กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 361 เจ้าเป็นใคร (2)
ระหว่างทางกลับตำหนักเซิ่งซิน เซี่ยฝูอันเดินด้วยฝีเท้าที่รวดเร็วจนแทบจะเรียกได้ว่าบิน ทว่ามั่นคงทรงพลัง ร่างกายอ่อนแรงของซูหลีถูกโอบอุ้มไว้ในอ้อมแขน
สายลมยามราตรีกรีดพัดผ่านโคมไฟใต้หลังคาทางเดินเบาๆ แสงสีเหลืองนวลที่เรียงตัวเป็นแถวไหวกระเพื่อมอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามกลางคืนอันมืดมิด ส่องกระทบบนผิวน้ำกลายเป็นแสงระยิบระยับ สะท้อนเงาแสงสีเงินขาวอันนวลตา พร่าเลือนไม่ชัดเจน ราวกับมีหมอกควันแผ่ปกคลุมวิหารกลางน้ำอันงดงามตระการตาและยิ่งใหญ่แห่งนี้
แท่นบูชาหลักลัทธิธิดาเทพในยามกลางคืน เสมือนแดนสวรรค์ในความฝันที่งดงามเหนือคำบรรยาย พาให้ผู้คนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้รู้สึกสับสนว่าเป็นเรื่องจริงหรือภาพลวงตา
ซูหลีพิงหน้าอกของเขา ในสติสัมปชัญญะอันพร่าเลือน รู้สึกได้เพียงว่าอ้อมแขนนี้ทั้งแข็งแกร่ง อบอุ่น และมีพลังที่ทำให้รู้สึกสงบ เสียงหัวใจเต้นของเขามั่นคงทรงพลัง ดังก้องอยู่ในแก้วหูนางอย่างชัดเจน ราวกับเสียงร้องเรียกอันคุ้นเคยที่อยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ…
นางขยับเข้าใกล้เขาอย่างไม่รู้ตัว พยายามหาตำแหน่งที่สบายตัวในอ้อมแขนของเขา หน้ากากทองเบียดชิดลำคอเขา เขาสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะกระชับแขนทั้งสองข้างแน่นๆ อีกครั้ง
ความรู้สึกนี้…
หัวใจของนางสั่นไหวอย่างไม่มีสาเหตุ พยายามลืมตาสุดกำลัง กลับค้นพบว่าดวงหน้าของบุรุษตรงหน้าพร่าเลือนเหลือเกิน ราวกับระลอกน้ำที่กระเพื่อมไหว นางสูดหายใจ แล้วดึงสาบเสื้อเขาอย่างยากลำบาก ถามด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “เจ้า…เป็นใคร?”
ฝีเท้าของเขาชะงักทันใด เขาก้มมองหน้านางเงียบๆ
แสงและเงาบนทางเดินพาดทับสลับไปมา ดวงตาเบื้องหลังหน้ากากของนางไม่เหลือแววเย็นชาเช่นในยามปกติ สายตาของนางสับสนวุ่นวาย หัวใจของเขาเต้นรัวเร็ว ย้อนถามเสียงเบา “เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร?”
นิ้วมือเรียวสะดุดเล็กน้อย ไม่นานก็คลายออก เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ นางอ้าปาก แล้วเปล่งเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยินออกมา “ตง…”
เขาได้ยินไม่ชัด จึงก้มหน้าถาม “อะไรนะ?”
กลีบปากที่อยู่ใต้หน้ากากทองครึ่งหน้าไม่เปล่งเสียงใดออกมาอีก สติของนางเลือนหายไปอย่างช้าๆ นางค่อยๆ จมดิ่งสู่ความมืดมิดอันหนาวเหน็บและเวิ้งว้างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่มือของนางคล้ายถูกมือหนึ่งกุมเอาไว้แน่น พลังงานอันอบอุ่นค่อยๆ ไหลเข้าสู่กายนาง สติที่พร่าเลือนแจ่มชัดขึ้นมาเล็กน้อย
สายลมกลางคืนอันหนาวเย็นพัดผ่าน จู่ๆ สติของนางก็ชัดแจ้งขึ้นหลายส่วน นางลืมตาเล็กน้อย เบื้องหลังแพขนตายาว แสงจันทร์นวลขาวสลัวราง พร่าเลือน ส่องให้เห็นแนวกรามอันแข็งแกร่งของเซี่ยฝูอัน บนกายเขามีกลิ่นอายของชายฉกรรจ์ กลิ่นหอมจางๆ ของยาลอยโชยออกมาจากตัวเขา นางสูดหายใจเบาๆ กลับไม่ใช่กลิ่นอันคุ้นเคยที่อยู่ในความทรงจำ
ซูหลีสะท้านใจ เมื่อครู่…ขณะที่สติพร่าเลือน นางคิดว่าเขาเป็นใครกัน?! เหตุใดนางจึง…นางจึงได้…หัวใจพลันบีบรัดเจ็บปวด นางรีบผลักเขาออก “ปล่อย…ข้า!”
