กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 424 ชีวิตมักต้องตัดสินใจเลือกเสมอ (2)
ใบหน้าหยางเซียวเคร่งเครียด เขาแสยะยิ้มเย็นชา “มิน่าเล่าเขาไม่ยอมเคลื่อนทัพสักที ที่แท้ก็รอใช้ประโยชน์จากลมเหนือเพื่อรมพิษนี่เอง!”
หัวหน้าทหารรักษาเมืองรายงานเสียงร้อนใจ “ฝ่าบาท ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ? สายลมไม่น่าจะหยุดพักเร็วๆ นี้ คนของพวกเราทนไม่ไหวแล้ว!” ขณะที่เขากำลังพูด ก็มีหมอกควันสีขาวลอยตามสายลมมาอีกหนึ่งระลอก ทหารด้านหลังทยอยหมดสติล้มลงไปอีกหลายคน
หมอกควันพัดผ่าน ซูหลีควบคุมลมหายใจอย่างระมัดระวัง นางสูดควันสีขาวเข้าไปเล็กน้อย แล้วแยกแยะส่วนผสมของควันพิษ หัวใจพลันสะดุด กลับเป็นยาพิษทำลายเส้นเอ็น ในยาพิษทำลายเส้นเอ็นนี้เพิ่มยาสลบเข้าไปด้วย ยาพิษชนิดนี้ร้ายแรงมาก ถึงแม้กินยาแก้พิษไปแล้ว ก็ต้องใช้เวลากว่าจะฟื้นฟูกำลังกลับมาได้ ซูหลีตึงเครียด ดูท่าคืนนี้หยางเจิ้นคงตั้งมั่นจะบุกยึดเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนให้ได้!
ในตอนนี้เอง เสียง ‘บึ้ม’ ดังสนั่นหวั่นไหว ประตูเมืองด้านนอกถูกโจมตีอย่างรุนแรง!
คนผู้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบนป้อมปราการเมือง ตะโกนรายงานสุดเสียง “รายงาน กองทัพศัตรูข้ามคูเมืองมาแล้ว พวกมันปล่อยสะพานแขวนและเริ่มโจมตีเมืองหลวงแล้ว!”
หยางเซียวหันไปตะโกนสั่งหัวหน้าทหารรักษาเมือง “รีบส่งคนไปช่วยรักษาประตูเมืองเพิ่มเดี๋ยวนี้!”
หัวหน้าทหารรักษาเมืองรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งจากไป
สถานการณ์ในยามนี้ล่อแหลมยิ่งนัก ทันทีที่ประตูเมืองถูกบุกถล่ม เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนก็จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป กำลังทหารมีจำกัด จะปล่อยให้มีทหารหมดสติไม่ได้อีกเด็ดขาด “ทุกคนจงฟัง ปิดจมูก ห้ามสูดดมควันขาวเข้าไปเด็ดขาด!” เอ่ยจบ นางก็รีบฉีกอาภรณ์บนกายออกมาหนึ่งเส้น แล้วนำมามัดไว้ด้านหลังศีรษะ ทำเป็นผ้าคลุมหน้าครึ่งใบหน้า
ทหารทุกคนรีบทำตามคำสั่ง ทว่ากลับสายไปเสียแล้ว มีคนหมดสติเพิ่มขึ้นไม่หยุด แนวป้องกันเกิดช่องโหว่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ บนกำแพงเมือง มีทหารกบฏพุ่งขึ้นมาเป็นระยะ แต่ถูกทหารที่มือไวตาไวใช้ดาบแทงร่วงตกลงจากกำแพงเมืองไป ถึงแม้อย่างนั้น บนกำแพงเมืองก็ยังคงมีทหารจากกองทัพรุ่ยเฟิงอยู่จำนวนมาก พวกเขาปีนขึ้นมาบนป้อมปราการเมืองผ่านบันไดอย่างต่อเนื่อง เคลื่อนไหวคล่องแคล่วและรวดเร็วเหมืองลิงค่าง ทหารรักษาเมืองรับมือไม่ไหว ฝ่ายข้าศึกเริ่มบุกเข้ามามากขึ้นทุกที สถานการณ์ตึงเครียด เหมือนดั่งเชือกที่ถูกขึงจนตึง
ไอพิฆาตพาดผ่านดวงตาหยางเซียว เขาใช้ปลายเท้าเกี่ยวตวัดดาบยาวเล่มหนึ่งที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ดาบสะท้อนประกายเย็นยะเยือกอยู่ในมือ เขากลั้นหายใจ แล้วพุ่งเข้าไปร่วมการต่อสู้กับทหารฝ่ายข้าศึกตรงขอบกำแพงเมืองทันที
