กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 465 ฮ่องเต้หญิง พวกเราแต่งงานกันเถิด (1)
เขาจ้องมองเงาร่างของนางที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป พลางพึมพำในใจเบาๆ “ต้องได้พบกันอีก”
ท้องฟ้าปลอดโปร่งเป็นครั้งแรกหลังฝนตก ประกายแสงสีทองส่องทะลุชั้นเมฆบางๆ สาดส่องลงมาบนกำแพงสีแดงสดของพระราชวังแคว้นติ้ง กระเบื้องสีเขียวมรกตสะท้อนแสงระยิบระยับ งดงามสะดุดตา
ซูหลียืนอยู่ด้านในตำหนักอี๋หวา นางสวมอาภรณ์สีขาวดุจหิมะ นัยน์ตาเปล่งประกาย ท่าทางสุขุมเยือกเย็น รัศมีเจิดจรัส ด้านหลังคือประตูตำหนักอันเงียบงันเคร่งขรึม และท้องฟ้าปลอดโปร่งกว้างไกล บุรุษสองคนยืนอยู่ซ้ายขวาด้านละคน หยัดยืนตัวตรง คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีเขียวบุคลิกดูเป็นคนเปิดเผย หล่อเหลาสง่างาม คนหนึ่งสวมชุดสีฟ้าดวงตากลมโต ใบหน้าหล่อเหลาดูเป็นคนแข็งแกร่งเด็ดขาด
เหล่านางกำนัลและองครักษ์นอกตำหนักต่างเคร่งขรึมจริงจัง แต่ก็ยังมีคนอดไม่ได้ที่จะสอดส่องมาทางสามคนนี้ที่มีบุคลิกไม่ธรรมดาเป็นระยะ
ซูหลีกระแอมเสียงเบา เงยหน้ามองคนที่อยู่บนตำแหน่งสูง
ฮองเฮาแคว้นติ้งที่ประทับอยู่บนตำแหน่งสูงอายุราวสี่สิบต้นๆ บุคลิกสูงส่งสง่างาม ดวงหน้างดงาม แต่สีหน้ากลับดูกลัดกลุ้มเล็กน้อย สตรีที่ยืนอยู่ข้างกายนาง ก็คือฮั่วเสี่ยวหมาน ธิดาของเป่ยผิงโหว[1] เครื่องหน้าทั้งห้าสวยสดงดงาม ผิวกายขาวเนียนดั่งหิมะ นับเป็นหญิงงามคนหนึ่งเลยทีเดียว เพียงแต่ความหยิ่งยโสและความเอาแต่ใจที่ปิดไม่มิด กลับทำให้ดวงหน้านั้นลดความงามไปหลายส่วน นางกำลังยื่นหยกห้อยเอวชิ้นหนึ่งให้ฮองเฮา
“ฮองเฮาโปรดทอดพระเนตรเพคะ”
มังกรเก้ากรงเล็บที่กำลังแหวกลมขี่เมฆาบนหยกห้อยเอวชิ้นนั้น ถูกสลักขึ้นราวกับมีชีวิต ครั้นเห็นหยกชิ้นนี้ ฮองเฮาก็ตกตะลึงหน้าเปลี่ยนสี นางคว้าหยกไปทันที แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “หยกห้อยเอวมังกรผานหลงของฉ่างเอ๋อร์!”
“ใช่แล้วเพคะ! หมานเอ๋อร์เจอหยกห้อยเอวชิ้นนี้บนตัวสตรีนางนั้น นางต้องเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปขององค์รัชทายาทแน่นอนเพคะ!”
ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาของฮองเฮาพลันแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ ตวัดมองมาที่สตรีซึ่งยืนอยู่กลางตำหนัก “เจ้าเป็นผู้ใด? เหตุใดหยกห้อยเอวประจำกายขององค์รัชทายาทจึงมาอยู่ในมือเจ้า?”
