กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 355 ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง (2)
สายตาของซูหลียิ่งเย็นชา สาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปบีบคอเขาอย่างรวดเร็ว
หยางเซียวคาดไม่ถึงว่านางจะทำเช่นนี้ เขาเบิกตากว้าง ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
ลมหนาวพัดผ่านผิวทะเลสาบ พาเอาเส้นผมสลวยของสตรีปลิวสยาย นางยืนหันหลังให้แสงสายัณห์ กลิ่นอายเย็นชาน่าพรั่นพรึงแผ่กำจายรอบกาย หยางเซียวตกใจจนอึ้งงัน
“หยุดเล่นลิ้นกับข้าได้แล้ว! บอกมา ท่านเอาเรือไปซ่อนไว้ที่ไหน?” ซูหลีแค่นเสียงเย็นชา นิ้วมือที่ลำคอเขากระชับแน่นขึ้น
หยางเซียวได้สติ รีบร้องเสียงดัง “โอ๊ย…เจ็บจัง! อาหลีน้อยเจ้าเบาหน่อย! ทำเช่นนี้ฆ่าคนตายได้เลยนะ!”
ซูหลีไม่สนใจคำพูดเขา สายตายังคงเย็นชาดั่งคมมีด วันนี้ถูกเขาลากออกมาข้างนอกอย่างกะทันหัน ไม่ได้พกอะไรมาด้วยเลย ยามนี้อยากจะส่งสัญญาณให้หวั่นซินมารับก็ยังทำไม่ได้ นางตึงเครียดขึ้นมาทันที ทะเลสาบแห่งนี้กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ กว่าพวกเขาจะตามหาพวกนางเจอ อย่างเร็วที่สุดก็คงเป็นพรุ่งนี้เช้า!
นางจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา คนผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่?
“โอ๊ย! ช่วยด้วย!” เขาตะโกนเสียงดังเกินความจำเป็น ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยรอยยิ้มประหลาด ไม่มีร่องรอยความหวาดกลัวลนลานหรือทรมานแม้แต่น้อย
ซูหลีหรี่ตาเล็กน้อย “ตะโกนอันใดกัน? ข้าบอกว่าจะฆ่าท่านหรือไร?”
เขารีบคลี่ยิ้มกว้างทันที มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมข้อมือนาง แล้วค่อยๆ ดึงลง “แน่นอนว่าไม่มีทาง อาหลีน้อยดีกับข้าที่สุดแล้ว! แต่เจ้าวางมือบนคอข้าแล้วมันอึดอัดนี่นา”
ซูหลีปล่อยมือออกจากลำคอเขา สะบัดมือเขาออก แล้วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ท่านเล่นลูกไม้รั้งให้ข้าอยู่ที่นี่ มีจุดประสงค์ใดกันแน่? รีบบอกมาว่าจะไปจากที่นี่อย่างไร?”
หยางเซียวแอบมองนางอย่างระมัดระวัง เขายังคงแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ข้าก็แค่อยากให้เจ้าอยู่เล่นที่นี่นานอีกหน่อย จะมีจุดประสงค์ใดได้เล่า? ข้าไม่คิดทำร้ายเจ้าอยู่แล้ว! ตอนนี้พวกเราไม่มีเรือ ไปไหนไม่ได้ ในเมื่อมาแล้ว ก็จงสงบใจอยู่ที่นี่ให้เป็นสุขเถิด พรุ่งนี้ค่อยกลับไปก็ไม่ต่างกัน”
ซูหลีเบนหน้าหนี ทั้งโกรธทั้งแค้น ทว่ากลับจนใจทำอะไรไม่ได้
ครั้นเห็นนางไม่พูดไม่จา หยางเซียวลูบคอตนเอง คลี่ยิ้มเอาใจ แล้วกล่าวว่า “อาหลีน้อย เจ้าอย่าโกรธเลย ข้าจะไปจับปลาให้เจ้าเอง ข้าย่างปลาอร่อยมากนะ! เจ้ารอข้าเดี๋ยว” ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็กระโดดลงไปในทะเลสาบทันที
ซูหลีอึ้งงัน รีบหันไปดู ในทะเลสาบปี้หู ร่างกายแข็งแรงและปราดเปรียวของเขาเหมือนดังมังกรเจียวหลง ทว่าท่าทางกลับเหมือนกบที่กระโดดกระเด้งไปมาอยู่ในน้ำ ดูน่าขบขันยิ่งนัก
ช่างเหลือเกินจริงๆ…ปลาตกใจเขาจนว่ายหนีไปหมดแล้ว!
