผู้มีใบหน้างดงามทรงเสน่ห์ ซูหลีกวาดมองด้วยสายตาเย็นชา กลับไม่เห็นเงาร่างสีแดงเพลิงของหยางเซียว ไม่รู้ว่าเขาไปไหน
หยางเจิ้นตบมือเบาๆ หลายครั้ง รอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้นที่มุมปาก “จับตัวองค์ชายสี่เป็นตัวประกัน ช่วยหัวหน้าของทัพศัตรูให้หนีไปได้อย่างราบรื่น นึกไม่ถึงยังกล้ากลับมายังกองทัพของเราอีก ข้าช่างเลื่อมใสในความกล้าหาญของเจ้ายิ่งนัก!”
ครั้นวาจานี้ดังออกไป ทุกคนพลันตื่นตัว เหล่าทหารชักดาบออกจากฝัก ไอสังหารแผ่กำจายรอบทิศ สายตาของซูหลีเรียบเฉยเป็นปกติ นางไม่หวาดหวั่นกลับก้าวไปข้างหน้า สบตากับหยางเจิ้นตรงๆ แล้วกล่าวว่า “เซียวอ๋องอย่าเพิ่งกริ้ว พวกหม่อมฉันกลับมาเพราะมีเรื่องจะหารือกับท่านอ๋อง…”
“ยังมีเรื่องใดต้องหารือกันอีก! คนทรยศเช่นพวกเจ้า ย่อมต้องมีจิตมุ่งร้ายอยู่แล้ว!” ขุนพลอวี๋ที่ยืนอยู่ข้างหยางเจิ้นตัดบทนางด้วยการตะโกนด่าอย่างโกรธขึ้ง
เซี่ยงหลีตีพัดลงกลางฝ่ามือเบาๆ แล้วส่ายหน้ากล่าวอย่างทอดถอนใจ “หากมีจิตมุ่งร้ายจริง ท่านขุนพลคงตายตั้งแต่อยู่ในหุบเขาเร้นลับแล้ว ยังต้องรอให้ถึงตอนนี้อีกหรือ?” เป็นถึงขุนพลเสียเปล่า ช่างไร้สมองเสียจริง เขาอดกลอกตามองบนไม่ได้
ขุนพลอวี๋ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไอสังหารพลันปรากฏในดวงตาหยางเจิ้น เขาแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “เจ้าช่างสำบัดสำนวนยิ่งนัก!”
ซูหลีหมายจะเอ่ยปาก รอยยิ้มมุมปากของเขากลับจางหาย หยางเจิ้นชี้มาที่พวกซูหลี แล้วตะโกนออกคำสั่ง “ทหาร! จับตัวเหล่าคนทรยศใจกล้าเหล่านี้ไว้! ผู้ใดจับตัวหัวหน้าได้ข้าจะตบรางวัลหนึ่งร้อยเหรียญเงิน!”
พวกหวั่นซินรีบชักอาวุธออกมา คุ้มกันซูหลีไว้ตรงกลาง
สายตาของหยางเจิ้นไหวระริก เป็นดังที่เขาคาดเดาไม่มีผิด เฉินเซียงผู้ที่อ้างตนว่าเป็นเจ้าสำนักเฉินเหมินมิใช่คนออกคำสั่งอย่างแท้จริง สตรีใจกล้าที่จับตัวหยางเซียวเป็นตัวประกันต่างหาก ที่เป็นเจ้าสำนักตัวจริง!
เหล่าทหารอึ้งงัน พวกเขาตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ต่างคนต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็พร้อมใจกันจับดาบดาหน้ากันเข้าไป พวกหวั่นซินโฉบไหวเงาร่างอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวเหล่าทหารก็บาดเจ็บล้มลงไปกองกับพื้นหลายรายแล้ว!
