กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 385 อภัยให้ได้หรือไม่? (2)
กระบี่ยาวตกพื้น สตรีนางนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แขนชาไปทั้งท่อน ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง นางเจ็บจนน้ำตาแทบไหล
ไม่รอให้นางตั้งตัวทัน นิ้วมือเรียวยาวของตงฟางเจ๋อพุ่งออกไปบีบคอของสตรีนางนั้นอย่างรวดเร็ว เขาถามด้วยใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ “เจ้าเป็นผู้ใด? ใครส่งเจ้ามา?”
สตรีชุดดำคล้ายนึกไม่ถึงว่าตนเองจะถูกจับอย่างง่ายดายเช่นนี้ สายตาของนางทั้งตกใจระคนเดือดดาล นางจ้องหน้าเขาด้วยความโกรธขึ้ง แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรสักคำ
ซูหลีลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์หรือสติปัญญา บนโลกใบนี้ไม่มีใครเป็นคู่แข่งของเขาได้! ความกังวลของนางเป็นเรื่องเกินความจำเป็นทั้งนั้น การลอบสังหารครั้งนี้ คงทำให้เขาตระหนักได้ว่าตัวตนของเขาถูกเปิดเผยแล้ว และไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปได้ นางหมายจะหมุนกายเดินจากไป ทว่าในยามนั้นเอง ผ้าโปร่งสีดำที่ปิดบังใบหน้าของสตรีชุดดำก็พลันหลุดร่วง เผยให้เห็นดวงหน้างามล่มเมือง รวมถึงปานสีแดงที่มีขนาดเท่าเหรียญทองแดงบนพวงแก้ม
ครั้นเห็นใบหน้านั้น สายตาของซูหลีพลันแปรเปลี่ยน ลางสังหรณ์บางอย่างผุดขึ้นมาในใจอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุม
ตงฟางเจ๋อมองดูใบหน้านั้น ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
“ซูซู?” เขาขานเรียกอย่างไม่อยากเชื่อ
ไม่! เสียงหนึ่งพร่ำบอกเขาในใจว่านั่นไม่ใช่ซูซู ทว่ามือที่เขาบีบคอนางกลับสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ทุกค่ำคืน ใบหน้าที่วนเวียนอยู่ในความฝันไม่อาจลืมเลือนก็คือใบหน้างามล่มเมืองใบหน้านี้ เขาเคยปรารถนายิ่งนักที่จะได้เห็นนางอีกสักครั้ง ยามนี้ ใบหน้านั้นอยู่ตรงหน้าแล้ว ถึงแม้รู้ว่าไม่ใช่ แต่เขาก็ยังอึ้งงัน ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่อาจขยับเขยื้อน
ในชั่วขณะที่เขานิ่งอึ้งอยู่นั้น ประกายเย็นชาพาดผ่านดวงตาสตรีชุดดำ นางพลิกมือซ้าย ดาบสั้นที่ถูกซ่อนไว้ในแขนเสื้อพุ่งแทงไปที่หน้าอกของบุรุษตรงหน้าด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าฟาด!
ปลายดาบแหลมคมพุ่งแทงเข้าไปในทรวงอกของบุรุษดัง ‘ฉึก’ โลหิตสีแดงพุ่งกระฉูด ไอสังหารและกลิ่นคาวเลือดแผดเผาดวงตาของซูหลีให้เจ็บปวด วินาทีนี้ ลมหายใจของนางสะดุดทันที
สตรีชุดดำหัวเราะอย่างเยือกเย็นและบ้าคลั่ง “ฮ่องเต้แคว้นเฉิง ไปตายเสียเถิด!”
เพื่อจบภารกิจในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ นางยอมเสียสละแขนขวา เพียงเพื่อรอโอกาสที่จะโจมตีปลิดชีพในครั้งนี้! แม้จะเป็นผู้ร้ายกาจสักเพียงใด แต่เมื่อใดที่มีจุดอ่อน การปลิดชีพคนผู้นั้นก็ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือเท่านั้น!
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ซูหลีตวาดออกไปโดยสัญชาตญาณ นางพุ่งตัวเข้าไปในห้องด้วยความเร็วดั่งลูกธนู หมายจะขัดขวางทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น ทว่า สายไปเสียแล้ว ดาบเล่มนั้นแทงลึกเข้าไปในทรวงอกของเขา ตัวดาบฝังลึกเข้าไปในร่างกายของเขาเกือบทั้งด้าม หัวใจของซูหลีเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง พลิกฝ่ามือซัดร่างสตรีนางนั้นกระเด็นออกไป แล้วตวาดเสียงเกรี้ยว “ผู้ใดอยู่ข้างนอก จับนางไว้!”
