กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 100 หวยจินได้โปรดเคารพตัวเองด้วย
กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 100 หวยจินได้โปรดเคารพตัวเองด้วย
“เพราะทหารเว่ยสำรวจหุบเขา หลังจากพบข้าก็ส่งไปให้หวาหรงเจี่ยนกับชวนผิง พวกเขาก็พาข้ามาถึงที่นี่” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
คำพูดเรียบง่าย ทว่าซ่งชูอีกลับสัมผัสได้ถึงความหมายที่แฝงอยู่มากมาย “พวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีรึ?”
เจ้าอี่โหลวพึมพำกับตัวเอง “ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี เพียงแต่ข้าพยายามหลบหนีระหว่างทาง จึงเกิดความขัดแย้งกับพวกเขาเล็กน้อย”
“เจ้าคิดจะทำเยี่ยงไรต่อ?” ซ่งชูอีกระซิบถาม
เจ้าอี่โหลวพลิกตัวกลับมา หันหน้าเข้าหานาง “เจ้าอยู่กับข้าที่รัฐเจ้ามิได้หรือ? พวกเขาบอกว่าหากข้าเป็นเจ้าจวินแล้ว สามารถนมัสการสุสานของพระบิดาได้ พวกเขากล่าวว่าสุสานของพระมารดาข้าก็อยู่ที่นั่น…”
แววตาที่เปี่ยมด้วยความหวังของเขาจ้องมองไปที่ซ่งชูอีโดยตรง ทำให้นางเกือบพยักหน้ารับปากแล้ว ทว่าในที่สุดความมีเหตุและผลก็มีชัยชนะเหนือกว่า “ทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำเถิด ข้าก็มีเรื่องที่ข้าอยากทำ บัดนี้ข้าได้เลือกจุดหมายปลายทางแล้ว”
เจ้าอี่โหลวจ้องมองซ่งชูอีครู่หนึ่ง จากนั้นก็พลิกตัวพรึบ หันหลังให้นางอีกครั้ง
“อี่โหลว องค์ชายฟ่านเป็นกบฏ แม้เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย ทว่าหากล้มเหลวเจ้าจะเป็นคนแรกที่ถูกสังหาร เจ้าเข้าใจหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ย
เจ้าอี่โหลวหลับตาลง ในสมองมีแต่รอยยิ้มอ่อนโยนของผู้เป็นมารดา ก่อนตกอับ ชีวิตของเจ้าอี่โหลวนั้นร่ำรวยและสวยงาม มีสถานะเป็นองค์ชายแห่งรัฐ สามารถได้รับความรักจากบิดาและมารดาในเวลาเดียวกัน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความอุตสาหะของมารดาเขา
แม้นในขณะนั้นเขายังเด็ก ทว่าใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องความเกลียดชังในครอบครัวอวี้โหวรวมถึงการแก่งแย่งชิงดีในวังหลวง พระมารดาในฐานะที่เป็นคนโปรดมิอาจอยู่ได้เพราะรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว
พระมารดายอมสละชีพจนเพื่อเขา เขาจะลืมได้เยี่ยงไร?
ซ่งชูอีมองเส้นผมดุจผ้าซาตินสีดำของเขาที่กระจัดกระจายอยู่บนหมอน ครุ่นคิดครู่หนึ่ง หากเลือกที่จะอยู่ในรัฐเจ้า นางจำต้องเริ่มนับแต่บัดนี้ ช่วยเขาวางแผนในการโจมตีหวังเฉิง ช่วงชิงบัลลังค์ อีกทั้งต้องฉวยโอกาสกุมอำนาจอธิปไตยทันที จากนั้นก็ค่อยๆ กำจัดภัยคุกคามสามฝ่ายซึ่งก็คือสกุลอู่ สกุลหวาและองค์ชายฟ่าน
ความวุ่นวายของกองกำลังภายในนั้น บางคราวจัดการได้ยากกว่าความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐเสียอีก นี่คือกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก อาจต้องใช้เวลาสิบปี ยี่สิบปี หรือแม้กระทั่งชั่วชีวิต หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าทฤษฎีการโค่นรัฐของนางจะไม่มีโอกาสได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ
รัฐฉินเป็นสิ่งที่นางเลือกหลังจากการวิเคราะห์รอบด้าน แม้นรัฐฉินจะเกิดความวุ่ยวายในอนาคต ทว่าอิ๋งซื่อมีอำนาจอธิปไตยอยู่ในมือแล้ว อีกทั้งยังเป็นท่านจวินที่สามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด ความเด็ดขาดของเขาจะระงับและขจัดความวุ่นวายได้อย่างรวดเร็ว
