กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 358 ดวงตาอันคุ้นเคย (2)
หลังจากอึ้งไปเล็กน้อย เซี่ยงหลีก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขาผ่านเรื่องราวความรักมานานหลายปี ย่อมเข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิงเป็นอย่างดี ดวงตาดอกท้อของเขามองกลับไปกลับมาระหว่างซูหลีกับหยางเซียว รอยยิ้มชั่วร้ายยิ่งนัก “พวกเรา…เหมือนจะมาผิดเวลาเสียแล้วกระมัง?”
หวั่นซินกลอกตาขาวใส่เขา แม้ในใจจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก่อนที่จะเข้าใจเรื่องราวอย่างกระจ่าง นางไม่มีทางพูดอะไรส่งเดชแน่นอน
คิ้วเข้มของฉินเหิงกระดกสูง เขากล่าวด้วยความตกตะลึง “เขาลามปามเช่นนี้ เจ้าสำนักกลับไม่โกรธ?!”
“ยังไม่ถึงเวลา” เจียงหยวนที่เอาแต่เงียบก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยปากอย่างมั่นใจ
เขายังพูดไม่ทันจบประโยค ก็เห็นร่างหยางเซียวกระเด็นลอยออกไป แล้วกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ เขานอนหงายหลังร้องโหวกเหวกเสียงดัง “เจ็บจัง เจ้าจะฆ่าสวามีเจ้าหรือไร!”
ใบหน้าซูหลีตึงเครียด ได้ยินเสียงหยางเซียวตะโกนเสียงดัง “ชายหญิงอยู่ด้วยกันลำพังในป่าเขารกร้างทั้งคืน เป็นเรื่องที่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติของสตรีที่สุดแล้ว ข้าย่อมต้องรับผิดชอบเจ้าอยู่แล้ว!”
ยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเทอะ ซูหลีขี้คร้านจะสนใจเขา จึงสาวเท้าออกเดินทันที
เสียงโหวกเหวกของหยางเซียวยังคงดังอย่างต่อเนื่องอยู่ด้านหลัง “เจ้าอย่าเพิ่งไปสิ รอข้าด้วย! เจ้าไม่อยากให้ข้ารับผิดชอบเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับผิดชอบข้า…”
ซูหลีหันกลับมา แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ณ ทางเข้าหุบเขา พวกหวั่นซินไม่รู้ยืนอยู่นานเท่าใดแล้ว เซี่ยงหลีกับฉินเหิงยังคงก้มหน้ากระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกัน ท่าทางเหมือนกำลังดูละครดีอย่างไรอย่างนั้น ครั้นเห็นว่านางกำลังเดินมาทางนี้ด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทั้งสองก็สะดุ้ง รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันที
ทั้งสี่รีบก้าวเข้ามาทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ศิษย์คารวะท่านธิดาเทพ”
“กลับแท่นบูชาหลัก” ซูหลีกล่าวเพียงประโยคเดียว ในขณะที่ตัวนางได้หายลับไปจากทางเข้าหุบเขาแล้ว
ครั้นกลับถึงแท่นบูชาหลัก หยางเซียวอ้างอาการป่วยพักอยู่ในตำหนักเซิ่งซินไม่ยอมไปไหน ซูหลีหมดหนทาง ทำได้เพียงจัดที่พักให้เขาในตำหนักด้านข้าง เจียงหยวนรีดพิษจากคางคกปรุงเป็นยา หลังจากดื่มติดต่อกันหลายวัน อาการบาดเจ็บภายในของซูหลีก็ดีขึ้นมาก กำลังภายในก็ฟื้นฟูกลับมาไม่น้อย
คืนนี้พระจันทร์สวยงามมาก แสงจันทร์นวลดั่งสายน้ำ หลังกินมื้อเย็นเสร็จ ซูหลีก็สะสางหารือเรื่องในลัทธิกับทูตทั้งสี่ในตำหนักเซิ่งซิน ประจวบเหมาะกับเซี่ยฝูอันผู้ดูแลแท่นบูชาหลักมาเข้าพบพอดี
เซี่ยงหลีขยับพัดในมือเบาๆ “ผู้ดูแลเซี่ยผู้นี้ช่างมีความรับผิดชอบในหน้าที่ยิ่งนัก เรื่องน้อยใหญ่ในลัทธิ ล้วนมารายงานทุกเรื่อง”
วาจานี้ เซี่ยงหลีกล่าวโดยไร้เจตนา ซูหลีกลับลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย หางตาเหลือบมองเงาร่างสูงใหญ่นอกตำหนัก แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ไม่มีเรื่องใดแล้ว พวกเจ้าออกไปเถิด”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ” พวกหวั่นซินค้อมกายกล่าวลา
เซี่ยฝูอันเข้ามาในตำหนัก “เซี่ยฝูอันคารวะท่านธิดาเทพ”
สายตาของซูหลีหยุดจ้องที่ตัวเขาชั่วขณะ ก่อนจะละสายตาออกไปอย่างรวดเร็ว นางถามเสียงเรียบ “ผู้ดูแลเซี่ยมีเรื่องใดจะรายงานหรือ?”
