กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 396 บุญคุณความแค้นในอดีต (2)
เสียงนี้กลับเป็น…ซูหลีหันกลับไปอย่างประหลาดใจ “ท่านมาได้อย่างไร?”
พยับเมฆจางหาย แสงจันทร์ส่องสว่าง ผู้มาสวมชุดเดินทางยามวิกาลสีดำ เขาดึงผ้าคลุมหน้าสีดำลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา เป็นเซียวอ๋องหยางเจิ้นดังคาด
ไม่รู้ทำไม ซูหลีกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“ที่นี่มีแต่กลไกลับ เสด็จน้า…” นางยังกล่าวไม่ทันจบประโยค หยางเจิ้นก็กวาดมองรอบทิศอย่างระแวดระวัง ยกมือห้ามนาง ส่งสายตาบอกให้นางเข้าไปคุยในเรือน
ไม่รอให้ซูหลีนำทาง เขาออกเดินนำไปก่อน คล้ายคุ้นเคยกับทุกอย่างที่นี่เป็นอย่างดี ทั้งสองเข้าไปนั่งในห้อง หยางเจิ้นจึงค่อยหมุนกายแล้วถอนหายใจกล่าวว่า “อาหลี น้าไร้ความสามารถ ทำให้เจ้าลำบากเสียแล้ว”
ซูหลีเทน้ำชาสองถ้วย แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “เสด็จน้ากล่าวหนักไปแล้วเพคะ ที่นี่มีที่พักอาศัยพร้อมอาหารการกิน อีกทั้งยังเงียบสงบ ไม่ถือเป็นความลำบากเพคะ”
หยางเจิ้นกล่าวเสียงเคียดแค้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องปลอบใจข้า รสชาติที่ต้องอยู่ในสวนเซียนจวี้ ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าน้าอีกแล้ว”
ซูหลีอึ้งงัน ไม่เข้าใจว่าประโยคนี้ของเขาหมายความว่าเช่นไร
“สวนเซียนจวี้ ชื่อฟังดูดี แต่ตลอดปีไม่ได้พบหน้าคนเป็น ได้แต่เฝ้าป้ายหลุมศพของคนตายเหล่านี้ แล้วคุยกับตัวเองทุกวัน!” คล้ายนึกถึงเรื่องราวในอดีต สายตาของหยางเจิ้นมีแววเย็นชาเคียดแค้นไหลเวียน ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาฉาบไว้ด้วยความชิงชังหลายส่วน “อาหลี น้าเคยถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่หลายปี!”
ซูหลีตกใจ “เพราะเหตุใดเพคะ?”
“เรื่องนี้พูดแล้วยาว หลายปีก่อน ข้าเองก็ถามตนเองอยู่บ่อยๆ ว่าเพราะอะไร?” น้ำเสียงของหยางเจิ้นแฝงแววปวดใจเล็กน้อย เขาลุกขึ้นยืน แล้วสาวเท้าเชื่องช้า สายตาจดจ้องเงากิ่งไม้บนบานหน้าต่างกระดาษที่ไหวเอนไปตามสายลมภูเขา คล้ายจมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำ
“ท่ามกลางโอรสและธิดาหลายคน คนที่เสด็จปู่โปรดปรานมากที่สุด มีเพียง ‘หยางยี่’ เสด็จพ่อของข้าคนเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือเสด็จตาของเจ้า เสด็จพ่อถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์ชายตอนอายุเจ็ดขวบ อายุสิบห้าปีถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท เขาชาญฉลาดและห้าวหาญ คุณสมบัติโดดเด่น จึงกลายเป็นที่อิจฉาขององค์ชายองค์อื่น พวกเขาทำทุกวิถีทาง แต่กลับไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเขาในใจเสด็จปู่ได้!”
แวบแรกที่ได้ยินเรื่องราวในอดีตที่ถูกปิดผนึกด้วยฝุ่น ถึงแม้เป็นประโยคสั้นๆ เพียงไม่กี่ประโยค แต่ซูหลีกลับรู้สึกอกสั่นขวัญหาย! นางรีบถาม “แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นเพคะ?”
เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด หยางเจิ้นพลันหันหน้ากลับมา ภายใต้แสงเทียนอันมืดสลัว สายตาของเขาเปล่งประกายจนน่าตกใจ เขากัดฟันกรอด แล้วกล่าวว่า “น่าเสียดาย หอกทวนในที่แจ้งหลบหลีกง่าย ลูกธนูในที่ลับยากจะหลบเลี่ยง สุดท้ายเสด็จพ่อ…ก็ถูกลอบสังหาร!”
