กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 477 ฮ่องเต้หญิง พวกเราแต่งงานกันเถิด (13)
ซูหลีเดินไปข้างหน้า มองถาดหยกแวบหนึ่ง “ให้ข้าเลือกได้ตามใจจริงหรือ?”
หยางเซียวชะโงกหน้ามาหานาง หัวเราะอย่างเบิกบาน “แน่นอน เจ้าชอบเส้นไหน?”
“ข้าเอาหมดเลย”
หยางเซียวตะลึงงัน พลันดีอกดีใจ “ได้เลยๆ เด็กๆ รีบส่งถั่วแดงเหล่านี้ไปที่ตำหนักขององค์หญิงฉางเล่อเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ต้องหรอก” ซูหลีแย้มยิ้ม แล้วสะบัดแขนเสื้อ สร้อยข้อมือแห่งความรักในถาดพลันลอยเหนืออากาศ
ทุกคนร้องด้วยความตกใจ ซูหลียังคงแย้มยิ้ม พลันดีดนิ้วมือเบาๆ ถั่วแดงร่วงกระจายเต็มพื้นดังไข่มุกหยก ซูหลีโบกสะบัดแขนเสื้อเริงระบำ หนีบเส้นไหมร้อยลูกปัดไว้กลางนิ้วมือ ก่อนจะหมุนกายลอยเหนืออากาศ แล้วขับเคลื่อนชี่แท้กลางฝ่ามือ เคลื่อนผ่านที่ใด ยอดต้นไม้เสียดสีดังสวบสาบ ใบไม้ปลิวว่อน เส้นไหมในมือซูหลีถูกใช้ต่างเข็มเหล็ก นางพลิกข้อมือร้อยใบไม้เข้าด้วยกัน แล้วทิ้งตัวลงพื้น พร้อมกับถือช่อดอกซิ่วฉิวอันงดงามที่ทำจากใบไม้ไว้ในมือ
หยางเซียวปรบมือหัวเราะเสียงดังลั่น “วิเศษมาก! ใช้กิ่งและใบเป็นสื่อกลาง เชื่อมต่อพรหมลิขิตเข้าด้วยกัน ดอกซิ่วฉิวที่ทำจากต้นพรหมลิขิต มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก!”
ซูหลีมองหลางฉ่างด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพี่ หากหม่อมฉันมอบดอกซิ่วฉิวในมือให้ผู้ใด ผู้นั้นก็จะเป็นสวามีของหม่อมฉันใช่หรือไม่?”
หลางฉ่างก้าวเท้ามาข้างหน้า กล่าวเสียงแผ่วเบา “เจ้าคิดดีแล้วจริงหรือ?”
ซูหลีทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า “เสด็จพี่ยังไม่พอใจอีกหรือ?”
“ข้าจะพอใจหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญคือเขาจริงใจหรือไม่ และเสด็จพ่อจะวางพระทัยได้หรือเปล่า!” หลางฉ่างจ้องหน้านาง สายตายังคงแฝงแววเป็นห่วง
ตงฟางเจ๋อก้าวเท้าเข้ามา “ซูซู! เจ้าอย่าลืมสิ่งที่ติดค้างข้าไว้เมื่อครู่เล่า”
ซูหลีแย้มยิ้ม โยนช่อซิ่วฉิวในมือ ช่อซิ่วฉิวที่ทำจากใบไม้ลอยเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ ตรงไปหาตงฟางเจ๋อ หยางเซียวเห็นเช่นนั้น ก็รีบพุ่งตัวเข้ามาแย่ง ครั้งนี้ตงฟางเจ๋อไม่ลังเลแม้แต่น้อย พลันสะบัดแขนเสื้อ ตวัดเอาช่อซิ่วฉิวเข้ามาในอ้อมแขน
คิ้วคมเข้มโก่งยิ้มด้วยความยินดี กอปรกับช่อซิ่วฉิวในมือ ยิ่งขับเน้นให้เขาดูงดงาม
หยางเซียวกระทืบเท้าร้องโวยวาย “โธ่เอ๊ย ปล่อยให้ท่านทำสำเร็จอีกจนได้!”
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงดัง “ข้ากับซูซูรักกัน ถึงแม้จะผ่านความยากลำบากมามาก แต่สุดท้ายก็มีใจมั่นคงต่อกัน ยามนี้มีต้นพรหมลิขิตเป็นสักขีพยาน และมีถั่วแห่งความรักเป็นสื่อกลาง ข้ากับซูซูจะอยู่เคียงคู่กันไปตลอดชีวิต ไม่ทอดทิ้งกัน! หากผิดคำสาบานต่อเทพเจ้า เกรงจะพบกับจุดจบที่ไม่ดี การหมั้นหมายครั้งนี้ ฮ่องเต้แคว้นติ้งโปรดทรงอวยพรด้วยเถิด!”