ซูหลีเห็นว่าดวงตาและคิ้วของนางมีส่วนคล้ายหลางฉ่าง เดาว่าคงเป็นมารดาของหลางฉ่าง นางขมวดคิ้ว ลอบใช้ความคิดเล็กน้อย
หนึ่งเดือนก่อนตอนอยู่ในแคว้นเปี้ยนนางทราบข่าวที่หลางฉ่างหายตัวไป จึงพาทูตทั้งสี่ออกไปสืบหาตั้งแต่เมืองเหลียวเฉิงมาจนถึงแคว้นติ้ง นางเคลื่อนกำลังเกือบทั้งหมดของเฉินเหมินแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเบาะแสของหลางฉ่างแม้แต่น้อย คนกลุ่มหนึ่งราวกับหายวับไปกลางอากาศ! ด้วยความจนใจ ซูหลีตัดสินใจแบ่งกำลังคนออกเป็นสองกลุ่ม เซี่ยงหลีกับหวั่นซินนำกำลังคนตามหาบริเวณแถบชายแดนต่อไป ส่วนนางกับเจียงหยวนและฉินเหิงมุ่งหน้ามายังเมืองหลวงแคว้นติ้งเพื่อสืบข่าว นึกไม่ถึงจะบังเอิญเจอคุณหนูเอาแต่ใจผู้นี้ที่ตลาด ครั้นเห็นนางพกหยกห้อยเอวของหลางฉ่างไว้ ก็จับตัวพวกนางเข้ามาในวังโดยไม่ถามอะไรสักคำ ซูหลีจึงใช้แผนการหนามยอกเอาหนามบ่ง นางฉวยโอกาสนี้เข้าวังมาเพื่อสืบข่าวเสียเลย
ยามนี้ ดวงหน้าหงส์ของฮองเฮาเปลี่ยนสี ซูหลีตึงเครียดเล็กน้อย ก่อนจะค้อมศีรษะแล้วตอบอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันซูหลี มีโอกาสได้พบกับองค์รัชทายาทที่แคว้นเฉิงเมื่อหนึ่งปีก่อน เนื่องจากพบปะกันหลายหนจึงค่อนข้างสนิทสนม ก่อนกลับแคว้น องค์รัชทายาทมอบหยกห้อยเอวชิ้นนี้ให้หม่อมฉันพร้อมกับเชื้อเชิญอย่างจริงใจ หากภายหน้ามีโอกาสก็ขอให้มาพบกันอีกที่แคว้นติ้งเพคะ”
“เจ้าหมายความว่า หยกห้อยเอวชิ้นนี้องค์รัชทายาทเป็นคนมอบให้เจ้าเอง?” ฮองเฮาสับสนงุนงง มองนางอย่างไม่อยากเชื่อ
ซูหลีตอบ “เป็นเช่นนั้นจริงเพคะ ที่หม่อมฉันมาคราวนี้ ก็เพื่อทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับองค์รัชทายาท…”
“เหลวไหลทั้งเพ!” จู่ๆ ฮองเฮาก็ลุกขึ้น กล่าวเสียงเกรี้ยว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหยกห้อยเอวชิ้นนี้มีความหมายใดต่อองค์รัชทายาท?”
ซูหลีขมวดคิ้วตอบว่า “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ องค์รัชทายาทไม่เคยกล่าวถึง”
ฮองเฮากล่าวด้วยความกริ้วโกรธ “เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าตอนนี้ หยกห้อยเอวผานหลงเป็นสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์เรา และเป็นสัญลักษณ์ประจำกายขององค์รัชทายาทแคว้นติ้งในทุกยุคทุกสมัยด้วย! องค์รัชทายาทประพฤติตัวด้วยความระมัดระวังรอบคอบเสมอมา จะมอบของสำคัญอย่างนี้ให้ผู้อื่นส่งเดชได้เช่นไร?”
ซูหลีตะลึงงัน นางรู้เพียงว่าหยกห้อยเอวชิ้นนี้เป็นของที่หลางฉ่างพกติดตัวเสมอ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็นถึงสัญลักษณ์ประจำกายขององค์รัชทายาท! เช่นนั้น…องค์รัชทายาทแคว้นติ้งเมื่อสิบเก้าปีก่อน ก็คือเจ้าของหยกห้อยเอวชิ้นนี้ในตอนนั้น?!