ซูหลีอึ้งงัน ที่แท้เสด็จตาก็สละชีวิตภายใต้การแย่งชิงบัลลังก์ด้วยเช่นกัน! หรือผู้ที่อยู่ท่ามกลางอำนาจ ล้วนมิอาจหลีกเลี่ยงวงจรที่อันตรายถึงชีวิตนี้ได้? นางถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “ฝีมือผู้ใดเพคะ?”
“ยามนั้นนอกจากเสด็จพ่อของข้า ก็มีบิดาของหยางซู่ที่โดดเด่นที่สุด” วาจาของหยางเจิ้นทำให้หัวใจของซูหลีสั่นสะท้านอีกครั้ง หยางซู่! เป็นนามของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน! นางคาดเดาอย่างอาจหาญ “หรือว่า…”
“เจ้าเดาไม่ผิด!” หยางเจิ้นจ้องตรงเข้ามาในดวงตาของนาง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เป็นฝีมือของหยางเฉียน!”
หัวใจของซูหลีหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินทับไว้ ถ้าหากเรื่องนี้เป็นความจริง กอปรกับเรื่องที่หยางเซียวถูกเขาลอบสังหาร ความขัดแย้งระหว่างเสด็จน้ากับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนไม่มีทางแก้ไขได้อย่างง่ายดายแน่นอน
นิ้วมือที่กุมถ้วยชาไว้กระชับแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนข้อนิ้วซีดขาว เงียบไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยปากอีกครั้ง “เรื่องในยามนั้น เสด็จน้าสืบหาหลักฐานได้หรือไม่เพคะ?”
“หลักฐาน?” สายตาของหยางเจิ้นไหวระริก เขาแสยะยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “บัลลังก์คือหลักฐานที่ดีที่สุด! ยามนั้น พวกเขาบอกว่าเสด็จพ่อตายด้วยน้ำมือกองโจรใจกล้ากลุ่มหนึ่ง เสด็จปู่ไม่เชื่อ แต่หากไร้พยานหลักฐาน ผู้อาวุโสเช่นเขาก็มิอาจทำอันใดได้ ทำได้เพียงส่งคนมารับตัวข้ากับพี่สาวเข้าวังในคืนต่อมา ในคืนนั้นเอง เหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ได้แผดเผาจวนรัชทายาทจนไม่เหลือซาก! สองร้อยกว่าชีวิตที่อยู่ในจวน…ไม่มีใครรอดมาได้สักคน!”
หัวใจของซูหลีบีบรัด เหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ราวกับปรากฏชัดเจนอยู่ตรงหน้า! ท่ามกลางเปลวเพลิงอันร้อนระอุ ผู้คนสองร้อยกว่าชีวิตกำลังดิ้นรน ร่ำไห้ ร้องขอความช่วยเหลือ และล้มตาย…และเสด็จแม่ ก็เกือบต้องสิ้นชีพอยู่ในกองเพลิงขนาดใหญ่นั้นแล้ว!
ลมหายใจพลันแปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วง นางกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “เรื่องเหล่านี้ เสด็จแม่ทราบด้วยหรือไม่เพคะ?”
หยางเจิ้นหลับตาเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างปวดใจ
คำถามหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในใจทันที ซูหลีถามอย่างไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเหตุใดเสด็จแม่ยังเลือกที่จะเป็นธิดาเทพเล่าเพคะ?” กฎเกณฑ์ในลัทธิธิดาเทพมีอยู่ว่า ธิดาเทพในทุกยุคทุกสมัยจะต้องภักดีต่อฮ่องเต้ ถึงแม้การต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ จะไม่อาจตัดสินได้ว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด แต่ด้วยนิสัยของเสด็จแม่ นางไม่มีทางภักดีต่อผู้ต้องสงสัยที่ฆ่าบิดาตนเองอย่างแน่นอน
หยางเจิ้นกล่าวอย่างเศร้าสลด “นางทำเพื่อข้า”
“หา!” ซูหลีอุทานด้วยความตกใจ
“ยามนั้นเสด็จปู่อายุมากแล้ว เสด็จพ่อจากไปได้ไม่นาน เสด็จปู่ก็จากโลกนี้ไป ก่อนสิ้นใจ เขาสั่งให้หยางเฉียนสาบานต่อบรรพชนว่าจะดูแลพวกข้าสองพี่น้องเป็นอย่างดี!” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา คล้ายถูกความแค้นครอบงำไปทั้งตัว
“เสด็จปู่ไม่มีทางรู้ ว่าเขาเพิ่งจากไป หยางเฉียนก็กักบริเวณข้าไว้ในวัดหลวง ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่ต้องคัดเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งธิดาเทพคนต่อไปพอดี เขามีธิดาห้าองค์ แต่กลับแข็งใจส่งไปเป็นตัวเลือกไม่ได้แม้แต่คนเดียว เมื่อไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสม เขาก็ใช้ชีวิตข้าข่มขู่พี่สาวให้เข้ารับการทดสอบความสามารถสำหรับตำแหน่งธิดาเทพ! ยามนั้น พี่สาวก็เพิ่งอายุสิบปีเท่านั้น” ครั้นเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย หยางเจิ้นก็เริ่มสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
ซูหลีกำหมัดแน่น พูดอะไรไม่ออก! จากการเล่าเรื่องอันเจ็บปวดของหยางเจิ้น นางเห็นภาพเสด็จแม่ตอนอายุสิบปีที่ต้องทนแบกรับความอัปยศมากมาย จูงมือน้องชายที่ยังเป็นเด็ก เดินผ่านวันเวลาที่เต็มไปด้วยการเข่นฆ่าทีละก้าวๆ อย่างชัดเจน!
