กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 104 ท่านอ้วนช่างงดงามจริงๆ
กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 104 ท่านอ้วนช่างงดงามจริงๆ
ตั้งแต่วันที่เถ้าแก่ร้านผ้าคนนั้นเปิดโปงเพศของซ่งชูอี จี้ฮ่วนก็มิเคยสงสัยเลย ทว่ายิ่งได้คลุกคลีกับนางมากขึ้นยิ่งรู้สึกว่าแม้นนางจะมีความอ่อนโยนอยู่บ้าง ทว่าอารมณ์นี้มิใช่สิ่งที่สตรีควรมี!
ซ่งชูอีไม่รู้ความคิดในหัวของจี้ฮ่วน แต่ก็ยังลอบดีใจ ยาของซิงโส่วมีประสิทธิภาพจริงๆ แม้นคนที่รู้อยู่แล้วว่านางเป็นสตรีก็เริ่มลังเล
ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น ตอนนี้นางยังไม่มีความคิดที่จะไปสนใจ
หานตานตั้งอยู่ไม่ไกลจากผูหยางนัก หนทางนั้นราบเรียบและมีเส้นทางการค้ามากมาย พวกเขาเดินทางโดยไม่หยุดพัก หลังจากนั้นประมาณหกถึงเจ็ดวันก็มาถึงริมแม่น้ำ หลังจากข้ามแม่น้ำแล้ว ทหารของรัฐเจ้าก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้
พวกเขาต้องออกจากสนามรบเพื่อมาส่งซ่งชูอี ที่จริงแล้วใช่ว่าทุกคนจะเต็มใจ เพราะว่าทันทีที่ได้เป็นทหาร ยิ่งตัดศีรษะศัตรูในสนามรบได้มากเท่าไรจึงจะยิ่งมีโอกาสกลับตัวได้มากเท่านั้น
ลูกผู้ชายที่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวก็ควรจะสู้สุดชีวิตเพื่อที่จะได้โดดเด่นกว่าผู้อื่น อีกทั้งได้ยินว่าคราวนี้เป็นการโจมตีหวังเฉิง ความเป็นไปได้ที่จะชนะมีถึงเก้าในสิบส่วน ทว่าพวกเขากลับเสียโอกาสอันดีนี้ไป
วันข้างหน้ายังมีโอกาสที่จะสู้รบอีกมากมาย ทว่าการอารักขาจวินองค์ใหม่กับการรักษาดินแดนนั้นมีพื้นฐานความแตกต่างที่ต่างกัน แน่นอนว่ารางวัลที่จะได้รับย่อมต่างกันลิบลับด้วย
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่คนเหล่านั้นหารือกันเป็นการส่วนตัวก็พาซ่งชูอีและจี้ฮ่วนลงเรือข้ามฟาก จากนั้นก็กลับไปทันที
เช้าตรู่ แม่น้ำไหลสู่บูรพาทิศ หมอกอันกว้างใหญ่ผสานผิวน้ำและผืนฟ้าจนเป็นหนึ่งเดียวกัน มีพระจันทร์ข้างแรมจางๆ ที่ขอบฟ้า ดวงอาทิตย์สีส้มอบอุ่นดูเหมือนจะค่อยๆ โผล่พ้นผิวน้ำอย่างนุ่มนวลในตอนแรก แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง แสงแดดก็ส่องแสงระยิบระยับทะลุผ่านม่านหมอกและสะท้อนเป็นประกายอยู่บนผิวน้ำ
ซ่งชูอียืนอยู่บนดาดฟ้าเรือพร้อมมองออกไปยังที่ไกลๆ กลิ่นของความชื้นและพืชน้ำอ่อนๆ ลอยปะปนอยู่ในสายลม มันพัดเอาความหนาวเย็นแห่งต้นฤดูใบไม้ผลิมาด้วย
“ท่าน กลับลงเรือเถิด?” จี้ฮ่วนเห็นว่านางไม่ขยับเขยื้อน จึงเอ่ยคำเตือนสติ
ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง ขณะที่กลับหลังหันกำลังจะกลับเรือนั้นก็เห็นหญิงสาวบุคลิกสง่างามในระยะห้าก้าว มีผ้าบางเบาปกคลุมใบหน้านางครึ่งหนึ่ง เห็นหน้าไม่ชัดทว่าเห็นเพียงคิ้วงดงามที่ผูกกันเล็กน้อย หลุบตาลงมองผิวน้ำไม่รู้ว่าคิดกระไรอยู่
“เจ้าเด็กไร้มารยาท!” มือดาบที่อยู่ด้านหลังหญิงสาวกดดาบพร้อมคำรามใส่ซ่งชูอี
คิ้วหนาของจี้ฮ่วนขมวดกัน ก้าวเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย
ซ่งชูอียกมือมิให้เขาวู่วาม กล่าวกับมือดาบผู้นั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าน้อยมิทราบว่าทิวทัศน์นี้มีเจ้าของ หากทำให้ขุ่นเคืองประการใดได้โปรดให้อภัยด้วย!”
