กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 467 ฮ่องเต้หญิง พวกเราแต่งงานกันเถิด (3)
ซูหลียิ้มหยัน “ข้าไม่ใช่ชาวติ้งเสียหน่อย เกรงว่าจะคุณหนูฮั่วจะใส่ความข้ามากกว่ากระมัง!”
ฮั่วเสี่ยวหมานร้องบอก “ใครจะไปรู้เล่า บางทีเจ้าอาจถูกส่งตัวไปเลี้ยงและเติบโตที่อื่น แล้วค่อยกลับมาแก้แค้นตอนนี้ก็ได้”
ฮองเฮาจ้องหน้าซูหลี แล้วถามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ซูหลีล้วงป้ายประจำตัวสีดำขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากอกเสื้อ คำว่า ‘เซียว’ ถูกสลักไว้ใจกลางลวดลายดอกไม้อันประณีตงดงาม นางก้าวมาข้างหน้า ชูป้ายประจำตัวขึ้นแล้วกล่าวว่า “ความจริงแล้วหม่อมฉันคือทูตลับที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนส่งตัวมา เพื่อสืบหาเรื่องการหายตัวไปขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นท่าน หม่อมฉันเดินทางลงใต้มาจนถึงที่นี่ เพราะสืบหาเบาะแสใดไม่เจอเลยจึงฉวยโอกาสให้คุณหนูฮั่วพาเข้าวังมาเพคะ”
ฮองเฮาตะลึงงัน นางกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเป็นทูตลับจากแคว้นเปี้ยน? เหตุใดเมื่อครู่ตอนข้าถามเจ้าจึงไม่บอก? ที่เจ้าบอกว่ามีของยืนยันฐานะได้ ก็คือสิ่งนี้หรือ?”
ซูหลีกล่าว “ใช่แล้วเพคะ ในเมื่อเป็นทูตลับ หม่อมฉันจึงมีเหตุผลที่ไม่สะดวกทูล หวังว่าฮองเฮาจะทรงให้อภัย”
“แล้วเหตุใดยามนี้จึงยอมบอกแล้วเล่า?”
“เพราะไม่อยากใช้อาวุธ เพื่อสร้างความเข้าใจผิดระหว่างสองแคว้นเพคะ” ซูหลีตอบอย่างใจเย็น วาจาฉะฉานคล่องแคล่ว
ฮ่องเต้กล่าว “เอามาให้ข้าดู”
ขันทีนำป้ายประจำตัวไปให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้มองดูลายดอกไม้บนป้าย สายตาพลันขรึมลง “ในเมื่อเป็นทูตลับของแคว้นเปี้ยน และมาเพื่อสืบเรื่องรัชทายาท แต่เหตุใดกลับถามแต่เรื่องเมื่อสิบเก้าปีก่อนเล่า?”
ซูหลีกล่าว “เพราะว่า…เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอดีตของธิดาเทพคนเก่าของแคว้นเรา…”
“เจ้าเป็นคนของลัทธิธิดาเทพงั้นหรือ?” น้ำเสียงของฮ่องเต้แปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ ลมหายใจอ่อนแอพลันปั่นป่วนยากสงบ “มิน่าเล่าข้าถึงได้รู้สึกว่าลายดอกไม้บนป้ายชื่อนี้ดูคุ้นตานัก ที่แท้ก็เป็นสัญลักษณ์เฉพาะของลัทธิธิดาเทพนี่เอง! …เรื่องในอดีตของธิดาเทพเป็นความลับของราชวงศ์เปี้ยน นอกจากผู้อาวุโสในลัทธิธิดาเทพแล้วก็ไม่มีใครรู้ ดูท่าฐานะของเจ้าในลัทธิธิดาเทพคงไม่ธรรมดา”
ซูหลีตกใจ พลันนึกได้ว่าเมื่อสิบเก้าปีก่อนท่านน้าจิ้งหวั่นเคยแฝงตัวเข้ามาเพื่อลอบสังหารฮ่องเต้พระองค์ก่อน สองแคว้นมีความแค้นต่อกันมาเนิ่นนานแล้ว ยามนี้หลางฉ่างก็มาหายตัวไปที่เขตชายแดนแคว้นเปี้ยนอีก…เกรงว่าความแค้นนี้มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ฝ่าบาท!” ซูหลีกล่าวเสียงดัง “การหายตัวไปขององค์รัชทายาทไม่เกี่ยวกับลัทธิธิดาเทพ ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเกรงว่าจะมีคนคอยบงการเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง เพื่อทำลายความสงบสุขของสองแคว้น ฉะนั้นจึงได้ส่งหม่อมฉันมาสืบหาความจริงเพคะ”
ฮ่องเต้ไม่พูดอะไร เพียงจ้องมองป้ายประจำตัวในมือนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “เจ้าเป็นธิดาเทพหรือ?”