ไอร้อนที่พวยพุ่งขึ้นจากถ้วยชา ทำให้ใบหน้าของหยางเจิ้นเลือนราง ทว่ากลับมิอาจปิดบังความเจ็บปวดที่สลักลึกลงไปในกระดูกได้
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ กล่าวเสียงแหบพร่า “ที่แท้เสด็จแม่…ก็ถูกบังคับให้เป็นธิดาเทพเหมือนกันหรือเพคะ!”
หยางเจิ้นหลับตา พยักหน้าอย่างเจ็บปวด เขากัดฟันอย่างโกรธแค้น “ข้าไม่มีวันลืม วันนั้น วันที่พี่สาวถูกพวกเขาพาตัวไป นางเดินจากไปพร้อมกับหันกลับมามองด้วยใบหน้าอาบน้ำตา! ข้าเกลียดตัวเองยิ่งนัก เหตุใดจึงไม่มีความสามารถฉุดรั้งนางไว้?”
ซูหลีกล่าวเสียงแหบแห้ง “ยามนั้นเสด็จน้าก็ยังเป็นเด็กอยู่”
“นับตั้งแต่ตอนนั้นข้าก็สาบานต่อสวรรค์ สักวันข้าจะทำให้พี่สาวได้รับอิสระกลับคืนมาอีกครั้ง ไม่ต้องถูกผู้ใดบงการชีวิต! และไม่มีใครทำร้ายคนในครอบครัวของข้าได้อีก! แต่ว่า…” เขาหอบหายใจ คล้ายไม่อาจกล่าวต่อไปได้ เขาค่อยๆ ลืมตา สายตาเศร้าสลด “สุดท้ายข้าก็ทำไม่ได้ ยามนี้นางสิ้นใจอยู่ต่างถิ่น ข้ากลับไม่มีแม้แต่โอกาสพบหน้านางสักครั้ง”
นอกหน้าต่าง สายลมภูเขาพัดผ่าน พาเอาม่านหน้าต่างปลิวไสวไปด้วย ภาพที่เสด็จแม่สิ้นใจผุดขึ้นมาในสมองโดยไม่รู้ตัว หัวใจของซูหลีเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีด เรื่องราวในอดีตอันน่าหวาดกลัวยังคงชัดเจน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
ขอบตาของหยางเจิ้นร้อนผ่าว เขากล่าวอย่างปวดใจ “หลังจากที่พี่สาวถูกพาตัวไป ข้าก็อยู่ที่นี่คนเดียวหลายปี วันๆ อยู่แต่กับป้ายหลุมศพบรรพบุรุษ ไม่ได้พูดคุยกับผู้ใดเป็นเวลาหลายปี บางที ข้ากระทั่งสงสัย ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่…หรือได้กลายเป็นดวงวิญญาณอ้างว้างอยู่บนยอดเขาจวี้หลิงไปแล้วกันแน่! ต่อมา หากมิใช่พี่สาวผ่านการทดสอบและได้เป็นธิดาเทพ บางทีน้าอาจต้องอยู่ที่นี่ไปจนตาย! บุญคุณที่ติดค้างนาง ตลอดชีวิตนี้ หยางเจิ้นมิอาจตอบแทน!”
เขามองหน้าซูหลีอย่างลึกซึ้ง มองดวงหน้าที่เหมือนถอดแบบมาจากพี่สาวทุกประการ แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “อาหลี นับจากนี้ไป ขอเพียงน้ายังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีวันปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าแม้แต่น้อย! ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม!”
เห็นได้ชัดเจนว่าเขาหมายถึงใคร ขอบตาของซูหลีร้อนผ่าว นอกเหนือจากบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า คนที่อยู่ตรงหน้านาง คือเสด็จน้าที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนางที่สุด!
……………………