กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 336 พบหน้าอีกครั้ง (4)
หยางเจิ้นนิ่งอึ้ง เนิ่นนานก็ยังไม่ได้สติ เขาจ้องหน้าซูหลีตาไม่กะพริบ คล้ายต้องการมองดวงหน้าที่ซ่อนอยู่ด้านหลังหน้ากากให้ชัดเจน ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ เอ่ยปากอย่างแช่มช้า “ทุกคนจงถอยออกไปให้หมด!”
เหล่าทหารอึ้งงัน อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน เซียวอ๋องผู้เงียบขรึมคาดเดายากและไม่ค่อยลงรอยกับองค์ชายสี่มาโดยตลอด เหตุใดจึงเปลี่ยนใจง่ายๆ เช่นนี้? สตรีนางนี้เป็นใครกันแน่? ขุนพลอวี๋และคนอื่นๆ แม้มีคำถามอยู่ในใจ กลับไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของเขา ทำได้เพียงสั่งการให้ทุกคนรีบถอยออกไปทันที
พวกหวั่นซินยืนแน่นิ่งไม่ขยับ ถึงแม้ซูหลีไม่อธิบาย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาคาดเดาได้ว่าระหว่างเจ้าสำนักกับราชวงศ์เปี้ยนมีสายสัมพันธ์ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ครั้นนึกถึงคำสั่งเสียก่อนตายของนางหลิ่ว หวั่นซินมีคำพูดอยู่ในใจเป็นหมื่นๆ คำ แต่กลับไม่อาจเรียงร้อยถ้อยคำได้ในชั่วขณะ
ซูหลีกล่าวเสียงขรึม “พวกเจ้าออกไปรอนอกกระโจม” ทั้งสี่คนจึงรับคำแล้วจากไป
ด้านในกระโจมเงียบมาก หยางเจิ้นจ้องหน้ากากสีเงินของนางเขม็ง อารมณ์ที่คาดเดาไม่ถูกไหลวนอยู่ในดวงตา ความหวังที่ตามหามานานหลายปี นางจะใช่คำตอบที่เขารอคอยหรือไม่?
“เอาละ ที่นี่ก็ไม่มีคนนอกแล้ว อาหลีน้อยเจ้าถอดหน้ากากได้แล้ว” หยางเซียวกล่าวด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม
ซูหลีถอดหน้ากาก ดวงหน้าที่ไม่ได้เผยสู่สายตาคนนอกมานานหลายวัน ยามนี้ผิวซีดขาวเล็กน้อย สีหน้าเรียบเฉยไม่แยแสสิ่งใด นัยน์ตากระจ่างใสดั่งดวงดารา พวงแก้มด้านซ้ายไร้ซึ่งร่องรอยปานสีแดงโลหิต ดวงหน้างามละเอียด สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
หยางเจิ้นกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว นี่มัน ดวงหน้านี้มัน เหมือนกับพี่สาวยามเยาว์วัยในความทรงจำของเขาไม่มีผิด! มิน่าเล่าครั้งแรกที่พบกัน สตรีนางนี้ถึงได้ทำให้เขารู้สึกคุ้ยเคยอย่างบอกไม่ถูก!
“เสด็จอา หลานไม่ได้โกหกท่านใช่หรือไม่?”
ปฏิกิริยาของหยางเจิ้นที่ตกตะลึงจนพูดไม่ออกได้บ่งบอกทุกอย่างแล้ว ดวงหน้าที่คล้ายกันถึงเพียงนี้ หากบอกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ผู้ใดจะเชื่อกันเล่า?!
“เจ้า เจ้าชื่ออะไร? ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว?” เขาเดินเข้าไปหาซูหลีโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
หยางเซียวโอบไหล่ซูหลี แล้วตอบเขาอย่างรู้หน้าที่ “นางชื่อซูหลี อายุสิบเจ็ดปี รุ่นราวคราวเดียวกับหลานพ่ะย่ะค่ะ”
พฤติกรรมสนิทสนมของเขาทำให้นางรู้สึกไม่พอใจนัก หมายจะดันแขนเขาออก หยางเซียวกลับชิงไหวตัวไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งก่อน แล้วร้องโวยวายเสียงดัง “ดุจริง! วันๆ คิดแต่จะตีข้าอย่างเดียวเลย!”
“สิบเจ็ดหรือ…เร็วจริงๆ…” บนใบหน้าหล่อเหลาของหยางเจิ้น ปรากฏแววตาเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย สิบกว่าปีมานี้ นางหายเงียบไปไร้ข่าวคราว เขาคิดมาโดยตลอดว่านางตายแล้ว! นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ วันนี้จะมีข่าวคราวของนาง
เขากุมไหล่ซูหลี แล้วถามอย่างร้อนใจ “มารดาของเจ้าอยู่ที่ใด? นางสบายดีหรือไม่?”
