กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 366 บุรุษลึกลับ (4)
ต่อหน้าธารกำนัล ถูกตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรงและน้ำเสียงเกรี้ยวกราดเช่นนี้ ใบหน้าชราของหลินเหยาแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงในที่สุด ประเดี๋ยวแดงก่ำ ประเดี๋ยวซีดขาว เขาแค่นเสียงขึ้นจมูก กล่าวเสียงเย็นชา “ทูตนารีไม่จำเป็นต้องตำหนิรุนแรงเช่นนี้ เรื่องนี้ข้ารายงานผู้อาวุโสเสวียนฟงแต่แรกแล้ว”
“ในลัทธิมีคำสั่ง เรื่องสำคัญทุกเรื่องในสำนักต่างๆ เมื่อรายงานผู้อาวุโสแล้ว ยังต้องรายงานทูตทั้งสี่ด้วย หัวหน้าสำนักเมฆาขาวได้ทำตามกฎโดยรายงานเรื่องนี้ให้ทูตมั่งคั่งทราบแล้วหรือไม่?”
เส้นเลือดบนหน้าผากของหลินเหยาปูดโปน ใบหน้าเริ่มเขียวคล้ำ
หวั่นซินไม่เว้นช่อง ยังคงตั้งคำถามต่อ “กล้าขัดคำสั่งของธิดาเทพ ท่านคิดว่าตนเองควรรับโทษสถานใดกัน?”
ทุกถ้อยคำบาดลึกรุนแรง ใบหน้าของหลินเหยาเปลี่ยนสี เหงื่อเย็นไหลอาบขมับ เขาเงยหน้ามองซูหลีที่ยามนี้สายตาคมปลาบ พลันนึกถึงวันที่ทำพิธีสืบทอดตำแหน่งธิดาเทพ จุดจบของโจวเยวี่ยหัวหน้าสำนักท่องโมราคนเก่า…เขากลับไม่กล้าโต้แย้งแม้แต่คำเดียว
ซูหลีเพียงจ้องมองเขาอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไร
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ฝืนฉีกยิ้ม เดินเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าซูหลี ค้อมศีรษะกล่าวว่า “ท่านธิดาเทพปราดเปรื่อง! ข้าน้อยภักดีต่อท่านธิดาเทพ ไม่กล้าขัดขืนคำสั่งท่านธิดาเทพแน่นอน เพียงแต่…ข้าน้อยเห็นหญิงสาวนางนี้ไม่มีวรยุทธ์ แต่กลับสามารถแฝงตัวเข้ามาในสำนักเมฆาขาวได้ รู้สึกประหลาดใจ จึงอยากสืบประวัตินางให้ชัดเจนแล้วค่อยรายงานขอรับ”
คำอธิบายของเขาฟังดูดี เห็นได้ชัดว่าพยายามผ่อนหนักให้เป็นเบา ผลักความผิดให้พ้นตัว แต่ก็สมใจนางพอดี ซูหลีจ้องหลินเหยาด้วยสายตาเย็นชาครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเข้ม “ในลัทธิมีกฎเกณฑ์อยู่แล้ว นางจะเป็นไส้ศึกหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะตัดสินได้ ทูตนารี นำตัวหญิงนางนี้กลับไปที่แท่นบูชาหลัก ข้าจะสอบสวนนางด้วยตนเอง! ส่วนหัวหน้าสำนักหลิน จงเดินทางไปรับโทษที่สำนักท่องโมราด้วยตนเอง!” เอ่ยจบ นางก็ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
หลินเหยาคุกเข่าอยู่กับที่ กระทั่งเงาร่างของซูหลีหายลับไป สติที่ตึงเกร็งของเขาจึงค่อยผ่อนคลายลงในที่สุด เขาทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น แต่กลับพบว่าเสื้อผ้าบนกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อหมดแล้ว!