สิ้นวาจาก็โค้งคำนับเขาจริงๆ ซ่งชูอีไม่เคยเก็บคำด่าประเภทนี้มาใส่ใจอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามหากไม่พูดแดกดันเสียหน่อย นางจะรู้สึกไม่สบายใจ
มือดาบพ่มหายใจเย็นชา มิได้สนใจนางอีก
ทันทีที่ซ่งชูอีก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าไปในห้องโดยสารเรือ พลันบทสนทนาที่มือดาบผู้นั้นคุยกับหญิงสาวลอยมาเข้าหู “ฮูหยิน ทำใจให้สบายเถิด จะต้องไม่เป็นไรแน่”
“กุนซือผู้นั้นหนีไปแล้ว มีเพียงอาอวี่กับปู้วั่งที่ถูกจับกลับไป เว่ยอ๋องร้อนใจจะสอบสวนโทษ พวกเขา…” น้ำเสียงของหญิงสาวงดงามนุ่มนวล เจือปนความเศร้าโศกคลุมเครือ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาเป็นอะไร”
ช่างบังเอิญเหลือเกิน! ขณะที่ซ่งชูอีร้องอุทานในใจก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย คำว่า “เขา” ที่หญิงสาวพูดถึงคือผู้ใด? จี๋อวี่? หลงกู่ปู้วั่ง? หรือว่าหลงกู่ชิ่ง?
“ฮ่วน เจ้ารู้จักแม่นางผู้นั้นหรือไม่” ซ่งชูอีกระซิบถาม
จี้ฮ่วนมองอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่รู้จักขอรับ”
ซ่งชูอีพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือ นั่งลงตรงตำแหน่งที่นั่งใกล้หน้าต่าง
เรือโดยสารลำนี้มีราคาแพงมาก ฉะนั้นคนจึงไม่เยอะ อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า ภายในห้องโดยสารเงียบสงบยิ่ง
ซ่งชูอีพิงหน้าต่าง ยกจอกเหล้าขึ้น เอ่ยถามสบายๆ “ได้ยินว่าเว่ยอ๋องจะโจมตีเว่ย์รึ?”
จี้ฮ่วนงุนงงครู่หนึ่งก่อนตระหนักได้ว่านางกำลังคุยกับเขา นึกว่าเป็นความจริง จึงถามขึ้นทันที “จริงรึ?”
ซ่งชูอีหัวเราะเสียงเบา “อะไรกัน เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? เว่ย์โหวจงใจยั่วยุหกรัฐให้โจมตีรัฐเว่ย อีกทั้งครึ่งปีก่อนยังสูญเสียอีกหลายนคร เจ้าน่าจะรู้กระมัง?”
จี้ฮ่วนยังมิยังพูดจบ ก็มีคนพูดต่อ “ได้ยินว่าเป็นรัฐฉี ฉู่ หาน เจ้า ฉิน จะเป็นหกรัฐได้เยี่ยงไร?”
“อ๋อ?” ซ่งชูอีหันมามองคนที่พูดคนนั้น ประสานมือเล็กน้อย ถามด้วยความสงสัย “ไม่มีรัฐเยวี่ยรึ?”