ซูหลีจ้องมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน กลีบปากเผยรอยยิ้มบางเบา
สายตาของฮ่องเต้แคว้นติ้งหม่นหมองลง ไม่ได้พูดอะไร
หลางฉ่างพลันคลี่ยิ้ม “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงได้รับซิ่วฉิวจากฉางเล่อ ตามประเพณีของแคว้นเรา การหมั้นหมายครั้งนี้ คงไม่มีประโยชน์ที่พวกข้าจะคัดค้านอีก”
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณองค์รัชทายาทที่อวยพร ภายหน้าในพิธีแต่งตั้งซูซูเป็นฮองเฮา ขอเชิญองค์รัชทายาทมาร่วมงานที่แคว้นเฉิงด้วย”
หลางฉ่างปรบมือ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ดี ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจริงใจถึงเพียงนี้ ข้าเองก็รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะมิใช่ราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อทรงหมายตา แต่เพื่อฉางเล่อ ท่านยอมเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ยอมแต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิงเพื่อเป็นราชบุตรเขย แสดงว่าคงมีจิตใจมั่นคง เช่นนั้น ข้ากับเสด็จพ่อย่อมไม่มีเหตุผลให้คัดค้าน”
“แต่งเข้าตระกูล?!”
ตงฟางเจ๋อได้ยินก็ตื่นตะลึง พลันหันหน้าไปมองซูหลีโดยสัญชาตญาณ
ซูหลีรีบกล่าวทันที “เสด็จพี่ เขาเป็นประมุขแห่งแคว้น จะแต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิงได้อย่างไร?”
หลางฉ่างกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อฮ่องเต้แคว้นเฉิงต้องการใช้ประเพณีของแคว้นเราเพื่อหมั้นหมาย เช่นนั้นประเพณีแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงจะเปลี่ยนแปลงได้เช่นไรกันเล่า? เมื่อการหมั้นหมายถูกกำหนดขึ้น แม้เสด็จพ่อจะเป็นฮ่องเต้ ก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย มิเช่นนั้นจะถูกเทพเจ้าลงโทษ ฮ่องเต้แคว้นเฉิง!” หลางฉ่างแย้มยิ้ม แล้วมองหน้าตงฟางเจ๋อ แววตามีแววเจ้าเล่ห์พาดผ่าน “ในเมื่อท่านต้องการทำตามประเพณีของแคว้นเรา ก็คงไม่ปฏิเสธที่จะแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงกระมัง?!”
แม้เป็นตงฟางเจ๋อผู้ที่ภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้าก็ยังไม่สะทกสะท้าน ยามนี้ก็ยังตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี พูดอะไรไม่ออก ย้อนนึกถึงก่อนหน้านี้ที่โม่อี้ฝานไม่กล้าสารภาพรัก เพียงเพราะมารดาเขากลัวว่าเขาจะแต่งงานเข้าตระกูลของอี้หนง เขาคิดว่าเป็นเพียงความเชื่อส่วนตัว นึกไม่ถึงว่าการแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง กลับเป็นประเพณีของแคว้นติ้ง!
ซูหลีหัวใจสั่นสะท้าน อดตะโกนไม่ได้ “เสด็จพี่!”
หลางฉ่างมองหน้านางนิ่งๆ กล่าวเสียงเบา “หรือฉางเล่อไม่อยากรู้ ว่าในใจเขา เจ้าสำคัญ หรืออำนาจและบ้านเมืองสำคัญกว่า?!”
ซูหลีตะลึงงัน อ้าปากค้าง แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ บ้านเมืองหรือหญิงงาม ตัวเลือกที่มีมาแต่สมัยโบราณกาล มักหนีไม่พ้นอำนาจอันน่าล่อใจ จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อหญิงที่ตนรัก?!
“ฮ่าๆๆ น่าสนใจๆ…” หยางเซียวพลันตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นมาชี้ตงฟางเจ๋อ แล้วเอ่ยพลางหัวเราะเสียงดัง “ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า หากท่านจะสู่ขออาหลี ก็ต้องสละบัลลังก์ แล้วมาเป็นราชบุตรเขยที่แคว้นติ้งน่ะสิ?”
ซูหลีถมึงตาจ้องเขา คิ้วขมวดเล็กน้อย หยางเซียวชะโงกใบหน้าเกลื่อนยิ้มเข้ามา “อาหลีน้อย ข้ายอมแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงอย่างเต็มอกเต็มใจ ขอเพียงเจ้ามีความสุข ถึงข้าไม่ได้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่เป็นไร! ถ้าอย่างไรเจ้าทำช่อซิ่วฉิวอีกอัน แล้วมอบให้ข้าดีหรือไม่”
ซูหลียิ้มระอา “อย่าล้อเล่น!”
