กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 478 ฮ่องเต้หญิง พวกเราแต่งงานกันเถิด (14)
ครั้นเห็นทั้งสองคนกล่าววาจากระทบกระทั่ง คล้ายกำลังจะแตกหักกัน ซูหลีพลันร้อนใจ หมายจะไกล่เกลี่ย แต่กลับได้ยินฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวเสียงดังว่า “พอได้แล้ว! ฮ่องเต้แคว้นเฉิง ท่านเดินทางมาไกลเพื่อมาสู่ขอ กลับไม่ยอมทำตามกฎเกณฑ์ของแคว้นติ้งเรา หมายความว่าเช่นไรกัน? ฉางเล่อเป็นองค์หญิงของข้า นางอยากแต่งงานกับท่านทั้งใจ ข้าผู้เป็นบิดา ย่อมไม่อาจขัดความปรารถนาของนาง แต่หากท่านไม่อาจแต่งเข้าตระกูลเรา การหมั้นหมายครั้งนี้ก็ไม่อาจได้รับคำอวยพรจากเทพเจ้า ย่อมต้องถือเป็นโมฆะ!”
ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งใจ ผงะถอยหลังหนึ่งก้าว
หยางเซียวรีบก้าวขึ้นมาค้อมกายคารวะอย่างจริงจัง “ฝ่าบาท ยามนั้นตอนที่เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนใกล้จะถูกตีพ่าย อาหลีเคยขอให้ข้าละทิ้งทุกสิ่ง และท่องยุทธภพไปกับนาง ร่วมใช้ชีวิตที่เหลือไปด้วยกัน ประโยคนี้ ข้าไม่เคยลืมเลยสักครั้ง” เขาหันไปมองซูหลี สายตาหนักแน่นจริงจัง ราวกับหัวใจอันร้อนรุ่มและเยาว์วัยดวงนั้น ยังเต็มไปด้วยเงาร่างของนางทั้งหัวใจ
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ พูดอะไรไม่ออก
หยางเซียวยิ้มพลางกล่าวว่า “ตอนนั้นเจ้าขอให้ข้าละทิ้งทุกอย่าง ข้าทำไม่ได้ ตอนนี้ ข้าหวังว่าข้าจะมีโอกาสอีกครั้ง ถ้าหากให้ข้าเลือก ข้าต้องการเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
หัวใจของตงฟางเจ๋อบีบรัด เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านรู้ดีว่านางจะไม่แต่งงานกับท่าน แต่กลับประกาศสละบัลลังก์อย่างง่ายดาย วาจานี้หากลือไปถึงแคว้นเปี้ยน ไม่รู้ว่าเหล่าขุนนางและชาวบ้านจะคิดเช่นไร?”
หยางเซียวแค่นหัวเราะ “หากมัวกลัวเกรงทุกสิ่งทุกอย่าง จะเข้าใจได้อย่างไรว่าอะไรที่สำคัญที่สุด? คนอื่นจะมองเช่นไรข้าไม่สนใจ ข้ารู้เพียงเรื่องเดียว เมื่อเอ่ยคำสาบานกับสตรีในดวงใจแล้ว ก็ต้องทำให้ได้!”
รอยยิ้มของหยางเซียวเย้ยหยันสุดแสน ไฟโทสะลุกท่วมใจตงฟางเจ๋อ เขากล่าวเสียงเย็นชา “ชีวิตนี้ข้าเคยสาบานกับคนแค่คนเดียวเท่านั้น ข้าจะไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ และจะไม่มีทางปล่อยซูซูไปเด็ดขาด!”
“บนโลกใบนี้ไม่อาจสมปรารถนาพร้อมกันได้ทุกเรื่องหรอกนะ” หยางเซียวยิ้มเย็นชายิ่งขึ้น “ในเมื่อท่านพูดเองว่าจะไม่ยอมปล่อยนางไป เหตุใดจึงไม่อาจสละบัลลังก์ แล้วอยู่แคว้นติ้งได้เล่า? ความจริงแล้ว สำหรับท่าน นางสำคัญไม่เท่าอำนาจและบัลลังก์สินะ!”