พลันนั้น เขายืนอยู่กลางน้ำแล้วตะโกนเสียงดัง “อาหลีน้อย มาช่วยข้าเร็วเข้า มีปลา! มีปลาจริงๆ!”
เสียงร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นดีใจของเขา ทำให้ซูหลีรู้สึกคล้อยตามไปด้วย นางลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างลำธารอย่างไม่รู้ตัว เห็นเขากำลังง่วนอยู่กับการไล่จับปลาสีดำตัวหนึ่งในน้ำดังคาด ปลาตัวนั้นแหวกว่ายหลบหนีอย่างว่องไว ฝ่ายหนึ่งจะจับ ฝ่ายหนึ่งจะหนี หยดน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วทิศ ดูคึกคักเป็นพิเศษ
ครั้นเห็นว่าหยางเซียวทำปลาหลุดมือ หลังจากเกือบจับได้หลายครั้งหลายหน ซูหลีก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “ท่านไม่ออกแรงให้มากพอ แล้วจะจับปลาได้อย่างไรเล่า?”
“ไม่ได้การ ลื่นเกินไป!” เขาตะโกนเรียกเสียงดัง “รีบมาช่วยเร็วเข้า!”
ใบหน้าซูหลีสะดุดไปเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็วิ่งเข้ามาหมายจะดึงนางลงน้ำ คราวนี้ซูหลีตาไว หมุนกายหลบหลีก เขาพลาดท่าเสียหลักล้มลงไปในน้ำ ร้องโวยวายเสียงดัง “แกล้งข้าหรือ เจ้าใจร้ายนัก!”
ซูหลียิ้มเย็น “ท่านเล่นตุกติกกับข้าเอง”
“เจ้าปลาเจ้าเล่ห์นัก ถ้าเจ้าไม่ช่วยจะเอาอะไรกินเล่า?” เขายกมือปาดน้ำบนใบหน้า ยามนี้แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำส่องใบหน้าเขา เปล่งประกายเหมือนอัญมณีก็ไม่ปาน
ซูหลีเบนสายตาหนีโดยไม่รู้ตัว ราวกับสิ่งของที่แพรวพราวระยิบตาเช่นนี้ จะทำให้นางแสบตา
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าวันนี้ข้าจะจับเจ้าไม่ได้!” เขากระโดดลงน้ำเสียงดังอีกครั้ง แล้วหันมากวักมือเรียกนาง “รีบมาเร็วเข้าสิ ปลาเยอะมาก!”
ท่ามกลางแสงอาทิตย์สุดท้าย แสงสีเหลืองทองอร่ามระยิบระยับ ปลากระโดดหยดน้ำกระเด็น กลายเป็นภาพที่งดงามและมีชีวิตชีวา
หยางเซียวที่อยู่ในน้ำกระโจนไปทางนั้นทีทางนี้ที ท่าทางดูชอบอกชอบใจ ไม่เหมือนกำลังจับปลา กลับเหมือนเด็กซุกซนที่กำลังเล่นสนุกกับปลามากกว่า เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของทิวทัศน์อันงดงามอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ซูหลีพลันบังเกิดความคิด คว้าสายคาดเอวตวัดออกไป ผ้าไหมสีขาวเหมือนดังสายรุ้งที่แหวกอากาศออกไป ตวัดห่อปลาสีดำที่กระโดดขึ้นมาเหนือน้ำได้อย่างแม่นยำ ซูหลีเหวี่ยงแขน ปลาตัวนั้นก็ถูกตวัดขึ้นมาบนฝั่งพร้อมกับผ้าไหมสีขาว แล้วตกลงมากระเด้งกระดอนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า!
หยางเซียวอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง “สุดยอด! ข้าก็เอาด้วย!”
เขาคว้าสายคาดเอว แล้วเหวี่ยงแขนออกไป เจ้าปลากระโดดพ้นเหนือผิวน้ำ! หยางเซียวเล็งเป้าหมาย สายคาดเอวตวัดรัดตัวปลา จนใจที่ปลาตัวนั้นใหญ่มาก สายคาดเอวของเขาสั้นเกินไป ยังไม่ทันกระตุกขึ้นฝั่ง เจ้าปลาก็ดิ้นขัดขืนแล้วหลุดหนีไปได้!