หากเลือกที่อยู่ช่วยเจ้าอี่โหลวในรัฐเจ้า นางก็ต้องละทิ้งข้อตกลงสามปีที่มีให้กับจี๋อวี่ ละทิ้งข้อตกลงสามปีให้หลังที่มีต่ออิ๋งซื่อ ไม่มีเวลาแก้แค้นหมิ่นฉือ และยังต้องละทิ้งอุดมการณ์ของตัวเองจนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
นางทำไม่ได้
ซ่งชูอีทอดถอนใจ แม้นนางจะรู้สึกเสียใจในใจ แม้จะรู้เป็นอย่างดีว่าหากเจ้าอี่โหลวเลือกที่จะอยู่ในรัฐเจ้าก็อาจจะถูกสังหารได้ทุกเมื่อ แต่นางก็ไม่สามารถใช้วิธีรุนแรงเพื่อบีบบังคับหรือหลอกล่อให้เขาจากมา
เนื่องจากเป็นสหาย ฉะนั้นนางจึงเคารพเขามากพอสำหรับเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางเพียงแต่ชี้ให้เขาเห็นถึงอันตราย ให้เขาได้ไตร่ตรองด้วยตนเอง
เจ้าอี่โหลวไม่ใช่คนที่ไร้ความคิด ซ่งชูอีเชื่อว่าเขาจะสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าอี่โหลวจึงกล่าวขึ้น “เจ้าวางแผนจะไปที่ใด?”
“ฉิน” ซ่งชูอีไม่ปิดบัง
ภายในกระโจมเงียบสงัดลง สามารถได้ยินเสียงลมด้านนอกอย่างชัดเจน
ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซ่งชูอีก็ผล็อยหลับไป
หิมะด้านนอกยิ่งตกหนักขึ้นทุกที ราวกับว่ามันได้ใช้พลังงานทั้งหมดที่มีก่อนที่ความรุ่งโรจน์แห่งฤดูหนาวจะสิ้นสุดลง ฝังกระโจมเกือบครึ่งหนึ่งภายในวันเดียว
ขณะที่ซ่งชูอีรู้สึกตัวเล็กน้อย พบว่าตนกำลังกอดบางสิ่งที่แข็งแกร่งและอบอุ่นอยู่ในอ้อมแขน อดไม่ได้ที่จะยื่นมือลูบๆ คลำๆ
“อย่าลูบคลำส่งเดช!” เสียงโมโหของเจ้าอี่โหลวดังขึ้นเหนือศีรษะ
“เจ้าแข็งแรงขึ้นไม่น้อยเลย” ซ่งชูอีคิด เอื้อมมือไปแตะเป้าของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว จุ๊ๆ ปาก “โตขึ้นไม่เบาเลย!”
เจ้าอี่โหลวผลักนางออกไปด้วยใบหน้าและหูที่แดงก่ำ ลุกขึ้นมาจัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย
“ซ่งหวยจิน เจ้าหัดเคารพตัวเองบ้าง!” เจ้าอี่โหลวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยด้วยสีหน้ามืดมน
ซ่งชูอีรู้สึกขบขันเมื่อเห็นท่าทางที่ทั้งเขินและทั้งรำคาญของเขา อดยิ้มกว้างหัวเราะมิได้ “พูดได้ดี หากข้าไม่เคารพในตัวเอง เจ้าจะยังสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างบริสุทธิ์อีกหรือ?”
“อันธพาล!” เจ้าอี่โหลวด่าอย่างดูแคลน ผูกเสื้อตัวนอกเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไป
ไป๋เริ่นตามออกไปอย่างโจ่งแจ้ง แสดงให้เห็นว่าบัดนี้มันได้ละทิ้งซ่งชูอีแล้ว
ความสุขได้หายไปและกลับคืนมาอีกครั้ง ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ ซุกศีรษะแล้วกลับไปนอนต่อ
บัดนี้ลมหิมะข้างนอกสงบลงแล้ว หิมะทอแสงเจิดจ้า
หลังจากไป๋เริ่นกินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญ ก็กระโจนขึ้นเตียงด้วยความเปรมปรีย์ วิ่งเข้าไปเหยียบย่ำอยู่บนร่างของซ่งชูอีแล้ววิ่งข้ามไปเสียงดังปังปังปัง ทิ้งรอยเท้ามันเลื่อมอยู่บนผ้านวมสะอาดสะอ้าน ยืนมองอยู่ใต้เตียงครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่ไหวติง ก็กระโจนขึ้นเตียงอีกครั้ง ใช้ใบหน้าและปากที่กินจนมันเยิ้มถูไถศีรษะของซ่งชูอี
“ไป๋เริ่น!” ซ่งชูอีคำราม
ไป๋เริ่นกระโจนลงข้างล่างทันที นอนอยู่ข้างเจ้าอี่โหลวอย่างว่าง่าย ปล่อยให้เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเปียกเช็ดปากให้มัน
ซ่งชูอีเดินออกมาด้วยเนื้อตัวยุ่งเหยิง เมื่อเห็นฉากที่อบอุ่นกลมเกลียวเช่นนี้ ก็ไม่ต้องการรบกวนพวกเขา หลังจากนำน้ำจากข้างกระโจมไปล้างหน้าล้างตาแล้ว เห็นว่ามีอาหารอยู่บนโต๊ะ ก็นั่งลงทานอาหารโดยไม่ต้องให้ผู้อื่นเชิญ
“หวยจิน หลังจากเจ้าทานอาหารเช้าแล้วสอนข้าเดินหมากเถิด?” เจ้าอี่โหลวกล่าว
ซ่งชูอีเคี้ยวกีบหมู พลางชายตามองเขา “เวลานี้จึงนึกถึงข้ารึ เหตุใดไม่ให้ไป๋เริ่นสอนเจ้าเล่า!”