นึกไม่ถึงแม้สตรีชุดดำจะได้รับบาดเจ็บ แต่กลับตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว นางดีดตัวลุกขึ้นจากพื้น โบกมือกลางอากาศ ควันพิษสีเทาพลันฟุ้งกระจายไปทั่ว ทุกคนตกตะลึง รีบปิดปากปิดจมูกทันที หวั่นซินรีบปัดเป่าควันพิษ แล้วไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
ตงฟางเจ๋อเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง ม่านตาหดตัว ทว่ากลับไม่ก้มมองดาบแหลมที่แทงอยู่บนอกตนเองแม้แต่น้อย เขาเอาแต่จ้องมองเงาร่างบอบบางที่พุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับเสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว เสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาเหมือนเห็นความเจ็บปวดและความตื่นตกใจในดวงตาของนาง แล้วยังมีความหวาดกลัวปะปนอยู่ด้วย เขาพลันคิด หรือว่าหัวใจของนาง ยังใส่ใจเขาอยู่บ้างแม้เพียงเล็กน้อย?
กลีบปากขาวซีดเผยอยิ้มเล็กน้อย เขารู้ว่านี่อาจเป็นความคิดเพ้อเจ้อของตนเองแต่เพียงผู้เดียว
“ซู…” เขาอยากจะขานเรียกนางด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา ทว่าแม้อ้าปาก ก็ยังไม่อาจเปล่งเสียงออกมาสักคำ
กลิ่นคาวเลือดลอยฟุ้งในอากาศอันเปียกชื้น พื้นที่คับแคบในห้องนี้เต็มไปด้วยลมหายใจแห่งความเจ็บปวดที่แทบจะทำให้หายใจไม่ออก โลหิตที่แดงจนน่ากลัวบนแผงอกของตงฟางเจ๋อขับเน้นให้ใบหน้าเขายิ่งขาวซีดเหมือนแผ่นกระดาษ ซูหลีตัวสั่นเล็กน้อย อยากจะเข้าไปประคองเขา แต่มือกลับไม่ยอมขยับตามความคิด เขาหยัดยืนหลังตรง ตรงจนเหมือนเครื่องเคลือบที่มีรอยร้าว ภายใต้เงาสีเลือด หากสัมผัสเพียงแผ่วเบา ก็จะแตกสลายไปทันที
“ท่าน…เป็นอย่างไรบ้าง?” เสียงของนางแผ่วเบาจนแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่อยากเชื่อ
ตงฟางเจ๋อไม่ตอบ เพียงจ้องมองนางอย่างเหม่อลอย กลัวว่าหากกะพริบตาเพียงครั้งเดียว ชีวิตนี้ก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นนางอีกแล้ว
“ซูซู ในใจ…เจ้า…ยังสนใจข้าแม้เพียงสักนิดหรือไม่?” เขาเริ่มหอบหายใจอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่เอื้อนเอ่ยวาจา เหมือนได้กลั่นเอาเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีมาใช้
หัวใจของซูหลีเจ็บแปลบ ในเวลาเช่นนี้ เขากลับยังถามคำถามประเภทนี้อยู่อีก หัวใจของนางรู้สึกเปรี้ยวฝาดสุดแสน ปากกลับเอ่ยเสียงแข็ง “ข้าไม่ใช่นาง”
บางทีคนเราเมื่อเจ็บปวดจนถึงจุดหนึ่งแล้ว ก็อาจไม่รู้สึกถึงมันอีก ตงฟางเจ๋อหลับตาแน่น จู่ๆ กลับคลี่ยิ้ม
“เจ้าไม่ใช่นางหรือ?…ก็ดี หากเป็นเช่นนี้แม้ข้าตาย…เจ้าก็คงไม่เจ็บปวดทรมาน…”
กลิ่นอายความตายอันเศร้าสร้อยแผ่ปกคลุมนัยน์ตาสีดำขลับของเขา หัวใจของซูหลีราวกับถูกจู่โจมอย่างรุนแรง นางยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น
หน้ากากอันเย็นเฉียบสวมทับอยู่บนใบหน้านาง ปิดบังใบหน้าอันซีดขาวของนางไว้ ทว่ากลับไม่อาจซ่อนความโศกเศร้าและความหวาดกลัวที่พรั่งพรูออกมาในเสี้ยววินาที นางจ้องหน้าเขาแน่นิ่ง พูดอะไรไม่ออกสักคำ
