กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 422 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (13)
- Home
- กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
- บทที่ 422 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (13)
ใบหน้าของหยางเซียวบึ้งตึงเคร่งเครียด หากจับตัวหยางเจิ้นไม่ได้ ก็เท่ากับเป็นการปล่อยเสือกลับคืนภูเขา ปล่อยภัยร้ายให้เหลือรอด ซูหลีขมวดคิ้วแน่น ยามนี้นางหนักใจสุดแสน ทั้งสามคนต่างรู้ดี พายุลูกใหญ่ที่สามารถทำให้โลกใบนี้ปั่นป่วนกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า
หลังจากกลับถึงเมืองหลวง ซูหลีรีบสั่งให้หวั่นซินเรียกรวมตัวเซี่ยงหลี เจียงหยวน และฉินเหิงที่ประจำการณ์อยู่ที่แท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพทันที นางกำชับให้ฉินเหิงส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวนอกเมืองหลวงอย่างใกล้ชิด หากมีความคืบหน้าให้รีบรายงานทันที และก็เป็นไปตามคาด ยามบ่ายของวันที่สอง ฉินเหิงมารายงานว่าหยางเจิ้นรวบรวมกองทัพทหารในกระทรวงเก่าที่เคยบัญชาการได้ถึงหนึ่งแสนนาย และไปประจำการอยู่ที่ค่ายเจี้ยนหลงพัวซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนไปสามลี้ อีกทั้งเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านหากต้องการเดินทางจากเมืองหลวงมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการเขตชายแดน ก็ได้ตั้งด่านขวางทางเอาไว้ มิอาจสัญจรผ่านได้
กองทัพของหยางเจิ้นใช้ข้ออ้างว่าองค์ชายไร้ความสามารถ จึงตั้งตนเป็นประมุข และประกาศศึกกับหยางเซียวอย่างเป็นทางการ
ซูหลีตกตะลึง ถึงแม้เดาได้แต่แรกแล้วว่าหยางเจิ้นไม่มีทางวางมือง่ายๆ แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะเคลื่อนไหวรวดเร็วและรุนแรงเช่นนี้ นางรีบเข้าวังไปพบหยางเซียว ในพระราชวัง ทุกอย่างเป็นสีขาว บรรยากาศเศร้าสลดแผ่กระจายไปทั่วทุกที่
เพิ่งจะเดินมาถึงประตูตำหนักฉินเจิ้ง ก็เห็นเหล่านางกำนัลและขันทีคุกเข่าเรียงแถวอยู่ในตำหนัก ร่างกายที่หมอบต่ำสั่นสะท้านไม่หยุด พวกเขาร้องบอกด้วยความตื่นกลัว “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” ถึงแม้จะยังไม่ได้จัดพิธีสืบทอดราชบัลลังก์ แต่เหล่าข้าราชบริพารในวังต่างพากันเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานของหยางเซียวแล้ว หากราชสำนักไร้ประมุขแม้เพียงวันเดียว หัวใจของผู้คนก็ไร้ที่ยึดเหนี่ยว โดยเฉพาะในยามที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ด้วยแล้ว
ซูหลีเห็นสภาพในตำหนักเละเทะไม่มีชิ้นดี เศษจานและเศษข้าวปลาอาหารที่ส่งกลิ่นหอมเกลื่อนกระจายทั่วพื้น เก้าอี้ไม้จันทน์เนื้อแข็งลวดลายประณีตแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใบหน้าหล่อเหลาของหยางเซียวเขียวคล้ำด้วยความโกรธ คิ้วเข้มขมวดแน่น สองมือไพล่ไว้ข้างหลัง เขากำลังเดินกลับไปมาด้วยใบหน้ากระวนกระวาย
ครั้นเห็นซูหลีเดินเข้ามา อารมณ์ของเขาก็พลุ่งพล่าน เขาชูกระดาษในมือขึ้น พร้อมกัดฟันกล่าวว่า “ทหารหนึ่งแสนนายจะรวบรวมภายในคืนเดียวได้เช่นไร? เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนไว้ตั้งนานแล้ว! เสด็จพ่อเคยเมตตาขุนพลที่เคยมีผลงานการรบเหล่านี้ ยามนี้พระองค์เพิ่งจะ…คนชั่วช้าเหล่านี้ก็ร่วมก่อกบฏแล้ว! มีแต่พวกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ทั้งนั้น!”