ตงฟางเจ๋อหน้าดำคร่ำเครียด สายตากลับไม่ละออกจากใบหน้าซูหลีแม้แต่วินาทีเดียว เขากำลังรอ รอคำตอบจากนาง คนอื่นจะคิดอย่างไรเขาไม่สนใจ มีเพียงนางในดวงใจเท่านั้น ที่สามารถตัดสินชะตาชีวิตของเขาได้
มือที่กำหมัดแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อของซูหลี เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้ผ่านไปเนิ่นนาน นางก็ยังจำได้ดี ในพิธีท่านหญิงคัดเลือกพระสวามี แนวทาง ‘ปกครองครอบครัวให้ดีแล้วจึงปกครองแผ่นดิน’ ของตงฟางเจ๋อ สะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์และความทะเยอทะยานของบุรุษผู้นี้อย่างชัดเจน แล้วในที่สุดเขาก็เดินมาถึงจุดนี้ ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ซึ่งเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การครองโลกทั้งใบ! คำสาบานที่เขาเคยเอ่ยต่อหน้าหลุมศพพระสนมกุ้ยเฟย เขาจะยอมละทิ้งมันไปง่ายๆ อย่างนี้หรือ? ยอมทอดทิ้งอุดมการณ์ในชีวิต และใช้ชีวิตที่เหลือไปกับสตรีอันเป็นที่รักในต่างถิ่น? ไม่ นั่นไม่ใช่ตงฟางเจ๋อ
ซูหลีถอนหายใจ หมายจะเอ่ยปาก แต่กลับได้ยินฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวเสียงเย็น “ในเมื่อท่านทิ้งบ้านเมืองและบัลลังก์ไม่ได้ การหมั้นหมายครั้งนี้ก็ถือเป็นโมฆะ นับแต่นี้อย่าได้พูดถึงอีก ฉางเล่อของข้า จะแต่งงานกับบุรุษที่รักนางที่สุดเท่านั้น ในเมื่อท่านไม่ใช่สวามีของนาง ก็เชิญกลับไปเถิด!”
“ช้าก่อน!”
ตงฟางเจ๋อเงยหน้ามองทุกคน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หากข้ายอมสละบัลลังก์ ฮ่องเต้แคว้นติ้งก็จะไม่ขัดขวางการหมั้นหมายครั้งนี้แล้วใช่หรือไม่?”
ซูหลีมองเขาด้วยสายตาตกตะลึง ยามนี้ในสายตาเขา กลับไม่มีแววดิ้นรนขัดขืน หรือสับสนลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เหลือเพียงแววตากระจ่างชัดเท่านั้น
หลางฉ่างกับหยางเซียวสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะร้องถามขึ้นพร้อมกัน “ท่านจะสละบัลลังก์จริงหรือ?”
ตงฟางเจ๋อเดินตรงไปหยุดตรงหน้าฮ่องเต้แคว้นติ้ง แล้วกล่าวเสียงจริงจังว่า “หากข้าประกาศสละบัลลังก์ ก็จะไม่มีผู้ใดมาขัดขวางการแต่งงานครั้งนี้แล้วใช่หรือไม่?”
สายตาของฮ่องเต้แคว้นติ้งไหวระริก เขาพยักหน้าตอบว่า “ถูกต้อง!”
“ได้! เอากระดาษกับพู่กันมาให้ข้า!” ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงดังฟังชัด รอยยิ้มที่แทบสังเกตไม่เห็นพาดผ่านกลีบปากเขา
“ฝ่าบาท!” เซิ่งฉินตกใจหน้าถอดสี รีบพุ่งตัวไปตรงหน้าตงฟางเจ๋อ เกลี้ยกล่อมด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง! กระหม่อมทราบว่าพระองค์ทรงรักองค์หญิงมาก แต่การสละบัลลังก์เป็นเรื่องใหญ่ จะวู่วามไม่ได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเจ๋อตวาดเสียงเกรี้ยว “ถอยไป! ข้ารู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่!”