พวกซูหลีไม่กล้าเสียเวลาอีก รีบมุ่งหน้ากลับตำหนักเซิ่งซินโดยเร็ว หวั่นซินถอดหน้ากากออก แล้วถามโม่เซียงด้วยน้ำเสียงตำหนิทันที “เจ้าเป็นอะไรไป? คุณหนูสั่งให้เจ้ารออยู่ที่ศาลาเสียนทิง เหตุใดเจ้าจึงสะกดรอยตามพวกเขามาถึงนี่? เจ้าไม่มีวรยุทธ์ แล้วยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ หากวันนี้ข้ากับคุณหนูไม่บังเอิญไปพบเจ้าที่สำนักเมฆาขาว เจ้าจะตายอย่างไรยังไม่รู้!” ครั้นนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ นางยังคงหวาดกลัวไม่หาย
โม่เซียงเองก็อกสั่นขวัญแขวนไม่หายเช่นกัน นางรู้ว่าพฤติกรรมของตนเองอันตรายจริงๆ อ้ำอึ้งอยู่นาน ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไร นางแอบเงยหน้ามองซูหลี
สายตาของซูหลีนิ่งขรึม นางไม่พูดอะไร ภายนอกศาลาเสียนทิงเป็นหอน้ำชา แต่แท้จริงแล้วเป็นฐานที่มั่นแห่งใหม่ของเฉินเหมิน ก่อนเข้ามาในลัทธิธิดาเทพ นางสั่งให้โม่เซียงรั้งอยู่ที่นั่น เด็กคนนี้แม้จะซุกซน แต่กลับเชื่อฟังนางมาโดยตลอด วันนี้กล้าสะกดรอยตามคนในลัทธิมาถึงนี่ ต้องมีเหตุผลแน่นอน
“มีเรื่องใดเกิดขึ้นกันแน่?” ครั้นเห็นใบหน้านางแดงก่ำไปทั้งดวง พวงแก้มก็บวมเป่ง น้ำเสียงของหวั่นซินจึงอ่อนลง
โม่เซียงก้มหน้าอย่างน้อยใจ “เช้าวันนี้ ข้าทำความสะอาดอยู่บนหอ ค้นพบว่าอิฐก้อนหนึ่งในมุมห้องนั้นสั่นคลอน จึงเหยียบเก้าอี้ขึ้นไปดู ปรากฏว่าได้ยินบุรุษหลายคนกำลังหารือกันเรื่องหนึ่ง พวกเขาพูดถึงธิดาเทพ…”
ซูหลีขมวดคิ้ว ข้างศาลาเสียนทิงเป็นหอนางโลม แต่ไหนแต่ไรสถานที่เช่นนั้นก็เต็มไปด้วยคนหลากหลายประเภท หารือเรื่องลับๆ ในสถานที่เช่นนั้นถือว่าตบตาคนภายนอกได้ดีทีเดียว
หวั่นซินตกใจ “ผู้ใดกัน?”
โม่เซียงส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ ได้ยินแค่เสียงเท่านั้น พวกเขาบอกว่า…” พูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็ปิดปาก แล้วกวาดมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง คล้ายมีเรื่องสำคัญมากๆ และกลัวคนนอกจะมาได้ยินเข้า
“ที่นี่ปลอดภัย เจ้าได้ยินสิ่งใดมาก็ว่ามาเถิด”
โม่เซียงทำหน้าหนักใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก นางไม่กล้าเอ่ยปากส่งเดช นางเดินไปหาซูหลี แล้วชะโงกตัวเข้าไปกระซิบบอกนางเบาๆ
สายตาของซูหลีพลันแปรเปลี่ยน “เจ้าแน่ใจหรือว่าได้ยินไม่ผิด?”
โม่เซียงพยักหน้าแรงๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจสุดขีด “บ่าวได้ยินชัดเจนมากเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นบ่าวคงไม่กล้าขัดคำสั่งของคุณหนู แล้วสะกดรอยตามพวกเขามาอย่างลับๆ บ่าวทำเช่นนี้เพราะอยากรู้ว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่! น่าเสียดาย บ่าวสะกดรอยตามหัวหน้าสำนักเมฆาขาวได้เพียงคนเดียว อีกคนเป็นผู้ใดบ่าวไม่ทันเห็นเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าหมายความว่า ในกลุ่มคนที่หารือเรื่องคุณหนูกันอย่างลับๆ ในหอนางโลม มีหัวหน้าสำนักเมฆาขาวอยู่ด้วยงั้นหรือ?”
หวั่นซินสะท้านไปทั้งใจ เมื่อครู่ตอนอยู่ที่สำนักเมฆาขาว หลินเหยาพูดแค่ว่าโม่เซียงสะกดรอยตามฉินเซิง กลับไม่เอ่ยถึงตนเองแม้แต่คำเดียว
“คุณหนู หลินเหยาผู้นี้ต้องมีสิ่งใดปิดบังอยู่แน่นอนเจ้าค่ะ!”
ซูหลียังคงนิ่งเงียบสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง หากเรื่องที่โม่เซียงพูดเป็นความจริง…สายตาของนางค่อยๆ เย็นเยียบลง นางกำชับเสียงเข้ม “ให้คนจับตาดูหลินเหยาหัวหน้าสำนักเมฆาขาวไว้ให้ดี อีกทั้ง…ทุกการเคลื่อนไหวของสองผู้อาวุโสเสวียนจิ้งและเสวียนฟง ห้ามปล่อยให้คลาดสายตาไปเด็ดขาด!”
