กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 468 ฮ่องเต้หญิง พวกเราแต่งงานกันเถิด (4)
“ข้าสบายดี ต้องขอบคุณเจ้า” เขาหันกลับไปมองสองทูตที่ยืนอยู่ข้างหลัง “หากมิใช่พวกเขาหาข้าเจอ เกรงว่าข้าคงรอดกลับมายาก”
ซูหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “องค์รัชทายาทเป็นคนดีสวรรค์คุ้มครอง ย่อมต้องรอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวงเพคะ”
หลางฉ่างดึงมือซูหลี แล้วเดินตรงไปที่เกี้ยวของฮ่องเต้ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน “มากับข้า”
ฮองเฮาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ที่แท้แม่นางก็เป็นสหายของฉ่างเอ๋อร์จริงๆ ล้วนโทษข้าที่ใจร้อน เห็นหยกห้อยเอวขององค์รัชทายาทอยู่ในมือแม่นาง ก็คิดว่าแม่นางรู้เบาะแสของฉ่างเอ๋อร์ เกือบทำให้แม่นางลำบากเสียแล้ว ข้าขอโทษจากใจ…”
ซูหลีเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “ฮองเฮาทรงกล่าวหนักเกินไปแล้วเพคะ”
“รัชทายาท!” จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตวาดเรียกเสียงกร้าว
หลางฉ่างรีบรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้ถามเสียงเข้ม “หยกห้อยเอวชิ้นนี้เจ้ามอบให้นางจริงหรือ? เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตอนที่ข้ามอบหยกชิ้นนี้ให้เจ้า ข้าพูดอะไรกับเจ้า?”
หลางฉ่างตอบ “ลูกจำได้พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อตรัสว่าหยกนี้สำคัญยิ่งกว่าตรากองทัพ ห้ามทำหาย ห้ามมอบให้ผู้อื่นเด็ดขาด มิเช่นนั้นลูกก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งรัชทายาท”
ซูหลีตกตะลึง อดหันไปมองหลางฉ่างไม่ได้!
ฮ่องเต้กล่าวว่า “ตอนนั้นข้าไม่ระวังทำหยกชิ้นนี้หาย จึงเกือบทำให้แคว้นเราตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกกบฏ เจ้า เจ้า…ไม่ไยดีคำพูดของข้า กลับมอบหยกชิ้นนี้ให้ผู้อื่น ข้าผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก!”
ฮ่องเต้พิโรธ ลมหายใจติดขัด กระแอมไอไม่หยุด ทุกคนตกใจลนลาน เข้ามาอยู่ในวังหลายปี พวกเขาเพิ่งเคยเห็นฮ่องเต้ตำหนิองค์รัชทายาทรุนแรงเช่นนี้เป็นครั้งแรก
ฮองเฮาเกลี้ยกล่อม “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ รักษาพระวรกายด้วยเพคะ! ฉ่างเอ๋อร์กระทำเรื่องใดล้วนรอบคอบเสมอมา บางทีอาจมีเหตุผล…”
“ลูกมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้จริงๆ…”
ฮ่องเต้เหน็ดเหนื่อย รู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด เขากล่าวตัดบท “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การมอบหยกประจำตัวองค์รัชทายาทให้นางก็ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง! เจ้า มานี่”
หลางฉ่างก้าวเข้าไป ฮ่องเต้ยื่นหยกห้อยเอวออกจากม่านรถสีเหลืองทอง “หยกนี้สำคัญเทียบเท่ากับชีวิตเจ้า เกี่ยวพันถึงความรุ่งเรืองเสื่อมถอยของราชวงศ์ติ้งและบ้านเมือง ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดใดเด็ดขาด!”