หัวใจของตงฟางเจ๋อจมดิ่งสู่ก้นเหว ครั้นเงยหน้ามองหลางฉ่าง ก็เห็นเขาแย้มยิ้มเล็กน้อย สีหน้ายังคงอ่อนโยนสง่างามเช่นเดิม ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน สายตากลับมีแววคมปลาบพาดผ่าน องค์รัชทายาทผู้ที่ดูอ่อนโยนสง่างามดั่งหยกล้ำค่าผู้นี้ แท้จริงแล้วความคิดลึกล้ำ เกรงว่านับตั้งแต่ก้าวแรกที่ตงฟางเจ๋อก้าวเข้ามาในอาณาเขตแคว้นติ้ง ก็ได้ตกอยู่ในแผนการของคนผู้นี้แล้ว หลางฉ่างร่วมมือกับหยางเซียวขัดขวางเขาทุกวิถีทาง เพราะไม่อยากให้เขาพาซูหลีไป!
“องค์รัชทายาทคำนวณได้ยอดเยี่ยม” ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็น “ข้าน่าจะรู้แต่แรกแล้ว หากไม่มีองค์รัชทายาทคอยช่วย อาศัยหยางเซียวคนเดียว จะสามารถควบคุมการค้าขายในเมืองหลวงแคว้นติ้งทั้งหมดได้เช่นไร…ถือว่าองค์รัชทายาททุ่มเทไม่น้อย! ดูแล้ว เหมือนประเพณีนี้สร้างขึ้นมาเพื่อข้าเป็นพิเศษ”
หลางฉ่างกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “ประเพณีก็คือประเพณี ชาวติ้งเราล้วนทำตามกันทุกคน มิใช่เรื่องที่ข้าจะสามารถกำหนดขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ฮ่องเต้แคว้นเฉิงกล่าวเองว่าจะกำหนดเรื่องหมั้นหมายตามประเพณี พวกข้าย่อมไม่อาจคัดค้าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงโปรดรักษาสัญญาด้วย แน่นอน หากท่านนึกเสียใจตอนนี้ เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างสองแคว้น ข้าย่อมไม่บีบบังคับท่าน ฉางเล่องามทั้งภายนอกและภายใน คุณสมบัติโดดเด่น ไม่ต้องห่วงว่าจะหาสวามีที่ดีไม่ได้”
หยางเซียวรีบกล่าว “เยี่ยม เลือกข้าเถิด เพื่ออาหลีน้อย ข้ายอมแต่งเข้ามาเป็นราชบุตเขย”
ระหว่างพูด เขาเดินเข้ามากุมมืออาหลี แล้วหันไปกล่าวกับฮ่องเต้แคว้นติ้งอย่างเบิกบานใจ “ฝ่าบาท ข้ายินยอมแต่งเป็นราชบุตรเขย รับประกันว่าภายหน้าจะทำให้ฉางเล่อมีความสุขทุกวัน อิ่มหนำสำราญ สามปีให้กำเนิดบุตร ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”
ซูหลีเห็นเขาพูดจาไร้สาระด้วยสีหน้าจริงจัง ทั้งรู้สึกขำระคนโมโห สะบัดมือเขาทิ้ง แล้วต่อว่า “หยุดพูดเล่นได้แล้ว”
หลางฉ่างยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกล่าวด้วยความจริงใจ เขาก็เป็นประมุขแห่งแคว้นเช่นกัน ไม่เหมือนคนบางคน ห่วงหน้าพะวงหลัง”
ใบหน้าซูหลีตึงเครียดเล็กน้อย “เสด็จพี่! เรื่องนี้จะทำเป็นเล่นไม่ได้นะเพคะ!”
หลางฉ่างมองซูหลี “แน่นอนว่าไม่ได้ เพียงแต่ยามนี้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงนึกเสียใจ ที่ทำการหมั้นหมาย…”
“ใครบอกว่าข้าเสียใจกัน?!” ตงฟางเจ๋อตัดบทเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บนโลกใบนี้มีข้าตงฟางเจ๋อเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่สู่ขอซูหลีได้ ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าขวางข้า ข้าไม่มีทางปล่อยไปแน่!”
หลางฉ่างหน้าเปลี่ยนสี “หากฮ่องเต้แคว้นเฉิงต้องการใช้กำลังชิงตัว แคว้นติ้งของเราจะขอสู้จนสุดตัว!”
……………………….