หยางเซียวตะโกนโวยวายอย่างโกรธขึ้ง “ดีเหลือเกิน เจ้าก็กล้ารังแกข้า คอยดูเถิดข้าจะจัดการเจ้า”
ครั้นเห็นเขากระโจนเข้าไปโรมรันพันตูกับเจ้าปลา มุมปากของซูหลีหยักยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
ผ่านไปไม่นาน เสียง ‘ซ่า’ ก็ดังขึ้น หยางเซียวกระโดดขึ้นมาเหนือน้ำ สองมือชูเจ้าปลาสีดำตัวใหญ่ขึ้นเหนือศีรษะ ตะโกนด้วยความดีใจ “ฮ่าๆ ข้าจับปลาตัวใหญ่ได้! อาหลีน้อย ค่ำนี้ลาภปากเจ้าแล้ว!”
“ดึงข้าขึ้นไปเร็วเข้า” เขาว่ายเข้าใกล้ฝั่ง แย้มยิ้มยิงฟัน ยื่นมือมาให้นางอย่างเป็นธรรมชาติ
ซูหลีไม่สนใจเขา หมุนกายเดินจากไปทันที
หยางเซียวรีบขานเรียก “อาหลีน้อย รอข้าด้วย!” เขาออกแรงกระโดดขึ้นฝั่งได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะวิ่งตามนางไป
ครั้นกลับมาถึงหุบเขา แสงสายัณห์สุดท้ายก็ลับภูเขาไปแล้ว ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง หุบเขาในยามราตรีมืดมิดไปทั่วทิศ ทิวทัศน์อันงดงามที่ถูกความมืดปกคลุมในยามนี้แลดูเงียบเหงาวังเวง
หยางเซียวนั่งข้างกองไฟ ย่างปลาอย่างสบายใจ พร้อมกับแอบชำเลืองมองนางเป็นระยะ ซูหลีมองดูเครื่องปรุงรสที่ถูกเตรียมมาอย่างครบครันข้างกายเขา สายตาขรึมลงเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
กลิ่นหอมของปลาย่างลอยโชยมา ยั่วยวนต่อมน้ำลายยิ่งนัก หยางเซียวหลับตาสูดดมเบาๆ “อืม หอมจัง! อาหลีน้อย เจ้าลองชิมดู”
เขายื่นปลาย่างสีเหลืองอร่ามให้นาง สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ซูหลีมองเขาเงียบๆ ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ แม้แต่เครื่องปรุงรสก็ยังเตรียมมาอย่างครบครันเช่นนี้ เขายังกล้าบอกว่าตนเองไม่ได้ปล่อยให้เรือลอยหายไปอีกหรือ? เขาลงทุนลงแรงถึงเพียงนี้ นางไม่เชื่อว่าเขาจะทำเพื่อย่างปลาให้นางกินเท่านั้น!
“หอมมากนะ!” หยางเซียวขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วเอียงหัวกล่าวยั่วเย้า
ซูหลีไม่สนใจ รอบกายเงียบสงัด ไร้สรรพเสียง มีเพียงเสียงสายน้ำกระทบโขดหินที่ยังคงดังเป็นท่วงทำนองอันต่อเนื่อง
หยางเซียวพลันเงี่ยหูฟัง เสียงร้องของคางคกดังแว่วมาจากที่ไกลๆ สายตาของหยางเซียวพลันเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาทิ้งปลาย่างในมือเหมือนรอคอยมาเนิ่นนานแล้ว และพุ่งตัวไปทางนั้นทันทีเหมือนเสือดาวที่เจอเหยื่อ
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย เมื่อกี้เขายังถือปลาย่างอย่างระมัดระวัง เหมือนกลัวว่าจะทำสกปรก ยามนี้กลับทิ้งมันลงพื้นอย่างไม่สนใจไยดี! เขาเห็นสิ่งใดกันแน่ ถึงได้ตื่นเต้นเพียงนี้?
นางครุ่นคิด แล้วเดินตามไปห่างๆ เห็นเขาก้มกายต่ำเหมือนกบที่หมอบอยู่บนพื้น เงียบงันเหมือนไม่มีผู้ใดอยู่
รอบข้างมืดมาก ดวงตาของเขาเป็นประกายร้อนแรง จดจ้องไปยังจุดหนึ่ง ปากก็เปล่งเสียงร้องที่คล้ายกับเสียงคางคกออกมา
…………………………………………………