แว่นแคว้นตกอยู่ในวิกฤต ไม่ว่าผู้ใดล้วนมิอาจนิ่งดูดาย
สายตาของซูหลีไหวระริก นางพลิกข้อมือเล็กน้อย เกาทัณฑ์ส่งสัญญาณในแขนเสื้อยังไม่ทันถึงมือ คนในลัทธิธิดาเทพก็กรูกันขึ้นมาจำนวนมาก ทุกคนปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุมสีดำ เห็นได้ชัดว่าเตรียมพร้อมมาอย่างดี ผู้นำของพวกเขาก็คือหวั่นซินกับเจียงหยวน ด้านหลังพวกเขาสองคนคือหัวหน้าจากทั้งแปดสำนักของลัทธิ ทุกคนวิ่งขึ้นมาบนป้อมปราการเมือง ด้านหนึ่งสังหารศัตรู ด้านหนึ่งช่วยรักษาทหารที่หมดสติ กองทัพข้าศึกที่โจมตีเมืองถูกฆ่าล่าถอยไปกว่าครึ่งในพริบตา
ซูหลีอดโล่งใจไม่ได้ เงาร่างอันคุ้นเคยพลันปรากฏกายด้านข้าง หัวใจนางพลันสะท้าน นางหันไปโดยสัญชาตญาณ เป็นตงฟางเจ๋อดังคาด เขาหยิบยาลูกกลอนสีน้ำตาลเม็ดหนึ่งขึ้นมาจ่อริมฝีปากของซูหลี “กินเสีย ช่วยแก้ฤทธิ์จากควันพิษได้”
ซูหลีอึ้งงัน เขามียาแก้พิษอยู่ในมือได้เช่นไร? นางหันไปมองเจียงหยวนที่ย่อกายอยู่ข้างทหารที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น เขากำลังป้อนยาชนิดเดียวกันใส่ปากของอีกฝ่าย พริบตาเดียว ยาที่อยู่ในขวดของเขาก็หมดอย่างรวดเร็ว
“ยา” นิ้วมือของตงฟางเจ๋อจ่อใกล้เข้ามาอีก จนสัมผัสถูกกลีบปากอ่อนนุ่มของนาง นางอดแหงนหน้าถมึงตาจ้องหน้าเขาไม่ได้
“รีบกินเร็วเข้า!” เขาร้อนใจ รั้งเอวนางเข้าไปในอ้อมแขน ดวงตาฉายแววร้อนรุ่ม “ควันพิษนี้ส่งผลร้ายแรงต่อคนฝึกวรยุทธ์ ซูซู ยามนี้จะมัวมาขุ่นเคืองไม่ได้!”
ซูหลีถอนหายใจ ผลักเขาออก แล้วรับยามากิน เขาคลายคิ้วที่ขมวดแน่นออก พร้อมกับผ่อนลมหายใจ
หลินเทียนเจิ้งสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตะโกนบอกเสียงดัง “มีหลายคนโดนพิษไปมาก ฤทธิ์ของยาแก้พิษเบาเกินไป ไม่อาจถอนพิษได้ทั้งหมด”
ตงฟางเจ๋อกวาดมองทั่วทิศ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “จำนวนยาแก้พิษมีจำกัด น่าจะยืนหยัดได้ไม่นาน ต้องหาทางกำจัดต้นตอของควันพิษให้เร็วที่สุด จึงจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้”
หลินเทียนเจิ้งทำหน้าลำบากใจ เขาถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “ทหารข้าศึกบุกมาถึงกำแพงเมือง หากต้องการทำลายต้นตอควันพิษก็จำต้องบุกเข้าไปในกองทัพศัตรู ซึ่งมีความเสี่ยงเกินไป หากมิใช่ผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง เกรงว่าจะรับมือได้ยาก”
“ข้าไปเอง!” หวั่นซินเสนอตัวทันที
“ไม่ได้” ซูหลีปฏิเสธทันที “จะกำจัดควันพิษจำต้องทำให้สำเร็จในครั้งเดียว หากล้มเหลว แล้วอีกฝ่ายเพิ่มความระมัดระวังจะยิ่งทำให้เรื่องราวยากเข้าไปอีก เจ้ากับเจียงหยวนรักษาการณ์อยู่ที่นี่ ข้าไปเอง”
หวั่นซินกล่าวด้วยความร้อนใจ “อันตรายเกินไป คุณหนูไปไม่ได้นะเจ้าคะ!”
ซูหลีตวาดเสียงเกรี้ยว “นี่คือคำสั่ง!”