หยางเซียวรีบหยิบกระดาษกับพู่กันมาวางบนโต๊ะ แล้วกล่าวว่า “ใช่ นายของเจ้าจะสละบัลลังก์ เจ้าจะวุ่นวายทำไม มา พู่กันกับน้ำหมึกล้วนเตรียมพร้อมให้แล้ว ตงฟางเจ๋อ ดูเอาไว้เสียว่าข้าดีกับท่านเพียงใด!”
ตงฟางเจ๋อไม่สนใจเขา เพียงรับพู่กันมา ซูหลีตกตะลึง เดินเข้าไปกุมมือใหญ่ แล้วจ้องหน้าเขานิ่งๆ “เจ๋อ…”
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย “ทำไมหรือ เจ้ากับข้าจะได้อยู่เคียงกันอย่างถูกครรลองคลองธรรมแล้ว เหตุใดซูซูกลับดูเป็นกังวลนักเล่า?”
หลางฉ่างเดินเข้ามารั้งซูหลี “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงตัดสินใจแล้ว ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนใจเขาได้ น้องหญิงสมควรดีใจจึงจะถูก”
ซูหลีถอยหลังไปอย่างเหม่อลอย แม้จะสงสัยอีกเพียงใด แต่เพราะฮ่องเต้แคว้นติ้งอยู่ตรงหน้า จึงจำต้องสำรวมกิริยา
ตงฟางเจ๋อตวัดพู่กันเขียนอย่างรวดเร็ว ไม่นานพระราชโองการก็ถูกเขียนขึ้น เขาโยนพู่กันทิ้ง แล้วส่งพระราชโองการให้เซิ่งฉิน “ประกาศเถิด”
เซิ่งฉินหน้าซีดขาวราวแผ่นกระดาษ ข่มกลั้นน้ำตาแล้วรับพระราชโองการ ก่อนจะกางออกแล้วประกาศ
“ด้วยโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้จึงมีพระบัญชา นับตั้งแต่ข้าขึ้นครองราชย์ บ้านเมืองสันติ แว่นแคว้นสงบสุข นับแต่โบราณมีการเลือกผู้มีคุณสมบัติเพื่อสืบทอดบัลลังก์ ตามตำนานการสละบัลลังก์ของสองกษัตริย์เหยาและซุ่น[1] ข้ายินดีที่จะทำตามแบบอย่างอันดีงาม สละบัลลังก์ให้แก่กษัตริย์ผู้มีคุณธรรม ยามนี้มีสตรีนามว่าซูหลี พร้อมทั้งคุณงามความดีและความสามารถ ใต้ฟ้าไร้ผู้ใดเทียม วันนี้ขอให้นางจงสืบต่อบัลลังก์แห่งแคว้นเฉิง แตกกิ่งก้านสาขาให้แคว้นเฉิงอันยิ่งใหญ่ของเรา และรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง”
ครั้นอ่านพระราชโองการจบ ทุกคนพลันนิ่งงันเป็นตอไม้ สายตาจับจ้องไปที่ตงฟางเจ๋อ ภายในวัดเงียบสงัดไร้สรรพเสียง
หยางเซียวอ้าปากค้าง คล้ายไม่อยากเชื่อหูตนเอง เขาชี้ตงฟางเจ๋อ แล้วชี้ไปที่ซูหลี “เจ้าจะสละบัลลังก์…ให้อาหลี?!”
