กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 408 ก่อนพายุฝนจะมาเยือน (5)
หัวใจของซูหลีสะดุดกึก ถึงแม้เรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเสด็จน้าอย่างไม่อาจปฏิเสธ แต่ก่อนที่ความจริงจะกระจ่าง นางไม่อาจทนมองเขาถูกฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนทำร้ายโดยไม่สนใจไยดีได้! จึงตัดสินใจอย่างหนักแน่น แววคมปลาบพาดผ่านดวงตานาง นางกล่าวเสียงเข้ม “หากฝ่าบาทยังทรงกระทำการโดยพลการ ไม่ยอมรับฟังเหตุผล อย่าหาว่าซูหลีไร้มารยาท!”
เงาร่างของหยางเซียวชะงักหยุด หัวใจหนักอึ้งสุดแสน ในยามคับขัน สุดท้ายนางก็เลือกหยางเจิ้น!
หยางเจิ้นซาบซึ้ง มองหน้าซูหลีไม่ยอมละสายตา พยักหน้ากล่าวว่า “อาหลี! ไม่เสียแรงที่น้าเอ็นดูเจ้า!”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพระพักตร์เขียวคล้ำ ไอสังหารพาดผ่านทันใด เขาตวาดเสียงเย็นชา “จับตัวสองคนนี้บัดเดี๋ยวนี้!”
“เสด็จพ่อ!” หยางเซียวหลุดร้องอย่างตกใจ
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนตวาดตัดบทหยางเซียว “มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือว่าใจนางเอนเอียงไปทางใด?! พวกเจ้ายังมัวยืนอึ้งอันใดกันอยู่?!”
ทหารเหล่านั้นไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง หมายจะก้าวเข้ามาจับกุมตัวหยางเจิ้นกับซูหลี พลันนั้น เสียงขันทีรายงานก็ดังมาจากข้างนอกตำหนัก “ทูลฝ่าบาท ทูตจากแคว้นเฉิงมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนถามด้วยเสียงขึ้งเคียด “มีเรื่องใด?!”
ขันทีผู้นั้นตกใจจนตัวสั่น รายงานด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านทูตเพียงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญจำต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
หัวใจซูหลีสั่นไหว เงยหน้าขึ้นก็เห็นฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนขมวดคิ้วแน่น หลังจากชั่งน้ำหนัก ก็กล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “เข้ามาได้!”
ผ่านไปไม่นาน บุรุษที่สวมเครื่องแบบแคว้นเฉิงหลายคนก็สาวเท้าเข้ามาในตำหนักฉินเจิ้งเร็วๆ คนแรกที่เดินนำขบวนเดินตรงเข้ามายังกลางตำหนัก แล้วกล่าวเสียงดังฟังชัด “จางฝู่ ทูตจากแคว้นเฉิงถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” วาจานั้นกล่าวอย่างเกรงใจ แต่น้ำเสียงนั้นกลับฟังดูไม่พอใจอย่างยิ่งยวด
ซูหลีหันไปมอง เห็นเพียงจางฝู่มีรูปร่างที่ค่อนข้างอวบอ้วน ใบหน้ากลมๆ ดูธรรมดาไม่โดดเด่น เครื่องหน้าทั้งห้าดูอ่อนโยน แววตาคล้ายไม่ค่อยพอใจ ผู้ติดตามของเขาถูกทหารกันไว้ข้างนอก จึงทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน
เสี้ยววินาทีที่นางละสายตากลับมา นางบังเอิญเหลือบเห็นสายตาของหยางเจิ้นมีรอยยิ้มพาดผ่านอย่างรวดเร็วจนแทบสังเกตไม่เห็น
ทูตจากแคว้นเฉิงมาขอเข้าเฝ้ากะทันหัน ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพลันสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที จึงจำต้องระงับเพลิงโทสะในใจเอาไว้ก่อน แล้วเอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ต้องมากพิธี ไม่ทราบว่าท่านทูตมาพบข้าด้วยเรื่องใดงั้นหรือ?”
จางฝู่ชูกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา แล้วกล่าวเสียงเคร่งขรึม “กระหม่อมเพิ่งได้รับจดหมายนิรนามฉบับหนึ่ง มีเนื้อความว่ามือสังหารเป็นคนในกองทัพรุ่ยเฟิงของเซียวอ๋อง ซ้ำยังกล่าวว่าคนผู้นี้ติดต่อกับฝ่าบาทอย่างลับๆ ผ่านทางจดหมาย ขอบังอาจถามฝ่าบาท นี่มันเรื่องอันใดกันพ่ะย่ะค่ะ?”