หลางฉ่างรับไว้อย่างนอบน้อม “พ่ะย่ะค่ะ ลูกน้อมรับคำสั่งสอนของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…”
ฮ่องเต้หลับตา กล่าวว่า “นับตั้งแต่วันนี้ เจ้าจงปิดประตูทบทวนตนเองเสีย หากไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามผู้ใดเข้าไปเยี่ยม ส่วนพวกเขา…มีผลงานที่ช่วยองค์รัชทายาท จะตบรางวัลอย่างไร ให้ฮองเฮาเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน เคลื่อนขบวนกลับวังได้”
หลางฉ่างหมายจะเอ่ยปาก แต่กลับถูกฮองเฮาปรามไว้ก่อน “เสด็จพ่อของเจ้าเหนื่อยแล้ว มีเรื่องใดค่อยว่ากันวันหลังเถิด”
หลางฉ่างมองซูหลีด้วยสายตาเป็นห่วง ซูหลียืนเงียบอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน มองม่านสีเหลืองทองอย่างเหม่อลอย
เสี้ยววินาทีเมื่อครู่ที่ฮ่องเต้ยื่นมือออกมา นางมองเห็นแหวนหยกขาวบนนิ้วมือเขาอย่างชัดเจน แหวนวงนั้นเหมือนกับวงที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ให้นางมาก นางตกตะลึง คำพูดก่อนตายของท่านน้าจิ้งหวั่นแล่นผ่านสมอง ‘แหวนวงนี้ยังมีอีกวงที่เหมือนกัน อยู่ในมือของพ่อแท้ๆ ของเจ้า…’
ครั้นเห็นเกี้ยวของฮ่องเต้เริ่มเคลื่อนตัวกำลังจะออกไป จู่ๆ นางก็ก้าวออกมาแล้วกล่าวว่า “ช้าก่อน”
ขบวนเกี้ยวชะงัก ขันทีประจำกายของฮ่องเต้กล่าวตำหนิ “บังอาจยิ่งนัก ถึงขั้นกล้าขวางขบวนเสด็จ…”
ซูหลีข่มกลั้นความตื่นตระหนกในใจ แล้วถามว่า “เมื่อครู่หม่อมฉันเห็นฝ่าบาทสวมแหวนหยกขาววงหนึ่ง หม่อมฉันขอบังอาจถาม ของสิ่งนี้…เป็นของลัทธิธิดาเทพกระมังเพคะ?”
ไร้เสียงตอบรับจากด้านในเกี้ยว รอบข้างเงียบกริบ จู่ๆ ฮ่องเต้ก็กล่าวเสียงเย็นชา “จุดประสงค์ที่แท้จริงที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนส่งเจ้ามาไม่ใช่เพื่อสืบเรื่องการหายตัวไปขององค์รัชทายาท แต่เพื่อตามหาแหวนวงนี้กระมัง? ครั้งนี้เห็นแก่ผลงานที่ช่วยองค์รัชทายาท ข้าจะปล่อยเจ้าไป เมื่อได้รับรางวัล ก็จงรีบไปจากแคว้นติ้ง อย่าได้มองข้ามความหวังดีในครั้งนี้ไป!”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ เซถอยหลังไปหนึ่งก้าว “ท่านจะให้ข้าไปจากที่นี่…”
หลางฉ่างรีบกล่าว “เสด็จพ่อ! ซูหลีไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้กล่าว “ใช่ว่านางช่วยชีวิตเจ้าแล้วจะกระทำตามใจชอบได้! แคว้นติ้งไม่มีวันต้อนรับคนของลัทธิธิดาเทพไปตลอดกาล!”
ซูหลีก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยว่า “เรื่องในอดีต ถูกหรือผิดยามนี้ยากจะตัดสิน หม่อมฉันมีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น หม่อมฉันอยากรู้ว่าคนที่มอบแหวนวงนี้ให้กับฝ่าบาท เคยมีสัญญาร่วมกันที่หุบเขาอวี๋ชิง…”
ฮ่องเต้กล่าวตัดบทอย่างร้อนใจ “ใครให้เจ้ามาถามข้า?”
ซูหลีล้วงภาพวาดของเสด็จแม่นางที่พบในหุบเขาอวี๋ชิงออกมา แล้วก้าวเท้าไปทางเกี้ยวช้าๆ องครักษ์หมายจะเข้ามาขวาง กลับถูกหลางฉ่างสั่งให้ถอยไป ซูหลีน้อมส่งภาพวาดไปตรงหน้าผ้าม่านสีเหลืองทอง แล้วเอ่ยตอบเสียงเบา “เป็นคนในภาพวาดนี้เพคะ”
ฮ่องเต้ยื่นมือออกมารับภาพวาดไป ไม่นานก็รีบเปิดม่าน แล้วถามด้วยความตกตะลึง “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดภาพวาดนี้จึงมาอยู่กับเจ้าได้?”
