กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 369 สังหารเขา (3)
เสวียนฟงขมวดคิ้วกล่าวว่า “ได้ยินว่าองค์ชายสี่เสวยน้ำแกงเม็ดบัวไปเพียงครึ่งถ้วย แล้วจู่ๆ ก็ล้มไม่ได้สติ”
“ผู้ใดกันกินหัวใจหมีดีเสือ กล้าวางยาพิษลงในอาหารของตำหนักเซิ่งซิน ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง?” พัดในมือเซี่ยงหลีหุบเสียงดัง ดวงตาดอกท้อปรากฏไอสังหาร
สายตาของซูหลีเย็นชา “น้ำแกงเม็ดบัวอยู่ที่ใด?”
เสวียนฟงรีบตอบทันที “ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งไม่ระวังทำน้ำแกงเม็ดบัวหก ข้าน้อยสั่งให้คนทำความสะอาดแล้ว เด็กๆ นำเข้ามา” ประตูเปิดออก บ่าวรับใช้คนหนึ่งรีบนำเศษถ้วยแกงเข้ามา
ซูหลีลอบสงสัย เสวียนจิ้งทำเรื่องใดมักระมัดระวังและรอบคอบเสมอมา เหตุใดวันนี้จึงไม่ระวังทำน้ำแกงเม็ดบัวหกได้? นางเงยหน้ามองเสวียนจิ้ง สีหน้าของเสวียนจิ้งตึงเครียดเล็กน้อย สายตาสับสนวุ่นวาย แต่ไม่ได้พูดอะไร
ซูหลีรับเศษถ้วยแกงไป กลิ่นหอมจางๆ ลอยโชยกลางอากาศ นางดมกลิ่นเพื่อแยกแยะอย่างละเอียด หัวใจพลันสะท้าน กลับเป็น ‘ดับชีพ’ ยาพิษที่สำนักจันทร์เสี้ยวคิดค้นขึ้นมาใหม่! เมื่อใดที่พิษนี้เข้าไปในร่างกาย จะส่งผลทำให้เลือดลมปั่นป่วน เร่งประสิทธิภาพของพิษให้เร็วขึ้น แล้วอวี๋เชียนจีก็บังเอิญเป็นหัวหน้าสำนักจันทร์เสี้ยว…
ดับชีพกับน้ำแกงเม็ดบัว อวี๋เชียนจีกับเซี่ยฝูอัน สองอย่างนี้จะมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่?
เหตุการณ์ในหอซือหยวนพลันผุดขึ้นมาในสมองซูหลี นางเหลือบมองเซี่ยฝูอัน ประจวบเหมาะกับที่เขาก็มองมาที่นางพอดี นัยน์ตาลึกล้ำเปล่งประกายเจิดจ้า เผชิญหน้ากับสายตาคมปลาบของนางตรงๆ โดยไม่หลบเลี่ยง ในส่วนลึกของดวงตาคล้ายมีคลื่นอารมณ์ซ่อนอยู่ แต่กลับเลือนรางไม่ชัดเจน
ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของนางสั่นไหวโดยไม่รู้สาเหตุ ทว่ากลับยังคงกล่าวเสียงเย็นชา “เซี่ยฝูอัน เหตุเกิดจากน้ำแกงเม็ดบัว เจ้าจะอธิบายเช่นไร?”
“น้ำแกงเม็ดบัวถ้วยนี้เซี่ยถงต้มด้วยมือตนเอง จากนั้นก็นำมาถวายที่ตำหนักเซิ่งซิน” เซี่ยฝูอันตอบตามความจริง
“เซี่ยถงอยู่ที่ใด?”