“ข้าน้อยเห็นว่าท่านธิดาเทพกินอาหารได้ไม่มาก ใช่รสอาหารไม่ถูกปากท่านธิดาเทพหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยจะจัดการเปลี่ยนพ่อครัวให้ใหม่ ท่านธิดาเทพโปรดปรานอะไร บอกข้าน้อยได้ ข้าน้อยจะได้จัดการได้อย่างเหมาะสม” ยามกล่าววาจา สายตาของเซี่ยฝูอันจดจ้องมาที่ซูหลี คล้ายกำลังหยั่งเชิง และคาดเดาความชอบของนางอย่างระมัดระวัง
เครื่องหน้าทั้งห้าของเขาเรียบง่ายธรรมดา ดวงตาเปล่งประกายลึกล้ำ หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าสายตาของเซี่ยฝูอันคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก!
ครั้นเห็นซูหลีเอาแต่มองหน้าเขาไม่พูดอะไร เซี่ยฝูอันสงสัย ขานเรียกเสียงเบา “ท่านธิดาเทพ?”
ซูหลีได้สติ เก็บงำความตกตะลึงในใจ แล้วเบนสายตาหนี “ไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก อาหารไม่ได้มีปัญหาอันใด”
“ขอรับ” เซี่ยฝูอันกล่าวอย่างครุ่นคิด “แล้วท่านธิดาเทพไม่สบายที่ใดหรือไม่?”
ซูหลีเอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณผู้ดูแลเซี่ยที่เป็นห่วง ข้าสบายดี”
“เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้วขอรับ ในเมื่อท่านธิดาเทพสบายดี ข้าน้อยก็วางใจ” เซี่ยฝูอันแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนเรียก “เซี่ยถง”
เด็กชายชุดเขียวรีบเข้ามาในตำหนัก เดินประคองจานผลไม้หยกสีเขียวมาวางบนโต๊ะทำงานของซูหลี
เซี่ยฝูอันแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “หลายวันมานี้อากาศร้อน ทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่าย ข้าน้อยเตรียมผลไม้สดใหม่มาให้เป็นพิเศษ”
ซูหลีหลุบตามองแวบหนึ่ง เป็นผลท้อสดใหม่จานหนึ่ง แต่ละลูกอวบกลมสมบบูรณ์ดังไข่มุก ถูกจัดวางอยู่ในจานหยกสีเขียวใส ดูอิ่มน้ำ กลิ่นหอมยั่วยวนใจ
สายตาของนางแปรเปลี่ยนไปทันที “ผลท้อนี้เอามาจากที่ใดกัน?”
เซี่ยฝูอันชะงักไปครู่หนึ่ง เขากล่าวคล้ายประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านธิดาเทพรู้จักผลไม้ชนิดนี้ด้วยหรือ?”
ซูหลีจ้องผลท้อในจาน ไม่ได้ตอบคำถามของเขา
ผลไม้ชนิดนี้มีชื่อว่า ‘ไข่มุกนิล’ เป็นพันธุ์พิเศษที่มีเฉพาะในแคว้นเฉิง นางจะไม่รู้จักได้อย่างไร? ไข่มุกนิลให้ผลผลิตในแต่ละปีน้อยมาก นอกจากเชื้อพระวงศ์และครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยในแคว้นเฉิงแล้ว ชาวบ้านธรรมดาไม่สามารถหากินได้ ยามนี้สองแคว้นกำลังมีศึก เหตุใดผลไม้ชนิดนี้จึงมาปรากฏอยู่ในลัทธิธิดาเทพแห่งแคว้นเปี้ยนได้เล่า?