เจ้าอี่โหลวพ่นลมหายใจเย็นชา ตัดสินใจที่จะฝึกฝนด้วยตนเอง หกเจ็ดปีก่อนเขาก็ยังเดินหมากคนเดียวได้ เพียงแต่เวลาผ่านไปนานจึงลืมไปเสียส่วนใหญ่ หากได้คลำๆ สักหน่อยไม่แน่ว่าอาจเอามันกลับคืนมาได้
ซ่งชูอีเคี้ยวกีบหมูครึ่งหนึ่ง พลางเช็ดมือ พลางแบกพุงยื่นๆ นั่งลงตรงข้ามเจ้าอี่โหลว ชี้แนะคำสองคำเป็นครั้งคราว
อาจเป็นเพราะเจ้าอี่โหลวมีพื้นฐานอยู่แล้ว จึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซ่งชูอีเห็นดังนี้ก็รู้สึกกระปรี้ประเปร่า เริ่มสอนเขาอย่างจริงจัง
“องค์ชาย” เสียงของชวนผิงดังมาจากด้านนอก
“เข้ามา” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
ชวนผิงเลิกม่านเดินเข้ามา เมื่อเห็นฉากนี้ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ครึ่งเดือนมานี้เจ้าอี่โหลวรักษาท่าทีระแวดระวังตัวมาโดยตลอด มักจะซ่อนตัวเองในมุมที่ผู้อื่นมองไม่เห็นในสถานการณ์ส่วนใหญ่ ไม่เคยปรากฏตัวเว้นแต่จำเป็นเท่านั้น ยิ่งไม่มีทางนั่งเล่นหมากรุกอยู่ตรงนี้
ซ่งชูอีเห็นว่าเจ้าอี่โหลวไม่มีท่าทีจะสนใจเขา จึงประสานมือคารวะ ยิ้มเอ่ยน้อยๆ “ท่านชวนเชิญนั่ง”
ชวนผิงเหลือบตามองเจ้าอี่โหลว เห็นว่าเขาไม่คิดที่จะถามกระไร จึงคารวะกลับแล้วนั่งลง
ซ่งชูอีเห็นว่าชวนผิงไม่พูดจา จึงรู้ว่าเขาต้องการคุยเรื่องสำคัญโดยไม่มีนาง “อี่โหลว ไป๋เริ่นไม่ชอบอยู่ในห้องนานๆ ข้าจะพามันออกไปเดินเล่นก่อน”
ทันทีที่ซ่งชูอีลุกขึ้น ก็ถูกเจ้าอี่โหลวคว้าแขนไว้
“ไปด้วยกัน” เขามองนางพร้อมเอ่ย
ชวนผิงเห็นเช่นนี้ก็รีบเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นท่านซ่งนั่งลงสักครู่ รอให้ข้าน้อยคุยกับองค์ชายเสร็จแล้ว ค่อยไปเดินเล่นดีหรือไม่?”
ภารกิจของชวนผิงก็คือการทำให้เจ้าอี่โหลวโปรดปรานและไว้วางใจ แม้ว่าเขาจะสามารถเป็นจวินองค์ต่อไปของรัฐเจ้าก็เป็นได้เพียงหุ่นเชิด ทว่าเมื่อมีองค์จวินอยู่ สำหรับสกุลอู่และสกุลหวาแล้ว ผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากอำนาจอธิปไตยได้อย่างเต็มที่ก็จะสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้ ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไร เป้าหมายแรกของเขาก็คือการได้รับความไว้วางใจจากเจ้าอี่โหลว
……………………………..