เขาขว้างกระดาษแผ่นนั้นลงพื้นอย่างแรง ซูหลีเดินไปเก็บขึ้นมา ครั้นอ่านดูอย่างละเอียด ก็พบว่าเป็นข่าวที่หยางเจิ้นรวบรวมทหารเพื่อก่อกบฏดังคาด
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านโกรธไปแล้วจะได้อะไร? เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือควรคิดหาทางรับมือกองทัพทหารหนึ่งแสนนายมากกว่ากระมัง” เสียงสุขุมเยือกเย็นของซูหลีกังวานและรื่นหู ราวกับลำธารเย็นสดชื่น ที่ดับเพลิงโทสะของเขาให้มอดลงหลายส่วน
สถานการณ์ในยามนี้ร้ายแรงมาก พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ หากไม่ระวังแม้เพียงน้อยนิดก็จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยากจะประเมินความเสียหายตามมา หยางเซียวจะไม่รู้ได้เช่นไร? ศพของเสด็จพ่อยังไม่ทันเย็น ทิศทางชะตากรรมในอนาคตของแคว้นเปี้ยน ก็ตกอยู่ในกำมือเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว! เขาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ สองมือกำหมัดแน่น พยายามควบคุมตนเองให้สงบลงเดี๋ยวนี้!
ซูหลีถามว่า “ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนยังมีทหารอยู่อีกเท่าใด?”
กลางตำหนักมีแผนที่ผืนหนึ่งถูกกางไว้ หยางเซียวกล่าวอย่างครุ่นคิด “กองทัพกบฏนอกเมืองมีประมาณหนึ่งแสนนาย หยางเจิ้นเลือกประจำการอยู่ที่ค่ายเจี้ยนหลงพัว สถานที่แห่งนั้นสามารถจู่โจมและถอยทัพได้ ส่วนในพระราชวังมีทหารยอดฝีมือเพียงสามหมื่นนายเท่านั้น
สามหมื่นต่อหนึ่งแสน
ซูหลีขมวดคิ้ว ดูจากสถานการณ์ในยามนี้ กำลังทหารของทั้งสองฝ่ายต่างกันมาก หากคิดจะโจมตีอีกฝ่ายให้พ่ายแพ้ในครั้งเดียว แทบไม่มีความเป็นไปได้เลย ทั่วทั้งลัทธิธิดาเทพถึงแม้จะมีกำลังคนประมาณสามสี่พันคน แต่พวกเขาล้วนเป็นมือสังหารที่เวียนว่ายอยู่ในยุทธภพ ไม่มีประสบการณ์ด้านการรบแม้แต่น้อย ถึงแม้จะส่งมาช่วยรบ แต่พละกำลังก็ยังต่างกันมากอยู่ดี ซูหลีหนักใจเล็กน้อย “ในวังมีผู้ชำนาญด้านการนำรบหรือไม่?”
หยางเซียวหลับตาเบาๆ พลางยกมือกุมหน้าผาก ปกปิดความกังวลเอาไว้ไม่มิด จู่ๆ เขาก็กล่าวว่า “ไม่มีเลย เดิมทีฮูเอ่อร์ตูเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่เขตชายแดน”
ซูหลีถอนหายใจ ยามจำเป็นต้องใช้กำลังทหาร กลับไม่มีคนให้ใช้งาน มิน่าเล่าเขาถึงได้กระวนกระวายใจเช่นนี้
“ปัญหาที่เขตชายแดนยังไม่ทันแก้ไข หยางเจิ้นก็ก่อกบฏ ถ้าหาก…” หยางเซียวพูดได้ครึ่งเดียว ก็พลันชะงักหยุด สายตาฉายแววกังวล
ซูหลีรู้ดี สิ่งที่หยางเซียวกำลังกังวล ไม่ใช่แค่เรื่องของหยางเจิ้นเท่านั้น ยามนี้ตงฟางเจ๋ออยู่ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน เขารู้ดีที่สุดว่าสถานการณ์ในเมืองเป็นเช่นไร อีกทั้งกองทัพทหารสามแสนนายของแคว้นเฉิงก็ยังปักหลักอยู่ที่เขตชายแดน ด้วยความทะเยอทะยานและความสามารถของเขา หากต้องการฉวยโอกาสโจมตีแคว้นเปี้ยนยามสถานการณ์โกลาหล ก็แทบจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ!
ตงฟางเจ๋อมีเป้าหมายรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง สถานการณ์ในยามนี้เป็นโอกาสดี นางเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เช่นกันว่าเขาคิดจะทำเช่นไร นางรู้เพียงว่า เรื่องสำคัญที่สุดในยามนี้คือรีบสั่งให้ฮูเอ่อร์ตูกลับมาจากเขตชายแดนเพื่อกอบกู้สถานการณ์ ถึงจะมีโอกาสโจมตีหยางเจิ้นให้ล่าถอย และควบคุมสถานการณ์ได้
ขณะกำลังครุ่นคิดเงียบๆ พลันนั้นเสียงรายงานก็ดังเข้ามาในตำหนัก หลินเทียนเจิ้งทูตจากแคว้นเฉิงมาขอเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนัก ซูหลีสะดุดใจเล็กน้อย เขามาขอเข้าเฝ้าในเวลานี้ด้วยเรื่องใดกัน?
หยางเซียวหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย และคล้ายประหลาดใจด้วย เขาหันไปมองซูหลีแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม “เข้ามาได้”
ผ่านไปไม่นาน เงาร่างสูงใหญ่ของตงฟางเจ๋อก็ปรากฏกายตรงหน้าประตูตำหนัก เขาเดินตรงเข้ามายืนข้างกายซูหลี แล้วกล่าวอย่างสง่าผ่าเผย “สถานการณ์ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนคับขัน ท่านมีแผนเช่นไร?”
เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา ซูหลีมีสีหน้าสับสน รีบเงยหน้ามองเขา
หยางเซียวสายตาไหวระริก ไม่ตอบกลับย้อนถาม “ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “ก่อนทัพหนุนจะมาถึง ไม่ควรปะทะกันซึ่งหน้า เพียงป้องกันอย่างแน่นหนาก็พอ ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนมีเสบียงอาหารจำนวนมาก มากพอที่จะยืนหยัดไปได้เดือนสองเดือน แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการยืดเวลาออกไป หยางเจิ้นจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อบุกยึดเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน ก่อนที่ทัพหนุนจะมาถึงแน่นอน!”
หยางเซียวสะท้านไปทั้งใจ สิ่งที่ตงฟางเจ๋อพูด ตรงกับสิ่งที่เขาคิดทุกประการ เดิมทีเขายังระแวงว่าตงฟางเจ๋อจะฉวยโอกาสนี้โจมตีแคว้นเปี้ยน หรือว่าเขารั้งอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนโดยไม่เกรงกลัวอันตราย เพื่อ…นางจริงๆ?
เขาหรี่ตาพิจารณาบุรุษที่ยืนเชิดหน้าอยู่ตรงหน้า คล้ายกำลังชั่งน้ำหนัก ครั้นนึกถึงสัญญานั้น หัวใจก็พลันเย็นเยียบ หยางเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียดสีด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านเป็นคนรอบคอบโดยแท้ ทำสิ่งใดมักเตรียมการล่วงหน้า รู้เขารู้เราเสมอ”
ตงฟางเจ๋อเลิกคิ้ว พร้อมกับแย้มยิ้มเล็กน้อย
สายตาของหยางเซียวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ท่านจะรับประกันได้อย่างไรว่ากองทัพทหารสามแสนนายจะไม่ล้ำเส้น?”
ตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไร เพียงจ้องหน้าซูหลีเงียบๆ สายตาอ่อนโยนเหมือนสายน้ำ คล้ายมีความนัยอื่นแฝงอยู่
ซูหลีไม่ลืม เขากำลังส่งสัญญาณบอกนางว่า เขาจะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับนาง หัวใจของนางพลันสั่นสะท้าน กลับไม่กล้าสบสายตาอ่อนโยนดั่งสายน้ำของเขาตรงๆ รีบเบนสายตาหนี พยายามสงบสติอารมณ์ แล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “ในเมื่ออีกฝ่ายเตรียมการมานานแล้ว จะต้องขัดขวางไม่ให้เราส่งคนไปที่เขตชายแดนแน่นอน” นางใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด จะต้องส่งคนที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง และมีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีไป”
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวเตือนนางว่า “ข้างกายเจ้ามีคนเช่นนั้นอยู่”
สายตาของหยางเซียวเป็นประกายขึ้นมาทันที “เรียกตัวทูตทั้งสี่มาเดี๋ยวนี้!”
พวกหวั่นซินมาถึงในไม่ช้า สายตาของซูหลีเลื่อนผ่านใบหน้าของพวกเขาทั้งสี่คนช้าๆ ในใจได้คำนวณเอาไว้แล้ว นางออกคำสั่งเสียงขรึม “เซี่ยงหลีและฉินเหิงจงฟัง ยามนี้มีภารกิจที่สำคัญมากมอบหมายให้พวกเจ้าสองคนไปทำ”
ฉินเหิงกล่าวอย่างรู้ทัน “เคลื่อนย้ายทัพหนุน?”
“ถูกต้อง” สมกับที่เป็นยอดฝีมือด้านการสอดแนม เพียงได้ยินก็เดาเหตุการณ์ได้แล้ว ซูหลีพยักหน้า “สถานการณ์ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนคับขันมาก หากต้องการแก้ไขปัญหาก็จำต้องเคลื่อนย้ายทัพหนุนมาโดยเร็วที่สุด ฉินเหิงเป็นคนใจกล้าและรอบคอบ มีความสามารถในการสังเกตการณ์ เซี่ยงหลีมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ รับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเจ้าทั้งสองคนจงมุ่งหน้าไปที่เขตชายแดนด้วยกัน และแจ้งให้ฮูเอ่อร์ตูกลับมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ในเมืองหลวงในเวลาอันสั้นที่สุด”
………………………………