เสียงพูดของหยางเจิ้นสะท้อนความโหยหาและคาดหวังอย่างสุดแสน ทุกวาจาออกมาจากใจอย่างแท้จริง ไร้วี่แววเสแสร้ง ราวกับในโลกนี้ไม่มีเรื่องใดสำคัญกว่านี้อีกแล้ว! เสด็จแม่…ต้องสำคัญมากสำหรับเขาแน่ๆ
หัวใจอันหนาวเหน็บและด้านชาของซูหลี พลันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น หยางเจิ้นที่อยู่ตรงหน้านางเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบกันมาก่อนแท้ๆ แต่เพราะเขาเองก็มีความรักอันลึกซึ้งต่อเสด็จแม่เช่นกัน จึงทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองลดน้อยลงในพริบตา ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาด…แล้วก็อบอุ่นยิ่งนัก
นางข่มกลั้นความรู้สึกในใจ แล้วตอบคำถามเขาเบาๆ “เสด็จแม่สิ้นพระชนม์เมื่อปีที่ผ่านมาแล้ว ศพถูกฝังไว้ที่แคว้นเฉิงเพคะ!” เพียงวาจาไม่กี่คำ ก็ทำให้ภาพที่เสด็จแม่สิ้นใจหน้าโลงศพผุดขึ้นมาในสมองนางอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่เคยกัดกินใจนางพลันกลืนกินนางอีกครั้ง!
แขนของหยางเจิ้นแข็งกระด้าง เขากุมไหล่นางไว้อย่างนั้นเนิ่นนาน ความหวังที่เพิ่งถูกจุดประกายขึ้นมา พลันดับสลายลงไปในพริบตาอีกครั้ง!
เรี่ยวแรงจากฝ่ามือของเขามากจนน่าตกใจ ซูหลีอดทนต่อความเจ็บ “ตลอดมา ร่างกายนางไม่ค่อยแข็งแรง ปีที่แล้วเพราะการตายของท่านหญิงหมิงอวี้ ทำให้นางได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ จนทนไม่ไหว…”
หน้าอกของหยางเจิ้นกระเพื่อมขึ้นลง อารมณ์พลุ่งพล่านจนยากจะควบคุม ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยตั้งสติได้ วาจาของซูหลีแม้รวบรัด เขากลับจับใจความสำคัญได้อย่างรวดเร็ว ศพถูกฝังไว้ที่แคว้นเฉิง…ซูหลีเรียกนางว่าเสด็จแม่ ท่านหญิงหมิงอวี้! แคว้นเฉิงมีท่านอ๋องเพียงสามท่าน จิ้งอันอ๋องตายแล้ว เจิ้นหนิงอ๋องขึ้นครองราชย์ เช่นนั้นก็เหลือแค่…ความคิดหนึ่งแล่นผ่านสมอง เขาตะโกนเสียงหลง “นางแต่งงานกับเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนหรือ?”
ซูหลีพยักหน้าเงียบๆ
หยางเจิ้นพึมพำเสียงเบา “มิน่าเล่าวันนี้เจ้าถึงได้ช่วยเขาหลบหนี!” แต่เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง…เขาพลันถามด้วยความสงสัย “เจ้าสกุลซู เขาสกุลหลี…”
“เสด็จอาอาจยังไม่ทราบ เรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่! ในอดีตเสด็จอาหญิงให้กำเนิดฝาแฝดหญิงคู่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ! อาหลีแยกจากกับเสด็จอาหญิงตั้งแต่เกิด นางเติบโตมาในจวนอัครเสนาบดี ท่านหญิงหมิงอวี้เป็นพี่สาวฝาแฝดของอาหลีพ่ะย่ะค่ะ” หยางเซียวเดินเข้ามา แล้วกล่าวอย่างเสียดาย “น่าเสียดายปีที่แล้วยามข้าไปเยือนแคว้นเฉิง ทั้งนางและเสด็จอาหญิงต่างก็ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
ใบหน้าของหยางเจิ้นซีดขาว เขาค่อยๆ ถอยหลังนั่งลงบนเก้าอี้ หลับตาพูดอะไรไม่ออก
“ทุกชีวิตบนโลกล้วนมีการเกิดแก่เจ็บตาย เสด็จอาเองก็อย่าเสียพระทัยมากนักเลยพ่ะย่ะค่ะ หากดวงวิญญาณของเสด็จอาหญิงอยู่บนสวรรค์ คงไม่อยากให้ท่านเสียใจเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น อาหลีก็อยู่ตรงนี้แล้วอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ใจของหยางเจิ้นพลันสั่นไหว สีหน้าเจ็บปวดจางหาย สายตาที่ทอดมองซูหลีสะท้อนแววอ่อนโยนและรักใคร่ ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของเขาดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน “อาหลี นับตั้งแต่นี้ไป เจ้าก็เหมือนบุตรสาวแท้ๆ ของข้า! หากต้องการอะไร บอกน้าได้เสมอ!”