นางผลักเขาขณะที่เขาไม่ทันตั้งตัว มือของเซี่ยฝูอันพลันคลายออกเล็กน้อย เกือบถูกนางผลักออกสำเร็จ เขาคำรามเสียงต่ำ “บาดเจ็บหนักเพียงนี้ ยังจะดื้อรั้นอีกหรือ?!”
หน้าอกแกร่งกระเพื่อมขึ้นลง เขา…เหมือนจะโกรธงั้นหรือ?!
“เจ้า…” ซูหลีอึ้งงัน ขมวดคิ้วเล็กน้อย คนผู้นี้ ยังใช่เซี่ยฝูอันที่มาเข้าพบนางอย่างเคารพนบนอบในวันแรกที่นางเป็นธิดาเทพหรือไม่?! เหตุใดเขาในยามนี้ จึงให้ความรู้สึกที่เผด็จการและแข็งกร้าวถึงเพียงนี้?
สายตาของเซี่ยฝูอันไหวระริกเล็กน้อย อารมณ์สับสนวุ่นวายจางหายไปในพริบตา ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าเรื่องใดไม่ควรทำตัวแกร่งเกินควร มิเช่นนั้นคนที่จะทรมานก็คือตนเอง” พูดไป เขาก็สาวเท้าเร็วๆ มุ่งหน้าไปยังตำหนักเซิ่งซิน
เซี่ยฝูอันวางซูหลีลงบนเตียงที่อยู่ในห้องนอน จากนั้นก็นั่งอยู่ข้างๆ วางนิ้วลงบนข้อมือนาง ครั้นสัมผัสได้ว่าลมปราณที่ป่วนพล่านของนางเริ่มสงบแล้ว เขาจึงค่อยถอนหายใจ แล้วคลายจุดลมปราณที่สกัดไว้ก่อนหน้านั้นออก
ซูหลีไม่ลืมตา เพียงนอนเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ยามนี้นางฉงนฉงายนิ่งนัก เมื่อครู่ขณะที่สติพร่าเลือน สัมผัสนั้นช่างคุ้นเคยเสียจนทำให้นางตกใจ นางแทบจะแยกไม่ออกว่าคนตรงหน้าคือเซี่ยฝูอัน หรือ…
จิตใจของนางสับสนวุ่นวาย แม้มีหน้ากากกั้นอยู่ แต่นางก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงสายตาอันคมปลาบของเขา ที่กำลังวนเวียนอยู่บนใบหน้านางได้อย่างชัดเจน
เขากำลังมองสิ่งใดกันแน่?
ยามนี้เอง หยางเซียวพาเจียงหยวนเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ เจียงหยวนรีบเดินมาหน้าเตียง ตรวจชีพจรให้ซูหลีอย่างละเอียด สีหน้าของเขาตึงเครียด ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าตึงเครียดของเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง แล้วกล่าวอย่างดีใจว่า “สกัดจุดลมปราณทั้งแปดได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นผลที่ตามมาอาจร้ายแรงจนไม่คาดคิด”
ครั้นได้ยินวาจานี้ สีหน้าของหยางเซียวก็แปรเปลี่ยนเป็นสับสน เขาเหล่มองเซี่ยฝูอันด้วยสายตาเย็นชา แต่กลับไม่พูดอะไร
เจียงหยวนกล่าวอย่างครุ่นคิด “ท่านธิดาเทพเพียงแต่เลือดลมไม่มั่นคง พอดีมีคางคกน้ำแข็งเป็นตัวกระสายยา เมื่อใช้สิ่งนี้ปรุงพร้อมกับยาอีกหลายตัว ก็จะกลายเป็นยาดีที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยม หากตั้งใจพักรักษาตัวให้ดีก็ไม่น่าจะมีอุปสรรคใหญ่หลวง ทว่าหลายวันนี้ ห้ามขับเคลื่อนกำลังภายในอีกเป็นอันขาด”
เซี่ยฝูอันรีบกล่าวขึ้นทันที “ต้องการยากี่ชนิด ทูตวิญญาณโปรดเขียนเทียบมาได้เลย ข้าน้อยจะรีบสั่งให้คนเตรียมไว้”
สายตาของเจียงหยวนไหวระริกเล็กน้อย เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปเขียนเทียบยาที่โต๊ะ
หยางเซียวค่อยๆ เดินไปยืนข้างเซี่ยฝูอัน แล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “สมกับเป็นผู้ดูแลแท่นบูชาหลัก ยามออกคำสั่งกับข้าก็ช่างเฉียบขาดยิ่งนัก!” เขาจ้องเซี่ยฝูอันด้วยสายตาคมปลาบ ครั้นนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ก็ราวกับมีเพลิงสุมอยู่ในอกเขากองหนึ่ง เซี่ยฝูอันมีฐานะใดกัน? เป็นเพียงคนของเสด็จพ่อที่ถูกส่งมาสอดแนมเรื่องต่างๆ ในแท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพเท่านั้น กลับกล้าออกคำสั่งกับเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น? หากมิใช่เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของซูหลี หยางเซียวมีหรือจะยอมฟังคำสั่งของเขา?!