“รออยู่นอกตำหนักขอรับ”
เซี่ยถงถูกเรียกตัวเข้ามาทันที เขาก้มหน้าก้มตา เดินตัวสั่นเข้ามา ไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ เขาเดินตรงมาคุกเข่าตรงหน้าซูหลี แล้วกล่าวด้วยเสียงปนสะอื้น “เซี่ยถงคารวะธิดาเทพ”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัว เล่ารายละเอียดมาให้หมด หากเจ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำจริง ข้าย่อมคืนความบริสุทธิ์ให้แก่เจ้า”
“ขอรับ ตำหนักเซิ่งซินมีคำสั่งลงมาว่าต้องการน้ำแกงเม็ดบัวหนึ่งถ้วย ข้าน้อยจึงรีบไปเตรียมที่ห้องครัว ข้าน้อยเฝ้าอยู่ข้างเตาไฟตลอด ไม่เคยห่างสักก้าว หลังต้มน้ำแกงเสร็จ ข้าน้อยตรวจสอบอุปกรณ์ที่ใช้และน้ำแกงเม็ดบัวอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบสิ่งผิดปกติใด จึงนำมาถวายที่ตำหนักเซิ่งซิน กลับไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ข้าน้อย ข้าน้อยไม่รู้เรื่องจริงๆ นะขอรับ!” กล่าวจนถึงประโยคสุดท้าย เซี่ยถงหวาดกลัว จู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา
เซี่ยฝูอันรีบก้าวเข้ามากล่าวเสียงเข้ม “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าน้อยยากจะเลี่ยงความรับผิดชอบ ทว่าเรื่องที่เซี่ยถงพูดล้วนเป็นความจริง ไม่มีเจตนาผลักความผิดให้พ้นตัวแน่นอน ท่านธิดาเทพโปรดพิจารณาอย่างปราดเปรื่องด้วยขอรับ”
น้ำเสียงของเขามั่นคง ไม่มีวี่แววแตกตื่นลนลาน ซูหลีจ้องทั้งสองอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง นางเชื่อว่าสองคนนี้ไม่มีเจตนาทำร้ายหยางเซียว ตามหลักทั่วไปแล้ว คนร้ายที่แท้จริงมีแต่จะโยนความผิดให้ผู้อื่น มีหรือจะดึงปัญหาใส่ตัวเช่นนี้? ด้วยความคิดอันรอบคอบและช่างสังเกตของเซี่ยฝูอัน หากต้องการทำร้ายใครจริงๆ เกรงว่าคงไม่ถูกจับได้ง่ายๆ เช่นนี้
ถ้าหากปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นที่ห้องครัว เช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีคนใช้อุบายในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างที่นำอาหารมาถวายตำหนักเซิ่งซิน? นางพลันสะดุดใจ ยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ได้ยินเซี่ยฝูอันถามเสียงเข้ม “เซี่ยถง ระหว่างทางที่เจ้าเดินมาตำหนักเซิ่งซิน ได้พบผู้ใด หรือเกิดเหตุการณ์อะไรเป็นพิเศษหรือไม่?”
เซี่ยถงย้อนนึก ในที่สุดก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ก่อนที่ข้าน้อยจะเข้าไปในตำหนัก ข้าน้อยไม่ระวังเดินชนผู้อาวุโสเสวียนจิ้ง น้ำแกงเม็ดบัวหกเลอะผู้อาวุโสเล็กน้อย โชคดีที่ผู้อาวุโสใจกว้าง ไม่ได้เอาผิดข้าน้อยขอรับ”
ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย สายตาคมปลาบตวัดมองไปที่เสวียนจิ้ง เสวียนจิ้งขมวดคิ้ว ซูหลีออกคำสั่ง “เรียกอวี๋เชียนจีมาเข้าพบ”
“อวี๋เชียนจี หัวหน้าสำนักจันทร์เสี้ยวคารวะท่านธิดาเทพ มิทราบว่าท่านธิดาเทพเรียกข้าน้อยมามีเรื่องใดให้รับใช้เจ้าคะ?” อวี๋เชียนจียังคงสวมชุดกระโปรงสีม่วงควันบุหรี่ กิริยาท่าทางอ่อนช้อยดั่งต้นหลิว แต่กลับไม่มีท่าทียั่วยวนดังเช่นก่อนหน้านั้นแล้ว นางคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักอย่างนอบน้อม
ซูหลีจ้องพิจารณาสตรีที่ก้มหน้าคุกเข่าอยู่เบื้องล่างเงียบๆ สตรีเช่นนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยงหลีหนึ่งในสี่ทูต นางเป็นฝ่ายแสดงไมตรีก่อนแต่กลับปลีกตัวอย่างแนบเนียน เป็นเรื่องที่ประหลาดยิ่งนัก
“หัวหน้าสำนักอวี๋ เจ้าค้นคว้าและปรุงยาพิษอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มิสู้ช่วยข้าดูสักหน่อย ว่าในเศษถ้วยแกงนี้มีพิษใดอยู่กันแน่” หวั่นซินรีบนำกองเศษถ้วยแกงไปวางตรงหน้าอวี๋เชียนจี
เซี่ยฝูอันคล้ายตระหนักรู้ รอยยิ้มพาดผ่านกลีบปากและหายไปอย่างรวดเร็วจนสังเกตไม่เห็น
แววประหลาดใจปรากฏในดวงตาอวี๋เชียนจี นึกไม่ถึงว่าซูหลีจะให้นางมาตรวจหายาพิษ ครั้นสัมผัสได้ว่าสายตาของซูหลีกำลังจดจ้องตนเองไม่วางตา นางก็รับคำ “เจ้าค่ะ” แล้วเพ่งสมาธิ ก้มหน้าตรวจสอบอย่างละเอียด
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางเงยหน้าขึ้น คล้ายกระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่สุดท้ายกลับกล่าวอย่างมั่นใจว่า “นี่เป็นยาพิษ ‘ดับชีพ’ ที่สำนักจันทร์เสี้ยวของข้าน้อยปรุงขึ้นมาเจ้าค่ะ”
“ยาพิษดับชีพเป็นยาพิษที่เจ้าปรุงขึ้นเองกับมือ หากข้าจำไม่ผิด ยาพิษทุกอย่างในสำนักจันทร์เสี้ยว ล้วนถูกเก็บรักษาไว้โดยเจ้า” ซูหลีถามทีละคำๆ “ครึ่งชั่วยามก่อน แขกสูงศักดิ์ของตำหนักเซิ่งซิน ดื่มน้ำแกงเม็ดบัวถ้วยนี้ไป แล้วสิ้นใจตายทันที”
สีหน้าของอวี๋เชียนจีซีดเผือด “ท่านธิดาเทพโปรดพิจารณาอย่างปราดเปรื่อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าน้อยนะเจ้าคะ! เรียนท่านธิดาเทพ พิษนี้เป็นพิษดับชีพจริงๆ แต่ข้าน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าน้อยอยู่ที่หอซือหยวนกับผู้ดูแลเซี่ยตลอด ไม่มีโอกาสวางยาพิษในน้ำแกงแน่นอน ผู้ดูแลเซี่ยเป็นพยานให้ข้าน้อยได้เจ้าค่ะ!” นางรีบหันไปมองเซี่ยฝูอัน สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ซูหลีลอบตึงเครียด การยั่วยวนครั้งนั้นกลับกลายเป็นพยานยืนยันที่อยู่ให้นาง!