ซูหลีมองเห็นใบหน้าเขาแล้ว
ฮ่องเต้ตรงหน้าใบหน้าเขียวซีดเล็กน้อย คล้ายป่วยหนักมาก แต่ยังคงเหลือเค้าความหล่อเหลาในวัยหนุ่มให้เห็นอยู่ ดวงตาซ่อนคมคู่นั้นยังคงคมปลาบ ใบหน้าของเขาดูสับสนวุ่นวาย ทั้งกังวล สงสัย และคาดหวังผสมปนเปกันไปหมด เขาจ้องหน้าซูหลีไม่วางตา
ซูหลีเพียงยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ดวงหน้างดงามหมดจดที่เหมือนในภาพวาดทุกประการปรากฏในครรลองสายตาของฮ่องเต้แคว้นติ้ง สายตาที่สงบนิ่งในตลอดหลายปีที่ผ่านมาราวกับถูกก้อนหินขว้างปาจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
ฮ่องเต้เบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ถึงแม้ทหารจากสองแคว้นมารุกราน ศัตรูอยู่ตรงหน้า เขาก็ยังไม่ตื่นตะลึง และเสียอาการถึงเพียงนี้
“…ซี…ซี?”
เสียงสั่นเครือสะท้อนให้เห็นถึงความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด และวาจาที่หลุดออกมาจากปากเขา ก็เป็นชื่อของเสด็จแม่ซูหลีที่จากไปแล้ว
คำตอบหนึ่งผุดขึ้นมาในใจซูหลีรางๆ บางทีฮ่องเต้แคว้นติ้งผู้นี้อาจเป็นคนที่มารดานางห่วงหามาทั้งชีวิต! สายตาที่เขามองนางเต็มไปด้วยความคะนึงหา ยินดีจนแทบคลั่งยิ่งกว่าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกับหยางเซียวในยามนั้นเสียอีก
ซูหลีอดสะท้านไปทั้งใจไม่ได้ พยายามข่มกลั้นอารมณ์อันพลุ่งพล่านในใจตนเอง นางมองดูมือของเขาที่กำลังลูบบทกลอนบนภาพวาดนิ่งๆ เขารีบเดินลงจากที่นั่งอันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงฐานะสูงส่งของเขา แต่เพราะใจร้อนเกินไป จึงเกือบล้มลงมา
หัวใจของซูหลีบีบรัด ยื่นมือออกไปหมายจะประคองเขา แต่หลางฉ่างเร็วกว่า เขาประคองแขนฮ่องเต้อย่างมั่นคง “เสด็จพ่อระวังพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ราวกับไม่ได้ยิน รีบเดินเข้ามาจับต้นแขนซูหลีแน่น
ซูหลีมองมือของเขา และแหวนที่แปรสภาพไปตามกาลเวลา ลมหายใจพลันสะดุด
หลางฉ่างรีบกล่าว “เสด็จพ่อ นางก็คือท่านหญิงหมิงซีซูหลีแห่งแคว้นเฉิงที่ลูกเคยเล่าให้เสด็จพ่อฟังพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มองหน้านางอย่างตกตะลึง อารมณ์อันสับสนปรวนแปรพาดผ่านดวงตา “ซูหลี? …สตรีที่กระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายเพื่อความรักน่ะหรือ?”
ซูหลีอึ้งงัน ที่แท้ในสายตาผู้อื่น นางเป็นคนเช่นนี้เอง
หลางฉ่างกล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงแผนการที่นางสร้างขึ้นเพื่อไปจากตงฟางเจ๋อเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ นางฉลาดปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ ลูกไม่เคยเชื่อว่านางจะกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ฉะนั้นจึงได้อาสาเป็นทูตเดินทางไปยังแคว้นเปี้ยนด้วยตนเอง เพราะต้องการยืนยันตัวตนธิดาเทพคนใหม่ของแคว้นเปี้ยนพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง…” ฮ่องเต้จ้องหน้านางไม่วางตา ค่อยๆ คลายมือออกจากแขนนาง แล้วกล่าวพึมพำว่า “เหมือนเหลือเกิน…เหตุใดจึงเหมือนถึงเพียงนี้? เจ้าเป็นอะไรกับคนในภาพงั้นหรือ?”
……………………