หยางเจิ้นบันดาลโทสะ แม้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ศัตรูมีจำนวนคนมากกว่า พวกเขาก็ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด คล้ายไม่เห็นฐานทัพทหารแห่งนี้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย! สำนักเฉินเหมิน กองกำลังเล็กๆ ในยุทธภพ กล้าท้าทายอำนาจของกองทัพแคว้นเปี้ยนขนาดนี้เชียวหรือ
เขาโบกแขนกลางอากาศ ออกคำสั่งโดยไร้เสียง มือธนูจำนวนมากกรูกันเข้ามาทันที ลูกธนูแหลมคมเปล่งประกายเย็นเยียบยามต้องแสงอาทิตย์ เล็งไปยังคนห้าคนที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ท่ามกลางวงล้อม! ราวกับลูกธนูจะพุ่งออกจากคันศรในเสี้ยววินาทีถัดไป!
แววเย็นชาพาดผ่านดวงตาของซูหลี นางกางแขนออก ร่างบางลอยขึ้นเหนืออากาศทันใด กำลังภายในอันแข็งแกร่งทรงพลังพลันประดังเข้ามา! ครั้นพลังขุมนั้นกวาดผ่าน ลูกศรแหลมคมพลันหักจนสิ้น!
หยางเจิ้นหันไปแย่งธนูยาวที่อยู่บนหลังของคนข้างๆ หยิบลูกธนูวางแล้วดึงคันศร ปลายลูกธนูเล็งไปยังสตรีที่มีไอสังหารอันรุนแรงแผ่กำจายอยู่รอบกาย!
ทันใดนั้น เสียงตะโกนพลันดังมาจากที่ไกลๆ “เสด็จอาช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ~~~”
หยางเซียวพุ่งทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว เงาร่างสีแดงเหมือนดั่งเปลวไฟโฉบผ่านกำแพงมนุษย์ แล้วทิ้งตัวลงตรงหน้าปลายธนูของหยางเจิ้น เขายกมือจับธนูของหยางเจิ้น แล้วกดต่ำลงอย่างไม่ลังเล! บาดแผลบนลำคอของเขา ยามนี้กลับถูกห่อไว้ด้วยผ้าพันแผลหนาๆ ทั้งที่เป็นแผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้น เขากลับพันแผลจนดูเกินเหตุถึงเพียงนี้ คนอื่นเห็นเขาจะคิดว่าเขาบาดเจ็บหนักขนาดไหนกัน
หยางเซียวไม่สนใจใบหน้าขึ้งเคียดของหยางเจิ้น ยังคงปั้นหน้ายิ้มร่า “คนกันเองทั้งนั้น มีเรื่องใดก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน ทุกคนจงหยุดบัดเดี๋ยวนี้!”
องค์ชายสี่ออกคำสั่ง เหล่าทหารพลันลังเลไปชั่วขณะ พวกเขาชะงักหยุด แล้วหันไปมองหยางเจิ้นโดยสัญชาตญาณ ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
“ข้าสั่งให้พวกเจ้าหยุดแล้วหรือ?” หยางเจิ้นตวาดเสียงเกรี้ยว
“เสด็จอา!” หยางเซียวหุบรอยยิ้มร่าเริง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากทำร้ายนางจริงๆ เสด็จอาจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน!” เขาเดินเข้าไปหาหยางเจิ้น แล้วกระซิบข้างหูเขาเบาๆ หลายประโยค
หยางเจิ้นอึ้งงัน สีหน้าเขาแสดงออกถึงความตกตะลึงระคนเหลือเชื่อ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็เงยหน้ามองพิจารณาซูหลีอย่างละเอียด “เจ้าพูดจริงหรือ?” เห็นได้ชัดว่าเขายังสงสัยในคำพูดของหยางเซียวอยู่
หยางเซียวพยักหน้า แววจริงจังปรากฏในดวงตา “เรื่องสำคัญขนาดนี้ หากไม่มั่นใจ หลานไม่กล้าพูดส่งเดชหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เขาหันไปมองซูหลีด้วยสายตาแฝงความหมาย แล้วกล่าวเสียงเบาอย่างทอดถอนใจอีกว่า “จริงหรือเท็จ หากเสด็จอาเห็นก็จะรู้เอง”
ซูหลียืนอยู่ที่เดิมไม่พูดอะไร นางรู้ดีแก่ใจ หากต้องการให้เซียวอ๋องที่กำลังโกรธกริ้วถอนคำสั่ง ก็มีเพียงวิธีเดียว คือต้องบอกเรื่องสายสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสด็จแม่
………………………………………….