ชายผู้นั้นอายุราวๆ สามสิบ อ้วนมาก พุงนั้นใหญ่ไม่ด้อยไปกว่าการตั้งครรภ์ห้าเดือน ผิวพรรณขาวสะอาด มีหนวดขนาดสามนิ้วที่ขากรรไกร ใบหน้าดูอัธยาศัยดี “รัฐเยวี่ยตั้งอยู่ห่างไกล คงไม่อาจเหยียดยืดมือได้ไกลเพียงนั้น”
“มิทราบว่าผู้ที่เดินทางไปหว่านล้อมจูโหวคือผู้ใด? เก่งกาจยิ่งนัก” ซ่งชูอีลุกขึ้นนั่ง เอนตัวไปข้างหน้า
นี่เป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเมื่อเร็วๆ นี้ ทันทีที่เปิดประเด็น หลายคนล้วนมีสิ่งที่ต้องการจะพูด คนหนึ่งพูดแทรกขึ้น “ได้ยินว่ามีสองคน คนหนึ่งเดินทางไปยังรัฐฉีและรัฐฉู่มีนามว่าหมิ่นฉือ นามรองจื๋อห่วน อีกคนเดินไปยังรัฐฉินและรัฐเจ้ามีนามว่าซ่งชูอี นามรองหวยจิน”
“ใช่ๆ” ชายอ้วนผงกศีรษะ เอ่ยขึ้น “ที่รู้กันในบัดนี้คือสองคนนี้ ว่ากันว่าอ่อนเยาว์นัก…เฮ้อ! หากให้เวลามากกว่านี้หน่อยคงจะได้เป็นวีรบุรุษที่โดดเด่นเป็นแน่แท้ น่าเสียดาย…”
“เหตุใดจึงน่าเสียดาย?” ซ่งชูอีไม่เข้าใจ
“หลังจากที่จูโหวขึ้นสู่อำนาจ องค์จวินแห่งรัฐต่างๆ ล้วนทะเยอะทะยานที่จะขึ้นสู่จุดสูงสุด ได้เป็นจวินได้แล้วก็คิดจะเป็นโหว ได้เป็นโหวได้แล้วก็คิดจะเป็นกง ทว่าเว่ย์โหวกลับสวนทาง บ้านเมืองแห่งรัฐเว่ย์อ่อนแอ เขากลับลดตำแหน่งจากกงเป็นโหวทันที” ชายอ้วนหัวเราะเยาะ จิบสุราคำหนึ่งเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยเข้าเฝ้าเว่ย์โหว ไม่รู้ว่าเขาขี้ขลาดตาขาวเหมือนหนูหรือคิดจะปกป้องรัฐเว่ย์ ทว่าด้วยสองข้อนี้ ทันทีที่เว่ยอ๋องพิโรธ เว่ย์โหวก็ต้องส่งสองคนนั้นไปให้อย่างว่าง่าย เพื่อขออภัยโทษจากเว่ยอ๋อง หากไม่เชื่อพวกเราสามารถเดิมพันกันได้”
ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ เอ่ยขึ้น “ข้าน้อยเชื่อในคำพูดนี้”
“เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเสียดาย!” บัณฑิตวัยกลางคนรูปร่างผอมเพรียวผู้หนึ่งเอ่ยค้าน “ผู้ที่ดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าวได้ มีเหตุผลใดที่เว่ยอ๋องจะไม่ใช้? สำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นเรื่องดีมิใช่โชคร้ายเลย อีกอย่าง ได้ว่าข่าวนี้หลุดมาจากรัฐเจ้า ไม่แน่ว่าซ่งหวยจินอาจเป็นคนจงใจปล่อยข่าวเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง”
“เป็นเพียงการคาดเดาก็ให้ร้ายชื่อเสียงผู้อื่นตามอำเภอใจ นี่มิใช่พฤติกรรมของสุภาพบุรุษเลย” ชายอ้วนรู้สึกว่าบัณฑิตผู้นี้อิจฉาผู้อื่นที่มีความสามารถกว่าตน ทำให้ผู้อื่นเสียหายโดยเจตนา แม้นเขาจะเป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่ง ทว่าเกลียดบัณฑิตเช่นนี้มากที่สุด
บัณฑิตผู้นั้นสีหน้าเยือกเย็น ยกจอกเหล้าดื่มให้ตัวเอง ไม่พูดไม่จาอีก