ใบหน้าของเซี่ยฝูอันเรียบเฉยเหมือนยามปกติ เขาถอยหลังหนึ่งก้าว ค้อมกายก้มศีรษะเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “สถานการณ์คับขัน กระหม่อมจำต้องทำตามหน้าที่ หากกระทำการใดล่วงเกินไป ขอองค์ชายสี่โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” แม้เขาจะกล่าววาจาอย่างเคารพนบนอบ แต่ท่าทีกลับไม่ถ่อมตนจนดูต้อยต่ำ ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง
“ที่แท้เจ้าก็ยังรู้ฐานะตนเอง? อย่าคิดว่าเจ้าได้รับพระบัญชาให้ดูแลเรื่องต่างๆ ในแท่นบูชาหลัก แล้วจะกระทำการใดตามใจชอบได้! พึงระลึกฐานะตนเองไว้เสมอ จึงจะเป็นการกระทำที่คนฉลาดพึงมี!” ณ วินาทีนี้ รัศมีคมปลาบแผ่กำจายรอบกายหยางเซียว แตกต่างจากท่าทางขี้เล่นในยามปกติโดยสิ้นเชิง ทุกคำพูดแฝงไว้ด้วยสัญญาณเตือนอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมของเซี่ยฝูอันในคืนนี้ทำให้เขาโกรธเกรี้ยว
รอยยิ้มเหยียดหยันพาดผ่านกลีบปากของเซี่ยฝูอันอย่างรวดเร็ว เขายังคงยืนก้มหน้า “องค์ชายสี่ทรงสั่งสอนได้ถูกต้อง เซี่ยฝูอันจะจดจำให้ขึ้นใจ”
หยางเซียวแสยะยิ้มเยือกเย็น แล้วเตือนเขา “เจ้าจำไว้ก็ดี! มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
เซี่ยฝูอันเงยหน้าขึ้นช้าๆ จ้องตาหยางเซียวอย่างไม่เกรงกลัว หยางเซียวใบหน้าขึ้งเคียด จ้องหน้าเขาด้วยสายตาคมปลาบเย็นชา
ชั่วขณะหนึ่ง ในตำหนักเงียบงันไร้เสียง ได้ยินเพียงเสียงพู่กันในมือเจียงหยวนที่ตวัดขีดเขียนอยู่บนกระดาษด้วยความเร็ว
เจียงหยวนเขียนเทียบยาเสร็จอย่างรวดเร็ว ครั้นเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหยางเซียวกับเซี่ยฝูอันกำลังจ้องหน้ากัน คล้ายกำลังปะทะอารมณ์กันอย่างไร้เสียง สองคนนั้นความสูงไล่เลี่ยกัน แต่กลับมีราศีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งเผด็จการห้าวหาญ คนหนึ่งสงบนิ่งเยือกเย็น ชั่วขณะหนึ่งถึงขั้นตัดสินไม่ได้ว่าผู้ใดเหนือกว่า!
บนเตียง ซูหลียังคงนอนเงียบๆ อยู่เช่นเดิม
เจียงหยวนลอบสังเกตทุกอย่างอย่างเงียบๆ ไม่นานเขาก็กระดกคิ้วกล่าวว่า “ผู้ดูแลเซี่ย เทียบยาเขียนเสร็จแล้ว เพียงไปเตรียมยาตามเทียบยานี้ไว้ก็พอ”
เซี่ยฝูอันจึงละสายตากลับมา เขารับเทียบยาไปอ่านเร็วๆ หนึ่งรอบ แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ ถามขึ้นด้วยความสงสัย “ลวี่หลีมีฤทธิ์เย็น เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะให้ท่านธิดาเทพกิน?”
“ลวี่หลีมีฤทธิ์เย็นก็จริง แต่หากปรุงพร้อมกับคางคกน้ำแข็งกลับช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย อาการบาดเจ็บของธิดาเทพต้องรักษาด้วยวิธีนี้” เจียงหยวนที่เย่อหยิ่งมาโดยตลอด ครั้นเผชิญหน้ากับคำถามของเซี่ยฝูอัน กลับอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด
…………………………………..