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ นางกระชับรูปภาพที่อยู่ในอกเสื้อแน่นขึ้นโดยสัญชาตญาณ ตราประทับรูปมังกรผานหลงบนภาพวาดส่งสัญญาณเตือนนางเกี่ยวกับเบาะแสเรื่องชาติกำเนิดของนางอยู่เสมอ นางเงยหน้ากล่าวว่า “หม่อมฉันไม่ทราบว่าหยกชิ้นนี้สำคัญถึงเพียงนี้ และไม่ทราบว่าเหตุใดองค์รัชทายาทจึงมอบหยกให้หม่อมฉัน แต่หากทรงอนุญาตให้หม่อมฉันพบฝ่าบาทสักหน บางทีเรื่องนี้อาจมีคำตอบเพคะ”
“เจ้าจะพบฝ่าบาท?” ฮองเฮามองหน้านางด้วยความตกตะลึง
ฮั่วเสี่ยวหมานรีบกล่าว “ฮองเฮาอย่าทรงหลงเชื่อนางนะเพคะ สตรีนางนี้เป็นวรยุทธ์ พี่ชายรัชทายาทจะต้องอยู่ในมือพวกเขาแน่นอน! ไม่แน่ว่าการมาในครั้งนี้ของนาง อาจมีจุดประสงค์ชั่วร้ายที่ไม่อาจให้ผู้ใดรู้ เช่นการลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทก็เป็นได้ เดิมทีฝ่าบาทก็ประชวรหนักอยู่แล้ว ถ้าเกิด…”
“หุบปาก!” ครั้นได้ยินเรื่องฝ่าบาทประชวรหนัก ฮองเฮาหน้าเปลี่ยนสีทันที นางตัดบทด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
หัวใจของซูหลีพลันจมดิ่ง หลางฉ่างยังไม่กลับมาที่วังดังคาด ฮ่องเต้แคว้นติ้งประชวรหนัก เดาว่าเพื่อปลอบขวัญประชาชน ฮองเฮาจึงปิดบังเรื่องนี้กับคนภายนอก มิน่าเล่าพวกนางจึงสืบข่าวคราวอะไรจากในเมืองไม่ได้เลย ยามนี้เมื่อนางทราบข่าวนี้ ถึงแม้ฮองเฮาจะเชื่อว่าการหายตัวไปของหลางฉ่างไม่เกี่ยวข้องกับนาง เกรงว่าก็คงไม่มีทางยอมปล่อยนางไปง่ายๆ แน่นอน ความหวาดระแวงเริ่มบังเกิดในใจฮองเฮาแล้ว…การขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท คงกลายเป็นเรื่องยากเสียแล้ว…
ฉินเหิงที่อยู่ข้างหลังเห็นท่าไม่ดี จึงกล่าวเสียงเบา “เจ้าสำนัก! สถานการณ์ไม่สู้ดี มิสู้ถอยก่อน…แล้วค่อยคิดหาทางอีกทีดีกว่ากระมังขอรับ”
ซูหลีพยักหน้าเล็กน้อย นางหันไปค้อมกายให้ฮองเฮา แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่อยู่ในวัง เช่นนั้นก็โปรดทรงอนุญาตให้หม่อมฉันทูลลาด้วยเพคะ”
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ฮองเฮาตวาดเสียงต่ำ
องครักษ์ด้านนอกได้ยินเสียงก็รีบวิ่งเข้ามาขวางประตู ไม่ให้พวกเขาสามคนออกไป
ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เจ้าเห็นวังของข้าเป็นอะไร? อยากมาก็มา อยากไปก็ไป?”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ หม่อมฉันและองค์รัชทายาทมีสายสัมพันธ์อันดีงาม ที่มาเยือนพร้อมกับสิ่งของแทนตัว เดิมทีก็เพื่อทำตามสัญญาในอดีต นึกไม่ถึงว่าจะทำให้ฮองเฮาเข้าพระทัยผิด หม่อมฉันไม่มีจุดประสงค์ร้ายใดแอบแฝง หากล่วงเกินฮองเฮา ก็ขอได้โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉัน โปรดทรงอนุญาตให้พวกหม่อมฉันทั้งสามจากไปโดยดีด้วยเถิดเพคะ วันหน้าหากองค์รัชทายาทเสด็จกลับมา หม่อมฉันจะต้องมาขอรับโทษด้วยตนเองอย่างแน่นอนเพคะ”
ฮองเฮากลับไปนั่งที่เดิม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าดูแล้วบุคลิกของเจ้าก็ไม่ธรรมดา ไม่เหมือนคนคิดคดทำชั่ว ขอเพียงเจ้าพูดความจริง ข้าย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่หากเจ้ามองข้ามความหวังดีของข้า คิดจะโป้ปดละก็ ข้าไม่มีทางเมตตาแน่นอน!”
ซูหลีถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ในอดีต ยามองค์รัชทายาทตรัสถึงฮองเฮา บอกว่าพระนางเป็นมารดาของแผ่นดิน ที่มีคุณธรรมสูงส่ง หม่อมฉันรู้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก แต่เรื่องนี้ ทุกคำพูดที่หม่อมฉันทูลฮองเฮา ไม่มีคำโป้ปดแม้แต่คำเดียว ฮองเฮาโปรดทรงพิจารณาอย่างปราดเปรื่อง และทรงระงับโทสะด้วยเถิดเพคะ”
ฮั่วเสี่ยวหมานร้องบอก “องค์รัชทายาทหายตัวไปนานถึงเพียงนี้ ไม่มีข่าวคราวแม้แต่น้อย เจ้ามีของประจำกายขององค์รัชทายาทอยู่กับตัว น่าสงสัยเป็นที่สุด! ฮองเฮาเพคะ อย่าเชื่อวาจาดอกไม้ของนางเด็ดขาดนะเพคะ!”
ฮองเฮาขมวดคิ้วใคร่ครวญอย่างหนัก ท่าทางลำบากใจไม่น้อย
ซูหลีขมวดคิ้วกล่าวว่า “หากฮองเฮาไม่ทรงเชื่อ หม่อมฉันยังมีอีกคำขอร้องหนึ่ง บางทีอาจพิสูจน์ได้บ้างไม่มากก็น้อย”
ฮองเฮาถาม “เจ้าจะทำอะไร?”
ซูหลีก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “หม่อมฉันขอบังอาจเข้าเฝ้าฝ่าบาท หม่อมฉันและองค์รัชทายาทตกลงกันไว้ หากพบฝ่าบาท ก็จะสามารถอธิบายฐานะของหม่อมฉันได้”
“สามหาว!” ฮองเฮาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ดวงหน้าหงส์ขึ้งเคียด “เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?! ถึงได้เอาแต่ร้องขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเช่นนี้?! ฝ่าบาทฐานะสูงส่ง ใช่คนที่เจ้าเข้าเฝ้าได้ง่ายๆ เสียที่ไหน?”
ฮั่วเสี่ยวหมานกล่าวเสริม “ฮองเฮาเพคะ นางต้องเป็นนักฆ่าแน่ๆ อย่าปล่อยให้นางหนีไปได้เด็ดขาดเลยนะเพคะ!”
ซูหลีถอยหลังหนึ่งก้าว ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ จับภาพวาดภาพนั้น “หม่อมฉันมีของสิ่งหนึ่ง สามารถยืนยันฐานะของตนเองได้ แต่หม่อมฉันมอบให้ฝ่าบาทได้ผู้เดียวเท่านั้น!”
“บังอาจ!” ฮองเฮาตวาดเสียงเกรี้ยว โบกมือออกคำสั่ง “พระราชวังติ้งของเรามีหรือจะปล่อยให้เจ้ากระทำได้ตามใจ?! ทหาร! จับตัวสามคนนี้ไว้!”
……………………………………….
[1] โหว แปลว่า เป็นบรรดาศักดิ์รองจากชั้น กง ได้รับยศจากการสืบสกุล หรือได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ เนื่องจากมีความดีความชอบ