ซ่งชูอีกล่าวอย่างครุ่นคิด “ท่านผู้นั้นก็มิได้ไร้เหตุผล เพียงแต่ข้าน้อยไม่เข้าใจ ในเมื่อซ่งชูอีสามารถคิดกลยุทธ์เช่นนี้ออกมาได้ คิดว่าก็ไม่ใช่เป็นคนโง่ บัดนี้การจราจลในรัฐเจ้ายังคงดำเนินอยู่ เขายังไม่สามารถหว่านล้อมเจ้าโหวได้ในเวลานี้ หากต้องการทำเพื่อชื่อเสียง ให้คนสองคนโพนทะนาในผูหยางก็ย่อมได้ เหตุใดจึงต้องชี้ให้เห็นว่าข่าวนี้มาจากรัฐเจ้าด้วยเล่า? นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายชื่อเสียงตนเองโดยจงใจหรอกหรือ? อีกทั้งการที่ข่าวแพร่สะพัดได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ มันน่าสนใจมากทีเดียว”
“ที่น้องชายพูดก็ถูกต้อง!” มีคนเสริม
ทุกคนกำลังจมอยู่ในความคิด คิดไปคิดมา ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงต้นสายปลายเหตุได้
หลังจากซ่งชูอีได้ยินข่าวคราวที่พวกเขาพูด ก็เกือบจะมั่นใจแล้วว่านี่คือฝีมือของหมิ่นฉือ
ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการต่อกรกับนาง พฤติกรรมของนางก็ไม่ได้นับว่าดีมากนักตอนที่อยู่ในรัฐเว่ย์ ทว่าก็ไม่ถึงกับสร้างความเกลียดชังอย่างล้ำลึก
ใช่ว่าซ่งชูอีไม่เคยสงสัยอิ๋งซื่อ แต่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นคนเยี่ยงไร ตราบเท่าที่มีสถานการณ์ของรัฐฉินในปัจจุบันเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาก็คงไม่ทำเรื่องที่โง่เขลาถึงเพียงนี้ เขาหาข้ออ้างที่จะชะลอการยกเลิกการปฏิรูปได้อย่างยากลำบาก เขาจะย้ายก้อนหินมาทับขาของตัวเองเพื่ออะไรกัน?
มีเพียงหมิ่นฉือ หากเขาฉวยโอกาสนี้ในการสวามิภักดิ์ต่อรัฐเว่ยและเจตนาผลักเรื่องนี้ไปให้ซ่งชูอี นางแบกก็จะรับข้อหาทรยศเจ้านายเพื่อสร้างความรุ่งโรจน์ส่วนตน แม้นมีพรสววรค์ฟ้าประทาน ต่อไปก็ไม่มีรัฐใดกล้าเรียกใช้
การที่เจ็ดมหานครรัฐจะเรียกใช้ใครนั้นล้วนไม่ติดใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่ความอื้อฉาวของอู๋ฉี่ที่ “ฆ่าภรรยาเพื่อขึ้นเป็นแม่ทัพ มารดาสิ้นก็ไม่ไปเผาผี” ยังสามารถมองข้ามไปได้ แต่จะว่าไปแล้ว ใครจะเรียกใช้คนที่พร้อมจะแทงหัวใจของตนได้ตลอดเวลากันเล่า?
รัฐเว่ยจะไม่ใช้คนประเภทนี้ ทว่าเขาจะต้องกลัวว่ารัฐอื่นอาจใช้นางอย่างแน่นอน ฉะนั้นวิธีเดียวก็คือสังหารซ่งชูอีเสีย
เว่ยอ๋องเสียใจมาโดยตลอดที่ไม่ได้สังหารซางยางทิ้งตามคำแนะนำของกงซูฉัว ปล่อยให้เขาเข้าไปปฏิรูปกฎหมายในรัฐฉิน ศัตรูที่อยู่เบื้องหลังรัฐเว่ยนั้นรวดเร็วและทรงพลังยิ่ง ทำให้เขานอนไม่หลับในยามราตรี หลังจากได้รับบทเรียนนองเลือดแล้ว เกรงว่าคราวนี้จะไม่ออมมืออย่างแน่นอน
ซ่งชูอียกสาโทดื่มรวดเดียวหมด อดมิได้ที่จะยกมุมปากยิ้มเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น คิดในใจ ‘ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหมิ่นฉือคนเดิมหรือไม่ ความแค้นครั้งใหม่นี้ ข้าจะต้องแก้แค้นอย่างแน่นอน!’