ซูหลีตกตะลึงอีกครั้ง จางฝู่ผู้นี้แม้คลั่งศาสนา แต่กลับไม่โง่เขลา เขาถามได้ตรงประเด็นไม่คลุมเครือ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนหรือหยางเจิ้น พวกเขาล้วนเป็นสมาชิกของราชวงศ์เปี้ยน สองแคว้นเพิ่งลงนามในสัญญาเจรจาสงบศึกเสร็จ เรื่องวุ่นวายก็เกิดตามมาทันที ซ้ำยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาทั้งสิ้น จะไม่ให้คาดเดาถึงแรงจูงใจที่แท้จริงได้เช่นไร?
คำถามของเขาเฉียบคมตรงประเด็น หยางเซียวกับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนสบตากัน ต่างสะท้านไปทั้งใจ จดหมายนิรนาม? ที่แท้ก็มีคนแพร่งพรายข้อมูล มิน่าเล่าทูตจากแคว้นเฉิงจึงได้มาเข้าเฝ้าเร็วถึงเพียงนี้! หยางเจิ้นล่วงหน้าเข้าวังมาก่อน ไม่นานทูตจากแคว้นเฉิงก็ตามมา ต้องเป็นอุบายของเขาแน่นอน! หยางเซียวถมึงตาจ้องหยางเจิ้นอย่างขึ้งเคียด แต่กลับทำได้เพียงฝืนยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าจางเองก็เป็นคนกล่าวเอง ว่านั่นเป็นเพียงจดหมายนิรนาม เช่นนั้นจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นความจริง?”
จางฝู่ยิ้มเย็นชา กล่าวว่า “กระหม่อมไม่สนใจเรื่องอื่น เพียงต้องการทราบว่าเรื่องที่กล่าวในจดหมายเป็นความจริงหรือไม่?”
หยางเซียวเกิดอาการลังเล หันไปมองฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก
จางฝู่สังเกตเห็นสีหน้าเขา เริ่มมั่นใจขึ้นมา จึงถามต่อทันที “องค์ชายสี่ไม่พูดอะไร แสดงว่าทรงยอมรับแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนสูดหายใจลึกๆ หยางเจิ้นอยู่ที่นี่ด้วย เรื่องนี้มิอาจบ่ายเบี่ยงได้ ทำได้เพียงกล่าวเสียงเคร่งเครียด “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
จางฝู่หน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขากล่าวด้วยเสียงขุ่นเคือง “คณะทูตเราเชื่อใจแคว้นของพระองค์ถึงเพียงนี้ มอบหมายให้องค์ชายสี่ตรวจสอบคดีนี้ เหตุใดพบเบาะแสแล้วจึงจงใจปิดบัง? มีเหตุผลใดกันแน่พ่ะย่ะค่ะ?!”
สายตาของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนที่ประทับอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงงานแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ สองมือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อกำแน่นและสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
หยางเจิ้นทอดมองมาพอดี คิ้วกระบี่ของเขากระดกเล็กน้อย กลีบปากเผยอยิ้มเย็นชา เห็นได้ชัดว่ากำลังย่ามใจ และท้าทายอย่างบ้าบิ่น
หยางเซียวพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ข้าเองก็เพิ่งสืบได้ความ คนร้ายตัวจริงยังจับไม่ได้ จะเรียกว่าปิดบังเบาะแสได้เช่นไร? ท่านทูตกังวลเกินเหตุไปแล้ว”
“เจ้าไม่คิดปิดบัง แล้วเหตุใดจึงไม่กล้าเอาหลักฐานให้ข้าดู!” เสียงเย็นเยียบของหยางเจิ้นดังแทรกเข้ามา
หยางเซียวตวัดสายตามองหน้าหยางเจิ้น หากสายตาสามารถสังหารคนได้ เกรงว่าใบหน้าของหยางเจิ้นคงพรุนไปนานแล้ว! เขามิอาจข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจ จึงกัดฟันคำรามเสียงเกรี้ยวใส่หยางเจิ้น “นี่เป็นอุบายชั่วช้าของท่านชัดๆ! ท่านมีกำลังทหารสำคัญอยู่ในมือ กลัวว่าเสด็จพ่อจะเรียกคืนกำลังทหาร จึงได้ลอบซื้อตัวจางเจียน วางแผนการลอบสังหารครั้งนี้ขึ้นมา สุดท้ายก็หลอกใช้เขาให้สร้างสถานการณ์ลวง เพื่อสร้างเบาะแสที่ชี้ตัวเสด็จพ่อ! ท่านมันคนชั่วช้าที่มีจิตใจต่ำทราม ไม่มีผู้ใดเทียบได้จริงๆ!”