“ขอบพระทัยเสด็จน้าเพคะ” ซูหลีถอนหายใจเบาๆ “ซูหลีมีเรื่องหนึ่งจะขอร้องเสด็จน้าเพคะ”
หยางเซียวหันมามองซูหลี คล้ายรู้ว่านางจะเอ่ยขอสิ่งใด
หยางเจิ้นยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ แล้วจึงค่อยๆ เอ่ยอย่างแช่มช้า “นอกจากเรื่องสงบศึก เรื่องอื่น…น้ารับปากช่วยเจ้าได้ทั้งนั้น” ไม่รอให้นางกล่าวคำใด เขาก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ดวงตาเปล่งประกายร้อนรุ่ม แววหนักแน่นสะท้อนชัดกลางหว่างคิ้วคมเข้ม
ซูหลีกล่าวเสียงเรียบ “เหตุใดเสด็จน้าจึงยึดมั่นเช่นนั้นเพคะ?”
“ตงฟางเจ๋อสังหารองค์หญิงเจาหวา และทูตจากแคว้นเปี้ยนรวมทั้งสิ้นหนึ่งร้อยสามสิบเอ็ดคน! แล้วยังเป็นฝ่ายนำทัพมาบุกโจมตี รุกรานแคว้นเราก่อน เขาหยามเกียรติเราถึงเพียงนี้ อาหลี บอกน้าทีว่ามีเหตุผลใดที่แคว้นเปี้ยนของเราจะไม่เอาคืนเขา!”
“ถูกต้องแล้ว!” หยางเซียวรับคำต่อ รอยยิ้มในดวงตายังคงไม่จางหาย แต่วาจากลับเย็นชาแข็งกร้าว “เราจะปล่อยให้จบลงง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด! ต้องทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่เสวียนเอ๋อร์ให้ได้! อาหลี ถึงแม้แคว้นเปี้ยนไม่อุดมสมบูรณ์เช่นแคว้นเฉิง แต่กำลังทหารของเราแข็งแกร่ง ไม่มีทางปล่อยให้ตงฟางเจ๋อหยามเกียรติเราได้ง่ายๆ แน่นอน!”
ซูหลีลอบตึงเครียด นางรู้ว่าการเสนอให้สงบศึกเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ยังไม่ทันได้เข้าเรื่อง อารมณ์ของพวกเขาสองคนก็พลุ่งพล่าน ท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้แล้ว แทบไม่เปิดโอกาสให้นางพูดเข้าประเด็นเลยแม้แต่น้อย หากดึงดันสานต่อในยามนี้ เกรงว่าคงไม่ได้อะไรขึ้นมา ซ้ำยังเป็นการเพิ่มความไม่พอใจให้พวกเขาอีก ดูท่าแล้วนางคงต้องคิดหาวิธีอื่น
ครั้นเห็นซูหลีเงียบงันไม่พูดจา หยางเจิ้นพลันขมวดคิ้ว โบกมือ แล้วกล่าวว่า “ไม่พูดเรื่องน่าเบื่อพวกนี้แล้ว ถ่ายทอดคำสั่งลงไป คืนนี้ให้จัดงานเลี้ยงฉลองที่ข้ากับอาหลีได้พบหน้ากัน!”
หยางเซียวกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ “หรือคืนนี้เสด็จอาจะดื่มฉลองกับอาหลีจนเมามาย?”
เสียงของขุนพลอวี๋ดังเข้ามาจากด้านนอกกระโจม “ทูลท่านอ๋อง! ทูตจากแคว้นเฉิงส่งสารเจรจามาพ่ะย่ะค่ะ!”
ทั้งสามตกใจเล็กน้อย หยางเจิ้นกล่าวเสียงเข้ม “นำเข้ามา!”
ขุนพลอวี๋สาวเท้าเร็วๆ เข้ามาในกระโจม มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา หยางเจิ้นกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว พร้อมกันกับที่กวาดตาอ่านจดหมาย ใบหน้าของเขาก็ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ หยางเซียวชะโงกหน้าเข้าไป ไม่นาน สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไม่ต่างกัน
…………………………………