ใบหน้าหวั่นซินซีดเผือด กลีบปากสั่นเทา ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ซูหลีใจอ่อน น้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน “เจ้าวางใจเถิด วรยุทธ์ของข้าก้าวหน้ากว่าแต่ก่อนมาก จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน ถึงแม้ถูกหยางเจิ้นจับตัวได้ เขาก็ไม่มีทางฆ่าข้าแน่นอน” เอ่ยจบ นางก็โฉบลงจากป้อมปราการ เหมือนดั่งแสงสีขาวสายหนึ่งที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วในยามราตรีอันมืดมิด
“คุณหนู!” หวั่นซินร้องเรียกด้วยความตกใจ ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว เงาร่างสีดำอีกสายก็พลันโฉบตามไป พริบตาเดียวก็หายลับไปในความมืด
“ฝ่า…” คำเรียกขานที่เกือบหลุดออกจากปากถูกหลินเทียนเจิ้งกลืนลงคอไป เหลือแต่เพียงสีหน้าวิตก
ศพทหารที่ตายอยู่ด้านล่างกำแพงเมืองเริ่มกองพะเนินเป็นภูเขาขนาดย่อม ฝูงทหารที่แออัดเบียดเสียดด้านหน้ายังคงหลั่งไหลเข้ามาดั่งกระแสน้ำ แสงจันทร์สลัวสายลมกระโชกแรง เหล่าทหารข้าศึกที่โจมตีกำแพงเมืองรู้สึกได้เพียงว่ามีเงาร่างสีดำสองสายโฉบผ่านศีรษะไปอย่างรวดเร็ว ครั้นเงยหน้ากลับมองไม่เห็นอะไรเลย
ซูหลีเหินทะยานกลางอากาศ พริบตาเดียวก็มาถึงด้านนอกวงล้อมโจมตีแล้ว ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าที่ตามมาติดๆ นางไม่หันกลับไปมอง ใบหน้าฉายแววสับสน กล่าวเสียงเรียบเฉย “ท่านฐานะสูงส่ง ไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้”
ตงฟางเจ๋อเดินมายืนข้างกายนาง แล้วเอ่ยเสียงเบา “เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้ามาเสี่ยงอันตรายคนเดียวหรือ?”
ซูหลีก้มหน้า กัดฟันกล่าวว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องลำบาก ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าระหว่างเราเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
เขายิ้มขมขื่น “รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ข้าตงฟางเจ๋อผิดเพียงครั้งเดียว กลับต้องชดใช้ความผิดเพียงครั้งเดียวไปทั้งชีวิต หากเจ้าไม่ยอมอภัยให้ข้า ข้าก็จะตามติดเจ้าไปอย่างนี้ ซูซู แม้ฟ้าถล่มดินทลาย ข้าก็มิอาจปล่อยมือได้อีกแล้ว”
“ท่าน…” นางชะงักอึ้ง ครั้นหันไปมองเขา กลับเห็นเพียงสายตาอันหนักแน่นไร้ข้อกังขา ทำเอานางหายใจติดขัด พูดอะไรไม่ออก
ควันพิษหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ปกคลุมท้องฟ้าไปกว่าครึ่ง ลมเหนือพัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ควันพิษหนาๆ พัดกระจายไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางกิ่งไม้อันสูงตระหง่านในป่าทึบอันมืดมิดด้านหน้า มีปล่องไฟขนาดใหญ่ปล่องหนึ่งตั้งตรงอยู่ตรงนั้น มันมีขนาดสูงหลายจั้ง หันหน้าไปทางประตูเมืองทิศเหนือ
ทั้งสองไม่พูดอะไรอีก เพียงแอบสังเกตการณ์อยู่ด้านหลังต้นไม้อย่างระมัดระวัง ห่างออกไปไม่ไกล บนลานโล่งกว้างกลางป่ามีแสงสว่างเจิดจ้า ทหารสี่ห้าคนกำลังเติมฟืนและพัดไฟอย่างเร่งรีบ
มิน่าเล่าควันพิษถึงได้ลอยมาไม่ขาดสาย เมื่อประจำการอยู่ในป่า ย่อมมีฟืนเติมเชื้อไฟอย่างต่อเนื่อง
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อสบตากันอย่างมิได้นัดหมาย พวกเขาพยักหน้าให้กันเล็กน้อย ก่อนจะแยกย้ายกันล้อมเข้าไปคนละด้าน และโจมตีอย่างรวดเร็ว ทหารสี่ห้าคนนั้นไม่ทันตั้งตัว ถูกสกัดจุดลมปราณอย่างรวดเร็ว ยืนนิ่งอยู่กับที่ จ้องมองชายหญิงคู่นี้ที่ราวกับบินลงมาจากฟ้าด้วยสายตาหวาดกลัว
ซูหลีรีบตักทรายราดเข้าไปในกองไฟอย่างรวดเร็ว กองไฟกองนั้นค่อยๆ มอดดับลงไป
…………………