ตงฟางเจ๋อแค่นเสียง กระดกคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยท่าทางผ่อนคลาย “ทำไมจะไม่ได้เล่า? เมื่อครู่ตกลงกันแล้วว่าขอเพียงข้าประกาศสละบัลลังก์ ฮ่องเต้แคว้นติ้งก็จะยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ ยามนี้พระราชโองการก็ประกาศไปแล้ว ซูซูสืบทอดบัลลังก์ นางเป็นประมุขแห่งแคว้นเฉิง ตามหลักย่อมต้องเดินทางกลับวังเพื่อขึ้นเป็นฮ่องเต้ทันที”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลางฉ่างทอดถอนใจ “ตงฟางเจ๋อ ท่านช่างร้ายกาจยิ่งนัก!”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวด้วยความตกใจ “ตงฟางเจ๋อ! เรื่องบัลลังก์ไม่อาจทำเป็นเล่น! ท่านจะสละบัลลังก์ให้ฉางเล่อจริงหรือ?!”
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “พระราชโองการถูกประกาศไปแล้ว จะเป็นเรื่องเล่นได้เช่นไรกัน? ฮ่องเต้แคว้นติ้งไม่จำเป็นต้องเคลือบแคลง นับตั้งแต่วันนี้ ซูซูคือฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิงของเรา”
เขาค่อยๆ เดินไปหาซูหลี กุมมือนาง แล้วกระซิบข้างหูนางเบาๆ “ฝ่าบาท นับตั้งแต่นี้ พระองค์ไม่มีเหตุผลที่จะไปจากข้าอีกแล้ว”
หัวใจของซูหลีสั่นไหว นางเงยหน้ามองตงฟางเจ๋อยิ้มๆ “ท่านวางใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ไม่กลัวว่าภายหน้าข้าจะคิดไม่ซื่อ แล้วนำพาแคว้นเฉิงไปสู่ความลำบากหรือ?”
“ไม่มีทาง” ตงฟางเจ๋อหัวเราะเบาๆ “ฮ่องเต้ที่ข้าเลือก ไม่ใช่สตรีธรรมดา นางไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง ยิ่งไปกว่านั้นมีข้าคอยช่วยเหลืออย่างซื่อสัตย์อยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีก?”
ขอบตาซูหลีร้อนผ่าว “ท่าน เชื่อข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ตงฟางเจ๋อรั้งนางเข้าไปกอด “บนโลกใบนี้ข้าจะไม่เชื่อใครก็ได้ เว้นเพียงเจ้า ถึงแม้เบื้องหน้าจะมีภูเขาดาบทะเลเพลิง ข้าก็ไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้อีกแล้ว”
น้ำตาอุ่นๆ ไหลรินออกจากขอบตา ซูหลีกอดตอบเขาแน่นๆ
หลางฉ่างมองหน้าฮ่องเต้แคว้นติ้ง “เสด็จพ่อวางพระทัยแล้วหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งแหงนหน้ามองฟ้า แล้วถอนหายใจเบาๆ “ชะตาฟ้าลิขิต ข้าจะฝ่าฝืนได้เช่นไรเล่า? เตรียมพิธีอภิเษกสมรสให้พวกเขาเถิด”
หลางฉ่างยิ้มแล้วกล่าวว่า “ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“เคลื่อนขบวนกลับวัง”
ทุกคนรีบเดินไปส่งฮ่องเต้แคว้นติ้งกลับวัง หลางฉ่างเดินมาหยุดตรงหน้าตงฟางเจ๋อ มองหน้าเขาอย่างจริงจัง “ฉางเล่อเป็นคนที่สำคัญที่สุดในใจข้า หากภายหน้าท่านทำผิดต่อนาง…”
“วางใจเถิด!” ตงฟางเจ๋อเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่เปิดโอกาสให้ท่านมาคิดบัญชีแน่นอน”
ซูหลีหัวเราะเบาๆ หลางฉ่างส่ายหน้าอย่างจนใจ “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เขาตบหลังซูหลีเบาๆ “จำเอาไว้ว่าที่นี่คือบ้านของเจ้าเสมอ”
ซูหลีกล่าว “ขอบพระทัยเสด็จพี่ ซูหลีมีบ้านหลังนี้ เป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนี้แล้ว ไม่กล้าลืมเลือนแน่นอนเพคะ”
“มีเวลาว่างก็กลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เล่า” หลางฉ่างยิ้ม แล้วเดินจากไป
หยางเซียวเบะปาก “โธ่เอ๊ย ข้าไม่มีหวังแล้วสินะ”
ซูหลีอดหัวเราะไม่ได้ “ท่านยังเล่นไม่พออีกหรือ?!”