ซูหลีตอบเสียงเบา “ถูกต้องแล้วเพคะ”
“ทหาร จับตัวสามคนนี้ไว้!”
องครักษ์ทั้งสองฝั่งล้อมประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว อาวุธทหารแผ่รัศมีเย็นเยียบอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
ซูหลีกระดกคิ้วเล็กน้อย เจียงหยวนกับฉินเหิงรีบคุ้มกันข้างหน้านางทันที
ใบหน้าซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อทูตลับของแคว้นเราเช่นนี้หรือเพคะ?”
ฮ่องเต้ออกคำสั่งเสียงเกรี้ยว “คนของลัทธิธิดาเทพ ห้ามปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”
ซูหลีตะโกนบอกด้วยความร้อนใจ “ฝ่าบาทแค้นเคืองลัทธิธิดาเทพถึงเพียงนี้ เหตุใดในอดีตจึงต้องสร้างความผูกพันกับธิดาเทพด้วยเล่าเพคะ?!”
ฮ่องเต้สะบัดแขน ทิ้งป้ายประจำตัวลงพื้น แล้วคำรามสั่งด้วยน้ำเสียงพิโรธ “จับตัวไว้!”
เหล่าองครักษ์กรูกันเข้ามา ฉินเหิงกับเจียงหยวนคุ้มกันซ้ายขวา ฝ่ามือทั้งสี่ข้างซัดออกไป เหล่าองครักษ์ล้มระเนระนาด องครักษ์ไม่อาจเข้าใกล้ซูหลี แต่ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฉินเหิงมองรอบกายด้วยความกังวล ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “เจ้าสำนัก ที่แห่งนี้ไม่อาจรั้งอยู่นาน! รีบไปจากที่นี่ก่อนเถิดขอรับ!”
ซูหลีจ้องเงาร่างที่อยู่บนเกี้ยวเขม็ง แล้วพลันนั้นนางก็พาร่างกายเหินขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะพุ่งทะยานไปทางเกี้ยวของฮ่องเต้เหมือนว่าว ทุกคนตกตะลึง ฮองเฮาพุ่งตัวเข้าไปด้านหน้าเกี้ยว แล้วตะโกนเสียงดัง “คุ้มกันฝ่าบาท!”
เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด มือข้างหนึ่งของซูหลีก็วางลงบนไหล่ฮองเฮา นางออกแรงผลักเล็กน้อย ฮองเฮาพลันล้มตัวลงไปด้านข้าง นางก้าวเท้าเข้าไปหมายจะเปิดม่าน ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนอย่างร้อนใจของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
มือของซูหลีหยุดชะงักไปทันที นางเงยหน้ามองไป เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในวัง บุรุษที่อยู่ด้านหน้าสุดสวมรัดเกล้าหยกสีขาว ถึงแม้ใบหน้าร้อนรน แต่ยังคงความหล่อเหลาและความสง่างามอ่อนโยนเอาไว้มิเสื่อมคลาย เขาสวมชุดฉางผาวสีควันชายยาวลากพื้น เลอะคราบดินและฝุ่นจากการเดินทางระหกระเหิน แต่กลับไม่ได้ดูสะบักสะบอมเลยแม้แต่น้อย เป็นหลางฉ่างองค์รัชทายาทแคว้นติ้งที่หายตัวไปหลายวันแล้วนั่นเอง!
ด้านหลังเขามีชายหญิงคู่หนึ่งเดินตามมา ชายหนุ่มสวมอาภรณ์ผ้าต่วนสายคาดเอวหยก ดวงตางดงามดั่งดอกท้อ บุคลิกเจ้าเล่ห์ หญิงสาวสวมชุดสีดำทั้งตัว เครื่องหน้าทั้งห้าสวยงามหมดจด นัยน์ตาสุขุมเยือกเย็น พวกเขาก็คือเซี่ยงหลีและหวั่นซินที่นำกำลังคนในสำนักตามหาหลางฉ่างอยู่ที่เขตชายแดนต่อนั่นเอง
สายตาของเขามองข้ามผ่านองครักษ์มากมายมายังซูหลีอย่างรวดเร็ว
ซูหลีแย้มยิ้ม หัวใจที่ตึงเครียดด้วยความเป็นห่วงมานานหลายวันในที่สุดก็ผ่อนคลายลง ราวกับยกภูเขาออกจากอกอย่างไรอย่างนั้น นางเพิ่งรู้ตัวในยามนี้เอง ว่าตนเองเห็นเขาเป็นคนในครอบครัวนานแล้ว ความซาบซึ้งและความดีใจที่ไม่อาจบรรยายพรั่งพรูในหัวใจ แต่นางกลับทำเพียงขานเรียกเสียงเบา “องค์รัชทายาท!”
