กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 353 เจตนาของเขา (4)
หยางเซียวเขย่าแขนนาง ร้องด้วยความตื่นเต้น “ไปกันเร็วๆ อยู่ในนี้ทั้งวันน่าเบื่อออก!”
“ข้ามีเรื่องต้องทำ ถ้าท่านรู้สึกเบื่อก็กลับวังไปเสีย” นางไม่มองเขาด้วยซ้ำ เพียงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” หยางเซียวคัดค้านด้วยรอยยิ้มร่า “เจ้ายังไม่หายป่วยเลยนะ ดูสิ ข้างนอกอากาศดีขนาดนี้ อย่าปล่อยช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ให้เสียเปล่าเลย! ไปเถิดๆ สิ่งของเหล่านี้วิ่งหนีไม่เป็นเสียหน่อย กลับมาค่อยจัดเถิด” เขาแย่งของในมือนางไป แล้ววางกลับที่เดิมทีละชิ้นๆ
เรือเล็กลำหนึ่งจอดอยู่ตรงปลายสุดทางเดินของวิหารกลางน้ำแต่แรกแล้ว เขาดึงนางเดินไปจนถึงข้างเรือ แล้วหันกลับมาส่งยิ้มที่เปล่งประกายเหมือนแสงอาทิตย์ให้นาง “วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปที่ดีๆ! รับรองเจ้าต้องชอบแน่”
วาจาเช่นนี้ ซูหลีได้ยินจนชินแล้ว แต่จำต้องยอมรับว่าเขาทุ่มเทเพื่อที่จะทำให้นางมีความสุขมากจริงๆ ความหวังดีของเขาตรงไปตรงมา และมักจะทำให้นางปฏิเสธไม่ลง เขาทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นความเย็นชาและห่างเหินของนางแม้แต่น้อย ซูหลีอยู่กับเขา มัวแต่ระแวงว่าเขาจะหาไม้ไหนมาก่อกวนนางอีก บางทีอาจเป็นเพราะอย่างนี้ อารมณ์ของนางจึงถูกเขาชักจูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้นางลืมคนและเรื่องราวที่นางไม่อยากคิดถึงไปได้ชั่วคราว
หัวใจของนางพลันสั่นไหว หรือเขาตั้งใจทำแบบนี้? นางลอบถอนหายใจ แล้วขึ้นเรือตามเขาไป ไม่รู้วันนี้เขาจะพานางไปที่ใดอีก?
ราวกับอ่านใจนางได้ เขายิ้มอย่างมีลับลมคมใน แล้วกล่าวว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
เรือลำเล็กลอยเข้าไปในทะเลสาบปี้หู เคลื่อนตัวลงไปด้านล่าง ผ่านไปไม่นานก็มาถึงทะเลสาบที่มีขนาดกว้างใหญ่กว่าเดิม ยอดเขาสูงต่ำสลับสล้างรอบทิศ ภูเขาเขียวดั่งมรกต แสงตะวันเจิดจ้า ระลอกน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ทิวทัศน์ที่นี่งดงามมาก
บุรุษหนุ่มรูปงามยืนอยู่ตรงหัวเรือ คอยพายประคองเรือลำเล็กให้ล่องไปทางทิศตะวันตก
ภาพนี้ เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน…ซูหลีปวดใจ หันหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว
“เป็นอะไรไป?” สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปในเสี้ยววินาทีของนางไม่ได้เล็ดลอดสายตาของเขาไป หยางเซียววางไม้พายลง แล้วเดินเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง
ซูหลีกล่าวเสียงแข็ง “ข้าไม่เป็นไร ท่านกลับไปพายเรือของท่านเถิด”
หยางเซียวลูบจมูกเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปพายเรือต่อ ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม เรือลำเล็กเคลื่อนตัวเข้าใกล้ทางเข้าหุบเขาอันคับแคบ หยางเซียวพายเรือเข้าฝั่งอย่างชำนาญ จูงมือนางขึ้นฝั่ง แล้วเดินเลี้ยวไปตามเส้นทางหุบเขาอันคดเคี้ยว ไม่นาน เส้นทางข้างหน้าก็พลันสว่างจ้าขึ้นมาทันใด
ที่นี่เป็นที่ราบที่ซ่อนเร้นอยู่กลางหุบเขาแห่งหนึ่ง!
ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ลำธารใสสะอาด ผิวน้ำทะเลสาบสะท้อนเงาก้อนเมฆสีขาวและท้องฟ้าปลอดโปร่ง ดอกไม้นานาพันธุ์ที่ไม่ทราบชื่อบานสะพรั่งเต็มไปทั่วหุบเขา งดงามและหอมรัญจวนใจ
ซูหลียืนอยู่ตรงนั้น อึ้งกับภาพที่เห็น ในลัทธิธิดาเทพ มีสถานที่ที่งดงามเหมือนแดนสวรรค์เช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?!
“เป็นอย่างไร? ข้าไม่ได้โกหกเจ้าใช่หรือไม่!” หยางเซียวยิ้มตาหยี พออกพอใจที่เห็นสายตาตื่นตะลึงของนาง ไม่เสียแรงที่เขาทุ่มเทกายใจจริงๆ
ซูหลีไม่พูดอะไร นางย่อกายลงไปช้าๆ ปลายนิ้วไล้ผ่านต้นหญ้าเขียวอ่อนนุ่ม ให้ความรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก อากาศร้อนอบอ้าวภายใต้แสงแดดเจิดจ้าคล้ายจางหายไปไม่น้อย ความอบอุ่นอ่อนโยนพลันบังเกิดในหัวใจ จำได้ว่าตอนเด็กๆ นางชอบวิ่งเล่นเท้าเปล่าในสวนดอกไม้หลังจวนเซ่อเจิ้งอ๋องมาก
ยามนี้ ความทรงจำอันงดงามเหล่านั้นคล้ายห่างไกลจากนางเหลือเกิน ห่างไกลมาก…ขอบตานางร้อนผ่าว ความเศร้าพลันพรั่งพรู
ฝ่ามือใหญ่คู่หนึ่งโบกไปมาตรงหน้า ซูหลีสะดุ้ง ดึงสติกลับคืนมา หยางเซียวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเหม่อลอยอันใดอยู่?”
ซูหลีจึงเพิ่งค้นพบว่ายามนี้เขาถอดถุงเท้ารองเท้าออกแล้ว และกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้านาง หยางเซียวยิ้มประหลาดแล้วดึงนางไปนั่งบนก้อนหินผิวเรียบข้างลำธารเล็กๆ ก้มหน้าจะถอดรองเท้าและถุงเท้าให้นาง
ซูหลีตกใจ รีบปัดมือเขาออก “ท่านจะทำอะไรน่ะ?”
“ถอดรองเท้าอย่างไรเล่า” หยางเซียวกะพริบตาปริบๆ ชี้ไปที่พื้นหญ้า แล้วแย้มยิ้มอย่างสดใส “ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเหยียบมันตายเอานะ!”
เขาใช่คนที่จะเป็นห่วงต้นหญ้าเสียที่ไหน? ซูหลีเหล่มองเขา ไม่เชื่อที่เขาพูดสักนิด นางหมายจะลุกขึ้นและอยู่ให้ห่างเขาโดยสัญชาตญาณ แต่กลับถูกเขากระชากแรงๆ นางเสียหลัก ก้าวลงไปในลำธารตรงหน้าทันที!
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ได้ยินเสียงหยางเซียวร้องบอก “อ้าว! แย่แล้ว อาหลีน้อย รองเท้าเจ้าเปียก ไม่ถอดไม่ได้แล้วสิ! มาๆๆ เจ้านั่งลง ข้าช่วยเอง” เขาดึงนางกลับมานั่งที่เดิม ถอดรองเท้าและถุงเท้านางออกอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้นางขัดขืนแม้แต่น้อย
เขาจงใจ! ซูหลีถลึงตาจ้องเขา แววขุ่นเคืองปรากฏกลางหว่างคิ้วงาม แต่สัมผัสนุ่มนวลตรงปลายเท้าที่ห่างหายไปนาน กลับทำให้หัวใจของนางอ่อนยวบ โกรธเขาไม่ลง
“ฮ่าๆ เรียบร้อยแล้ว” แผนประหลาดประสบผล หยางเซียวแลบลิ้นปลิ้นตา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาเป็นประกาย ร่าเริงแจ่มใส
เขาตะโกนเสียงดังแล้วกระโดดลุกขึ้น ก่อนจะออกวิ่งไปทั่วพื้นหญ้าอย่างสนุกสนาน หันกลับมากวักมือเรียกนางเป็นระยะ
ความร่าเริงสดใสของเขาแผ่กระจายไปทั่วทิศ ทิวทัศน์รอบด้านงดงามจนทำให้ลืมเรื่องทุกอย่าง ความยินดีค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวใจซูหลี นางถึงขั้นก้าวเท้าออกไปโดยไม่รู้ตัว