เซี่ยฝูอันแสร้งทำเป็นไม่เห็น เขาทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับสิ่งที่อวี๋เชียนจีกล่าวไม่เกี่ยวกับเขา
อวี๋เชียนจีขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหันไปทางเซี่ยงหลี “ทูตมั่งคั่งก็ทราบเจ้าค่ะ”
เซี่ยงหลีเอามือกุมคางมองอวี๋เชียนจี พลางกล่าวอย่างครุ่นคิด “ถูกต้องแล้ว เมื่อครู่นางอยู่ที่หอซือหยวนจริงๆ เรื่องนี้ข้าน้อยยืนยันได้ขอรับ”
หวั่นซินขมวดคิ้วกล่าวเสียงเข้ม “แต่พิษดับชีพนอกจากเจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมีในครอบครองอีก เรื่องนี้จะอธิบายเช่นไร?”
อวี่เซียนจีรีบแก้ต่าง “เรียนทูตนารี พิษ ‘ดับชีพ’ นั้นข้าน้อยไม่ได้มีในครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ในวันที่ข้าน้อยปรุงพิษนี้สำเร็จ ข้าน้อยได้มอบให้ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งหนึ่งขวดเจ้าค่ะ”
สายตาทุกคู่ตวัดมองไปที่ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งเป็นจุดเดียว
“ผู้อาวุโสเสวียนจิ้ง มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?” สายตาของซูหลีคมปลาบ เอ่ยถามเสียงเข้ม
เสวียนจิ้งขมวดคิ้วแน่น ก้าวออกมากล่าวว่า “มีเรื่องเช่นนี้จริงขอรับ แต่เสวียนจิ้งไม่ได้เป็นคนวางยาพิษแน่นอน! ท่านธิดาเทพโปรดพิจารณาอย่างปราดเปรื่องด้วย!”
“สำนักจันทร์เสี้ยวขึ้นตรงกับท่านตลอดมา นอกจากหัวหน้าสำนักอวี๋เชียนจี ยังมีผู้ใดมีพิษดับชีพในครอบครองอีกหรือไม่?” ซูหลียังไม่ทันเปิดปาก ผู้อาวุโสเสวียนฟงก็กล่าวอย่างเดือดดาล “เมื่อครู่เซี่ยถงบอกว่า ขณะนำน้ำแกงเม็ดบัวไปถวายที่ตำหนักเซิ่งซิน ระหว่างทางพบแค่ท่านเพียงผู้เดียว หากไม่ใช่ท่าน พิษมันจะโผล่ขึ้นมาเองได้หรือ?”
“พิษโผล่ขึ้นมาเองได้หรือไม่ ข้าไม่รู้! แต่ข้าเสวียนจิ้งอยู่ในลัทธิมาหลายสิบปี แม้ไม่ถึงกับใจคอกว้างขวางเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่กลับมีใจภักดีต่อผู้เป็นนาย ไม่ว่าเรื่องใดล้วนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อน ไม่มีทางวางยาพิษทำร้ายผู้เป็นนายอย่างแน่นอน! มีผู้ใดเห็นกับตาว่าข้าวางยาพิษหรือไม่เล่า? มีหรือไม่?” ใบหน้าเสวียนจิ้งโกรธขึ้ง ทุกถ้อยคำหนักแน่น เสียงดังทรงพลัง หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลง สายตากวาดมองกลุ่มคน แสดงให้เห็นถึงเพลิงโทสะที่ลุกท่วมใจ คล้ายการที่สงสัยว่าเขาวางยาพิษทำร้ายองค์ชายสี่เป็นการลบหลู่เกียรติของเขาอย่างถึงที่สุด
……………………