หยางเซียวกล่าวอย่างเบิกบาน “อาหลีน้อย ข้าทำให้เจ้าได้เป็นถึงฮ่องเต้ ถือเป็นผลงานชั้นเยี่ยมเลยใช่ไหม?! งานแต่งต้องเชิญข้าไปดื่มสุรามงคลด้วยเล่า!”
ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค เงาร่างสีแดงเพลิงก็หายลับไปนอกลานวัดแล้ว
ซูหลีถอนหายใจ ตงฟางเจ๋อประคองหน้านาง แล้วจุมพิตกลีบปากนางเบาๆ “ฝ่าบาท แต่งงานคืนนี้เลยเป็นอย่างไร? อย่าปล่อยให้ฤกษ์งามยามดีเช่นนี้เสียเปล่าเลย!”
ซูหลีผลักเขาออก “ฟังดูประหลาดนัก ไม่อนุญาตให้เรียกเช่นนั้น!”
เขากระคิกคิ้วคมเข้ม “เจ้าเห็นพระราชโองการของข้าเป็นเรื่องเล่นๆ หรือ?”
“ข้าไม่สน ข้าไม่ได้อยากเป็นฮ่องเต้อะไรทั้งนั้น!”
“ได้ เจ้าไม่สนแต่ข้าสน เอาอย่างนี้ คืนนี้ร่วมหอกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยจัดพิธีอภิเษกสมรส…ถ้าเช่นนั้น ข้าอาจพิจารณารับหน้าที่ฮ่องเต้แทนเจ้า…”
“พูดอะไรของท่าน!” ซูหลีผลักเขาพร้อมรอยยิ้ม เขากลับกุมมือนางอีกครั้ง “เจ้ายังจำได้หรือไม่ มีคืนหนึ่งที่พวกเราดูดาวบนหลังคาตำหนักต้องห้าม?”
ซูหลีตะลึงงัน “ท่านจำได้หรือ?”
“ข้าจะลืมได้อย่างไร?” ตงฟางเจ๋อมองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง “อยากดูอีกครั้งหรือไม่?”
ซูหลีอึ้ง “ตอนนี้? กลางวันแสกๆ…”
ตงฟางเจ๋อรั้งเอวบางเข้าไปกอด แล้วพาร่างกายลอยเหนืออากาศ กระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้ ต้นไม้ใหญ่อุดมไปด้วยกิ่งก้านสาขามากมาย สูงชะลูดฟ้า ด้านบนมองเห็นท้องฟ้า ด้านล่างมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของเมืองหลวงแคว้นติ้งได้ทั่วทุกมุม ซูหลีอดอุทานด้วยความตกตะลึงไม่ได้ “งามนัก!”
เขารั้งนางเข้าไปในอ้อมแขน ลูบพวงแก้มนางเบาๆ “วาระดีทิวทัศน์ก็งาม เป็นเช่นไรบ้าง?”
ซูหลียิ้มบาง “ดวงดาวเล่า?”
“เจ้าจะเอาดวงดาว ข้าย่อมให้เจ้าได้” เขาจุมพิตข้างกลีบปากนางเบาๆ
ซูหลีกลั้นยิ้ม เบือนหน้าหนี “ไหนเล่า?”
“ชู่ว…” เขาก้มหน้า มือข้างหนึ่งรั้งต้นคอนางไว้ ประทับจูบแรงกว่าเดิม นางหลับตาเบาๆ ตอบรับความรักอันลึกซึ้งของเขา
ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ดวงดาวนับพันระยิบระยับอยู่บนผืนฟ้า
ตะวันจันทราและดวงดาราไม่มีวันเก่า รักแท้ในโลกมนุษย์จะยังคงอยู่ตลอดกาล
………………………….