เท้าเปลือยเปล่าที่ขาวเนียนดั่งหยกแกะสลักเหยียบลงบนต้นหญ้าอ่อนนุ่ม ความรู้สึกเช่นนั้นงดงามจนไม่อาจบรรยาย นางแหงนหน้าขึ้น ท้องฟ้าสีครามเหนือศีรษะ ก้อนเมฆสีขาวคล้อยผ่านไป นางไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้มานานมากแล้ว
มือเรียวถูกกุม ไม่นานร่างกายก็ถูกเรี่ยวแรงมหาศาลของเขาดึงให้วิ่งตามเขาไป สายลมพัดผ่านเรือนผม ซูหลีลังเลไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็เลิกใคร่ครวญ เพียงปล่อยตัวให้วิ่งตามหยางเซียวไปในทุ่งหญ้าเขียวขจี
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ครั้นรู้สึกเหนื่อย ทั้งสองก็หยุดวิ่งแล้วหอบเหนื่อยพร้อมกัน หยางเซียวนอนหงายหลังลงบนพื้น ไม่เหลือภาพพจน์ใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับเขา พิธีรีตรองทุกอย่างเป็นเหมือนโซ่ตรวน กฎข้อห้ามต่างๆ ล้วนเป็นส่วนเกินที่ไม่จำเป็น
หยางเซียวเอียงหน้า เห็นนางยืนนิ่งอยู่ข้างๆ สายตาเจ้าเล่ห์พลันพาดผ่านดวงตา เอื้อมมือออกไปกระชากนาง ซูหลีไม่ทันระวัง เสียหลักล้มลงข้างกายเขา พื้นหญ้าหนาๆ ไม่ทำให้นางรู้สึกเจ็บแต่อย่างใด กลับทำให้นางรู้สึกอยากล้มตัวลงนอน ซูหลีปล่อยตนไปตามความคิด ค่อยๆ ล้มตัวลงนอนบนพื้น แล้วหลับตาลง
กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ในอากาศชวนให้รู้สึกรัญจวนใจยิ่ง
พลันนั้น เสียงดนตรีอันไพเราะก็ดังขึ้น ท่วงทำนองอันร่าเริงสดใสเหมือนดั่งเสียงร้อยวิหคกำลังขับขานแข่งกัน ดังประสานไปมาอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้
ซูหลีตะลึงงัน อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้น เห็นหยางเซียวหนีบใบไม้ใบหนึ่งไว้กลางนิ้วเรียวยาว วางลงบนกลีบปากงาม แล้วเป่าเป็นจังหวะ ท่วงทำนองอันงดงามเกิดขึ้นจากตรงนั้นเอง นึกไม่ถึงว่าเขาจะมีความสามารถด้านนี้ด้วย นางแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
ชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่าบนโลกใบนี้มีเพียงเสียงเพลงอันไพเราะนี้ที่คอยชโลมล้างจิตใจ ช่วงเวลาอันสงบสุขนี้ช่างล้ำค่าเหลือเกิน
ท่วงทำนองค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนนุ่มนวล ความเหน็ดเหนื่อยจู่โจมหัวใจ ครึ่งปีมานี้ ซูหลีไม่เคยหลับสนิทเลยสักคืน ในที่สุดนางก็ผ่อนคลายตนเอง และหลับใหลไปช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว
นางมองไม่เห็นสายตาของเขาที่ยามนี้ไม่มีรอยยิ้มซุกซนอีกแล้ว เหลือเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนที่แม้แต่เขาเองก็อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
หยางเซียวเอื้อมมือออกไปช้าๆ ห่างจากพวงแก้มนางเพียงนิ้วกว่า กรีดกรายไปมาช้าๆ ราวกับมือของคนรักอันอบอุ่น ที่ลูบไล้หญิงในดวงใจของตนอย่างรักใคร่ แสงตะวันที่สาดส่องลงมาบนฝ่ามือเรียวยาวและแข็งแรงของเขาลอดผ่านนิ้วมือ กลายเป็นเงาที่ไหวกระเพื่อมไปมา
“อาหลี นอนเถิด เจ้าเหนื่อยเกินไปแล้ว” เขาพึมพำเสียงเบา
ไม่รู้นอนไปนานเท่าใด ครั้นตื่นมากลับพบว่าถึงเวลาพลบค่ำแล้ว ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ แสงสีทองสาดส่องไปทั่วหุบเขา แตกต่างจากทิวทัศน์ยามกลางวันอย่างสิ้นเชิง
…………………………………………………