หวั่นซินกระจ่างแก่ใจว่าเป็นเรื่องใหญ่ จึงรีบรับคำทันที “เจ้าค่ะ”
“โม่เซียงถูกพวกเขาจับได้แล้ว อยู่ข้างนอกเพียงลำพังคงไม่ปลอดภัย ให้นางรั้งอยู่ที่นี่ไปก่อน หากมีผู้ใดถามก็บอกว่านางหลงทางอยู่ในภูเขา แล้วพลัดเข้ามาในนี้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ความลับในลัทธิรั่วไหล จึงได้เก็บนางไว้เป็นสาวใช้ทำงานระดับล่างให้ข้า”
ครั้นนึกถึงการเผชิญหน้าอันน่าหวาดกลัวกับหัวหน้าสำนักเมฆาขาว โม่เซียงก็รีบรับคำ
สายตาของหวั่นซินตึงเครียด “มีคนมา!”
ยังไม่ทันสิ้นประโยค ประตูก็ถูกเปิดออก “เอ๋ กลางวันแสกๆ ปิดประตูทำอะไรกัน?” คนผู้หนึ่งชะโงกหน้าเข้ามา คิ้วและดวงตาโค้งงองดงาม แม้แต่แสงตะวันเจิดจ้าด้านหลังยังดูหมองลงทันใด เขาแย้มยิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “ข้ากลับมาแล้ว!”
กลับเป็นหยางเซียวที่ไม่ได้พบกันมาหลายวัน ใจของซูหลีหนักอึ้ง เหตุใดเขาจึงต้องกลับมาเวลานี้พอดี?
โม่เซียงหันไปมองซูหลีโดยสัญชาตญาณ นางกล่าวเสียงเรียบเฉย “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด”
ทั้งสองคนหันไปค้อมกายให้หยางเซียว ก่อนจะออกไปจากตำหนักอย่างรวดเร็ว หยางเซียวมองแผ่นหลังของโม่เซียงที่ห่างออกไป “เอ๋? นั่นสาวรับใช้คนเก่าของเจ้าไม่ใช่หรือ? นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ซูหลีรับคำเบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการพูดมากกว่านั้น หยางเซียวเห็นเช่นนั้น ก็ไม่ถามมากความอีก เขาหันกลับมา เดินมาหานาง แล้วกล่าวว่า “ไม่เจอกันหลายวัน เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”
การตอบสนองของซูหลีเหนือความคาดหมายของเขา นางไม่หลบเลี่ยงสายตา กลับจ้องหน้าเขานิ่งๆ แล้วถามเสียงเบา “พระวรกายของฝ่าบาททรงเป็นเช่นไรบ้าง?”
“อืม ดีขึ้นมากแล้ว” หยางเซียวพยักหน้า เขานั่งแผ่หลาลงบนเก้าอี้ แล้วถอนหายใจเสียงดัง “อยู่กับเจ้าที่นี่ดีกว่าดังคาด เงียบสงบไม่มีใครมารบกวน กลับวังไปหลายวันข้าไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่มสักคืนเลย เสด็จพ่อประชวร เรื่องทุกอย่างข้าจึงต้องเป็นคนจัดการแทน เหนื่อยจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว”
ซูหลียกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ “ท่านเป็นองค์ชายเพียงองค์เดียวที่เหลืออยู่ในรัชสมัยนี้ ภายหน้าแคว้นเปี้ยนก็จะเป็นของท่าน ช่วยแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว”
หยางเซียวเอียงคอ เม้มปากกล่าวว่า “หากยังมีพี่น้อง ข้าขอไม่เป็นองค์ชายน่าเบื่อนี่ดีกว่า ต้องทำงานหนักอยู่ในวังตลอดชีวิต ขนานนามเสียดูดีว่าเป็นกษัตริย์แห่งแคว้น ที่แท้แล้วต่างอะไรจากติดคุกกัน?”
นึกไม่ถึงว่าเขาจะมีความคิดเช่นนี้ ซูหลีมองหน้าเขาด้วยสายตาลึกล้ำ นิ่งเงียบครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า “พักนี้ท่านได้ไปขัดแข้งขัดขาผู้ใดหรือไม่?”
“ข้าเหนื่อยจนเท้าแทบจะไม่ติดพื้นเสียด้วยซ้ำ จะมีเวลาไปขัดแข้งขัดขาผู้ใดกัน?” เอ่ยจบ หยางเซียวก็ชะงักไปเล็กน้อย สัมผัสได้ว่าวาจาของนางแฝงความนัย จึงรีบลุกนั่งตัวตรง “มีเรื่องหรือ?”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไร กลิ่นหอมของชาอบอวล ไอร้อนลอยฟุ้ง ดวงตาของนางที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากเย็นเยียบดั่งหิมะพันปี
……………………