ฮองเฮาขอบตาร้อนผ่าว ดึงมือหลางฉ่างแล้วกล่าว “ลูกแม่! เจ้ากลับมาแล้ว!”
“ลูกอกตัญญู ทำให้เสด็จแม่ตกใจ!” หลางฉ่างคุกเข่าโขกศีรษะ “ลูกขอถวายบังคมเสด็จพ่อ เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮองเฮารีบประคองหลางฉ่างให้ลุกขึ้น ฮ่องเต้กล่าวด้วยความยินดี “กลับมาก็ดีแล้ว! แค่กๆ! หลายวันมานี้เกิดเรื่องใดขึ้น เหตุใดจึงไม่ได้รับข่าวคราวจากเจ้าเลยเล่า? เหล่าคนที่เดินทางไปพร้อมกับเจ้าเล่า เหตุใดจึงหายกันไปหมด?”
“พวกเขา…ล้วนสละชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลางฉ่างก้มหน้าด้วยความทุกข์ใจ ย้อนนึกถึงเหตุการณ์อันตรายเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงเหล่าผู้กล้าที่ยอมถูกฝังไว้ท่ามกลางป่ารกร้างเพื่อปกป้องเขาให้ปลอดภัย สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าโศกและเจ็บปวด
“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?” ฮองเฮาถามด้วยความตกใจ
หลางฉ่างกล่าว “พวกหม่อมฉันเจอนักฆ่าชุดดำปกปิดใบหน้ากลุ่มหนึ่งที่เขตชายแดน พวกเขาล้วนมีวรยุทธ์แก่กล้า ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี คล้ายรู้จักภูมิประเทศในพื้นที่นั้นดีมาก ถึงแม้องครักษ์ที่ลูกพาไปด้วยจะผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี แต่กลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา…ตอนนั้นหม่อมฉันได้รับบาดเจ็บ เพื่อหนีการไล่ล่าของนักฆ่าจึงซ่อนตัวไปทั่ว ต่อมาไม่ทันระวังตกลงไปในก้นเหวและหมดสติไปหลายวัน จึงได้เสียเวลามาจนถึงตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ…”
เขาเล่าถึงประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมายด้วยน้ำเสียงใจเย็น
ฮั่วเสี่ยวหมานร้องขึ้น “พี่ชายรัชทายาทรู้หรือไม่ว่านักฆ่าพวกนั้นเป็นใคร? หม่อมฉันจะไปบอกท่านพ่อ ให้ส่งคนไปจับพวกมันมาลงโทษ!”
หลางฉ่างส่ายหน้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยว่ากันวันหลังเถิด”
ฮองเฮาถามต่อ “เช่นนั้นหลังจากนั้นเล่า? เจ้าออกจากสถานที่อันตรายแห่งนั้นมาได้เช่นไร?”
หลางฉ่างหันกลับไปมองเซี่ยงหลีกับหวั่นซินที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยแววตาซาบซึ้ง “ลูกโชคดีที่ทูตสองท่านนี้มาเจอเข้า และช่วยลูกออกจากอันตราย ซ้ำยังคุ้มกันลูกกลับวังด้วย หลางฉ่างซาบซึ้งในน้ำใจของพวกท่านยิ่งนัก”
“องค์รัชทายาททรงกล่าวเกรงใจเกินไปแล้วเพคะ พวกหม่อมฉันเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น” หวั่นซินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กวาดมององครักษ์รอบกายด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินไปหาซูหลี แล้วขานเรียกเสียงเบา “เจ้าสำนัก”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
หลางฉ่างเดินไปหยุดยืนตรงหน้าซูหลี อดไม่ได้ที่จะกุมแขนนาง ในใจเต็มไปด้วยความยินดีและโล่งใจ สายตาวนเวียนอยู่บนดวงหน้าอันคุ้นเคยของนาง สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความซาบซึ้งและยินดี ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “ไม่เจอกันนานเลย”
เพียงวาจาสั้นๆ ประโยคเดียว กลับเหมือนพูดแทนความคะนึงหานับร้อยคืนวัน และตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่นางกินไม่ได้นอนไม่หลับทั้งหมด ขอบตาของซูหลีร้อนผ่าว นางชำเลืองมองฮองเฮาที่อยู่ข้างๆ สายตาสับสนเล็กน้อย ก่อนที่นางจะตอบเสียงเบา “นั่นสิเพคะ ไม่เจอกันนานเลย องค์รัชทายาทสบายดีหรือไม่?”
…………………………..