เลือดลมที่ป่วนพล่านตรงหน้าอกตีขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม ตงฟางเจ๋อกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ หยาดเลือดสีแดงสดกระจายบนพื้นสีดำเปียกชื้นตรงหน้า กลิ่นอายแห่งความตายแผ่ไปทั่วทิศ
พญามัจจุราชใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ร่างกายของเขาล้มลงทันที
ซูหลีตื่นตระหนก รีบเข้าไปรับตัวเขาไว้โดยสัญชาตญาณ
“ตงฟางเจ๋อ!” นางร้องเรียกด้วยความตกใจ จนถึงยามนี้นางเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียงของตนเองสั่นเครือมาโดยตลอด
บุรุษในอ้อมแขนไร้การตอบสนอง ร่างกายของเขาหนักอึ้งและเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง เลือดที่ไหลออกมาจากหน้าอกของเขาอย่างต่อเนื่องย้อมนิ้วมือทั้งสิบและฝ่ามือที่ขาวดั่งหยกของนางจนแดงฉาน ของเหลวอุ่นร้อนเหนียวหนืดเปียกซึมอาภรณ์และร่างกายของนางในพริบตา ลมหายใจของซูหลีราวกับสะดุดตามไปด้วย
สายลมหนาวระลอกหนึ่งพัดเข้ามาจากข้างนอก แสงเทียนตรงมุมกำแพงไหวกระเพื่อมแรงๆ ก่อนจะดับไป ภายในห้องเข้าสู่ความมืดมิดทันที รอบข้างเงียบสงัดกว่าปกติ นางนั่งกอดเขาอยู่บนพื้นอันเปียกชื้นและหนาวเหน็บ พลันนึกขึ้นได้ว่าในอดีตก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเช่นกัน…
ในเส้นทางลับที่ถูกทำลายของเฉินเหมิน เพื่อช่วยนาง เขาเอาตัวขวางลูกธนูอย่างไม่คิดชีวิต จากนั้นก็นอนไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนนาง…ยามนั้นนางนึกว่าเขาจะตายแล้ว หัวใจเจ็บปวดทรมาน หวาดกลัว ทำอะไรไม่ถูก ทว่ายามนี้ อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงว่าตอนนั้นมาก นางกลับบอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกเช่นไรกันแน่!
สมองขาวโพลนไปชั่วขณะ นางรีบสกัดจุดห้ามเลือดให้เขาทันที ประคองเขาลุกขึ้นนั่ง ฝ่ามือบอบบางประกบลงบนแผ่นหลังของเขาอย่างรวดเร็ว ชี่แท้ถูกถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกายเขาอย่างต่อเนื่อง ทว่าบุรุษตรงหน้ายังคงหายใจรวยริน ใบหน้าซูบซีด ราวกับทุกสิ่งรอบกายได้หยุดนิ่งลง ไร้ซึ่งเสียงใดๆ มีเพียงหัวใจของนางที่เต้นรัวอยู่ท่ามกลางความมืด และยิ่งเต้นเร็วขึ้นทุกชั่วขณะ ไม่ เขาจะตายไม่ได้ ตายไม่ได้เด็ดขาด!
ถ่ายทอดชี่แท้อยู่พักหนึ่ง เขาก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นคืนสติ ร่างกายของเขาที่อยู่ใต้ฝ่ามือนางเย็นเฉียบขึ้นเรื่อยๆ นางแทบจะสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของเขาที่กำลังสูญหายไปอย่างช้าๆ สองมือบอบบางสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
“ตงฟางเจ๋อ! ท่านฟื้นสิ!” ซูหลีกอดเขา ขานเรียกเขาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป น่าเสียดาย ร่างกายที่เย็นเฉียบขึ้นเรื่อยๆ ของเขา กลับไร้การตอบสนอง ซูหลีเริ่มลนลาน พลันนึกถึงยาวิเศษที่เขามักพกติดตัวเสมอ นางรีบยื่นมือไปคลำหาที่เอวของเขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด ร่างกายของบุรุษที่หลับใหลไม่ได้สติพลันสั่นสะท้าน เขาลืมตา แล้วจับมือนาง จ้องหน้านางด้วยสายตาร้อนแรง
………………………………..