ซูหลีสุ่มหยิบขึ้นมาหนึ่งลูก ค้นพบว่าเมล็ดถูกแกะออกไปแล้ว เนื้อผลไม้สดนิ่ม ครั้นอยู่บนนิ้วมือที่ขาวเนียนดั่งหยกสลัก ก็ยิ่งดูเย้ายวนยิ่งนัก นางหลับตาเบาๆ ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในหัวใจ เมื่อก่อน…ทุกครั้งที่ถึงฤดูร้อน นางชอบกินไข่มุกนิลที่สุด เมื่อใดที่กลืนลงท้อง ความรู้สึกสดชื่นแผ่ซ่านไปทั่วปาก พาให้อารมณ์ชื่นมื่นไปด้วย ยามนี้ตัวอยู่ต่างแดน ครั้นเห็นอีกครั้ง กลับไม่มีความปรารถนาอยากลิ้มลอง
นางจ้องผลท้ออย่างเหม่อลอย เซี่ยฝูอันสังเกตเห็น ลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะสอบถามอย่างระมัดระวัง “ท่านธิดาเทพไม่ชอบหรือขอรับ? เช่นนั้นข้าน้อยจะสั่งให้เก็บเดี๋ยวนี้”
สายตาของซูหลีขรึมลง ในฐานะผู้ดูแลแท่นบูชาหลัก เซี่ยฝูอันทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม เขามาเข้าพบนางทุกวัน ไม่ว่าเรื่องน้อยใหญ่ใดในลัทธิล้วนต้องหารือกับนาง จำต้องยอมรับว่าการที่เรื่องราวต่างๆ ในแท่นบูชาหลักพัฒนาไปในทางที่ดีอย่างรวดเร็ว ความคิดเห็นที่ตรงประเด็นของเขามีส่วนช่วยมาก แต่ สัญชาตญาณบอกนางว่า เซี่ยฝูอันผู้นี้…มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
หากจำไม่ผิด คนผู้นี้ดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในลัทธิธิดาเทพมาสิบปีแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังอายุน้อยอยู่ อายุสิบกว่าปีก็ได้เป็นผู้ดูแลแท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพแล้ว ความสามารถในการจัดการเรื่องราวต่างๆ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“อาหลีน้อย!” เสียงขานเรียกอันเบิกบานดังขัดความคิดของนาง เงาร่างสีแดงเพลิงพุ่งเข้ามาตรงหน้านางอย่างรวดเร็วเหมือนลมกรด คนที่กล้าตะโกนโหวกเหวกอย่างไม่เกรงกลัวในแท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพ นอกจากองค์ชายสี่หยางเซียวแล้ว ยังจะมีผู้ใดอีก?
เพียงแต่หยางเซียวในค่ำคืนนี้เปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมเปียบนศีรษะก็เต็มไปด้วยหยดน้ำ สภาพเหมือนไก่ตกน้ำแกงอย่างไรอย่างนั้น
เพิ่งจะหายไข้ เขาลงไปทำอะไรในทะเลสาบ? ซูหลีอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ท่านไปทำอะไรมาถึงมีสภาพเช่นนี้?”
หยางเซียวส่งยิ้มตาหยี รอยยิ้มดูย่ามใจ แฝงแววเจ้าเล่ห์ แล้วยังดูมีลับลมคมใน เขาไม่ตอบคำถาม เหลือบเห็นผลท้อที่วางอยู่บนโต๊ะ ก็ร้องเสียงดังทันที “ดีเหลือเกินนะ มีของอร่อยกลับไม่เรียกข้าสักคำ!” เขานั่งลงข้างกายนาง แล้วหยิบผลท้อใส่ปากทันที
“อือ อร่อยดังคาด รสชาติไม่เลวเลย!” หยางเซียวเอ่ยชมไม่ขาดปาก เขากินอย่างเอร็ดอร่อย พริบตาเดียวผลท้อในจานก็หายไปมากกว่าครึ่ง
เซี่ยฝูอันหลุบตามองพื้น ลอบถอนใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก ดูจากการกินของหยางเซียว แทบจะเหมือนวัวเคี้ยวดอกโบตั๋นเลยก็ว่าได้
หยางเซียวกินอย่างสำราญใจ จู่ๆ ก็พบว่าซูหลีไม่ขยับ “นี่ เจ้าอย่ามัวแต่มองข้ากิน เจ้าเองก็กินสิ! ทำไม เจ้าอายหรือ? มาๆ อย่าอายเลย ข้าจะยกชิ้นที่ใหญ่ที่สุดให้เจ้า! อ้าปาก อ้าา…” เขาหยิบผลท้อขึ้นมาหนึ่งลูก แล้วยื่นมาข้างปากนาง หยดน้ำยังไหลจากแขนเสื้อไม่หยุด ซูหลีรีบเอนหลังหลบทันที แต่หยางเซียวขยับตัวเร็วเกินไป หยดน้ำเย็นๆ ยังคงกระเซ็นถูกตัวนาง ทำเอาเสื้อผ้านางเปียกชื้นไปแถบหนึ่ง
…………………………………………………