หยางเซียวต่อว่าอย่างไม่ไว้หน้า ใบหน้าของหยางเจิ้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด หัวเราะอย่างเดือดดาล แล้วกล่าวว่า “แล้วผู้ใดกันที่ส่งจางเจียนมาเป็นสายลับอยู่ข้างกายข้า? ผู้ใดกันที่จับตาดูทุกการกระทำของข้า? เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ แต่กลับบิดเบือนข้อเท็จจริงเช่นนี้! แท้จริงแล้วก็คือพวกเจ้าสองพ่อลูกเห็นข้ามีอำนาจบารมีในกองทัพเกินหน้าเกินตา จึงจงใจจัดฉากการลอบสังหารครั้งนี้ขึ้นมาเพื่อป้ายสีข้า หวังจะฉวยโอกาสนี้เรียกคืนอำนาจทหารในมือข้า! หากจะกล่าวว่าผู้ใดมีจิตใจต่ำทราม ก็คงเป็นพวกเจ้าสองพ่อลูก!”
“หยางเจิ้นท่านไร้ยางอายเกินไปแล้ว! หากแบ่งตามลำดับขั้นอายุ หยางเซียวสมควรเรียกท่านว่าเสด็จอาด้วยความเคารพ แต่ท่านมิได้กระทำตัวให้สมกับเป็นผู้อาวุโสแม้แต่น้อย เคยทำเรื่องใดลับหลังผู้คน ท่านรู้ดีแก่ใจ!” หน้าอกของหยางเซียวกระเพื่อมขึ้นลง สองหมัดกำแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น เห็นได้ชัดว่าโกรธจัดไม่น้อย
“กล่าวได้ดี! เคยทำเรื่องใดลับหลังผู้คน ย่อมรู้ดีแก่ใจ!” หยางเจิ้นเองก็โต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
ชั่วขณะหนึ่ง ภายในตำหนักฉินเจิ้ง หยางเซียวกับหยางเจิ้นประชันหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ซูหลีเพียงรู้สึกปวดหัว เรื่องของเสด็จน้ายังไม่ทันคลี่คลาย จู่ๆ ทูตจากแคว้นเฉิงก็มา จดหมายนิรนามฉบับนั้นเป็นฝีมือผู้ใด ไม่บอกก็คงรู้! เดาว่าในกรมอาญามีคนของเขาอยู่แต่แรกแล้ว หลังจากได้รับข่าวจึงรีบเข้าวัง ขณะเดียวกันก็สั่งให้คนนำจดหมายนิรนามไปส่งให้ทูตจากแคว้นเฉิงด้วย
หรือว่า…การลอบสังหารในครั้งนี้เป็นฝีมือเสด็จน้าจริงๆ? เขาต้องการสร้างความขัดแย้งระหว่างสองแคว้น เพื่อที่จะไม่ต้องคืนอำนาจทางทหารจริงๆ อย่างนั้นหรือ? แต่ในจวนเซียวอ๋อง เสด็จน้าเคยสาบานต่อหน้าฟ้าดิน สัญชาตญาณบอกนางว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือเขาอย่างแน่นอน
เช่นนั้นเป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่?
นางขมวดคิ้วแน่น ไม่อาจแยกแยะเงื่อนงำอันซับซ้อนเหล่านี้ได้ พลันนั้นเสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น “ความขัดแย้งภายในของราชวงศ์เปี้ยน พวกข้าไม่ใคร่สนใจ พวกข้าต้องการเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น เหตุใดมือสังหารจึงเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน?”
เสียงนั้นก้องกังวานและทรงพลัง ซูหลีอึ้งงัน กลับเป็นเขา? ตงฟางเจ๋อ! หยางเซียวเคยพบเขา เขาไม่กลัวถูกจับได้หรืออย่างไร? นางสูดหายใจ รีบหันไปมองหยางเซียวโดยสัญชาตญาณ เห็นเพียงใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
เหล่าทหารต่างพากันแยกย้าย คนผู้หนึ่งก้าวเท้าออกมาอย่างแช่มช้า เงาร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์สีเทาอ่อน เสื้อผ้าเรียบง่ายทว่าไม่ทำให้ดูต่ำต้อย เครื่องหน้าทั้งห้างดงามหล่อเหลา ดวงตาเปล่งประกายดั่งดวงดารา ราศีน่าเกรงขาม ทำเอาทุกคนต้องเบิกตากว้างทันที
หยางเซียวเบิกตาด้วยความตกตะลึง คล้ายไม่อยากเชื่อว่าเขาจะกล้าก้าวออกมาอย่างผ่อนคลาย ไม่ปิดบังตัวตนเช่นนี้ ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยเอ่ยปากด้วยความตกใจ “ท่าน ท่าน…”
……………………………