หลายวันมานี้ นางไม่เข้าใจว่าเพราะประวัติศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงหรือว่านางได้มาเกิดใหม่ในสถานที่ที่คล้ายคลึงกันแน่ และกำลังสงสัยว่าควรจะแก้แค้นดีหรือไม่ การเคลื่อนไหวของหมิ่นฉือครั้งนี้ได้ยืนยันจุดยืนของนางพอดี
คิดเช่นนี้แล้ว เขาค่อนข้างรู้ใจนางดีทีเดียว
เรือหักเลี้ยว และเริ่มไหลไปตามกระแสน้ำ ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ซ่งชูอีทิ้งจอกสุรา มองออกไปนอกหน้าต่าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวที่อยู่บนดาดฟ้าเมื่อครู่เข้ามาพร้อมกับมือดาบ พบตำแหน่งมุมที่ดีที่สุดแล้วนั่งลง สาวรับใช้ม้วนผ้าม่านทั้งสองข้างลง เพื่อสร้างพื้นที่แยกออกไปต่างหาก
หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม เรือก็ค่อยๆ เทียบฝั่ง
ชั้นหิมะสีขาวบางๆ ปกคลุมพื้นริมแม่น้ำ แต่ต้นหลิวกลับแตกใบอ่อนสีเหลืองสดใส เป็นทิวทัศน์สวยงามท่ามกลางหิมะสีขาวและแสงแดดแห่งฤดูใบไม้ผลิ
เรือจอดเทียบท่าและแกว่งไปมาขณะที่มันแตะฝั่ง จากนั้นเสียงของการทอดสมอก็ดังขึ้น
หลังจากเรือเริ่มนิ่งแล้ว ทุกคนก็เริ่มส่งคนรับใช้ของตัวเองไปขนย้ายข้าวของ เตรียมขึ้นจากเรือ
สัมภาระสองใบใหญ่ที่เจ้าอี่โหลวจัดเตรียมให้ซ่งชูอีนั้นส่วนใหญ่เป็นอาหาร หลังจากที่กินจนหมดระหว่างทางก็เหลือเพียงสิ่งของไม่กี่อย่างเท่านั้น นางจึงมองดูฝูงชนไปๆ มาๆ บนท่าเรืออย่างสบายๆ
“น้องชายท่านนี้” ชายอ้วนคำนับซ่งชูอี “ข้าเป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่ง ทว่าเห็นน้องชายวาจาพาทีไม่สามัญ ประทับใจนัก ไม่ทราบว่าน้องชายจะยินดีลดสถานะเพื่อผูกมิตรกันหรือไม่?”
ซ่งชูอีประหลาดใจเล็กน้อย คำนับกลับ “ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ได้พบกับท่านนับเป็นโชคดีของข้า”
“ข้าแซ่กุย สกุลเจิน มีชื่อว่าจวิ้นเพียงคำเดียว เป็นชาวเจินเฉิงในรัฐเว่ย์” ชายอ้วนยิ้มจนเนื้อบนใบหน้าของเขาบดบังดวงตาเสียหมดสิ้น
เจินจวิ้น (งามจริงๆ)? ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ข้าน้อยสกุลซ่ง อิ๋นเยวี่ย”
“สกุงซ่ง? ท่านเป็นคนในราชสำนักรัฐซ่งจริงๆ ด้วย เสียมารยาทแล้วๆ” เจินจวิ้นเปลี่ยนจากคำว่า “น้องชาย” เป็น “ท่าน” โดยธรรมชาติ
ซ่งชูอีคิดในใจ ถ้าชื่อของเจินจวิ้นถูกรวมเข้ากับแซ่และสกุลของเขา ก็จะออกเสียงได้ว่ากุยเจินจวิ้น (เต่าผู้งดงาม)[1]
ทั้งสองนั่งพูดคุยกันครู่หนึ่ง เจินจวิ้นรู้ว่าซ่งชูอีต้องไปอยู่ที่ผูหยางเป็นเวลาหลายวัน จึงเชื้อเชิญซ่งชูอีร่วมเดินทางกับเขา
ซ่งชูอีตอบรับคำเชิญอย่างยินดี
ท่าเรืออยู่ไม่ไกลจากผูหยางนัก ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเป็นอย่างมาก ทว่าถึงตอนนั้นเกรงว่าจะดึกเกินไป ไม่สามารถเข้านครได้ หากมีคนไปด้วยก็จะดีไม่น้อย
………………………………
[1] ชื่อของกุยเจินจวิ้นต้องเขียนว่า妫 甄峻 ทว่าซ่งชูอีกลับนึกถึงคำว่า 龟真俊เป็นคำพ้องเสียงซึ่งอ่านว่ากุยเจินจวิ้นเช่นกัน แปลว่า เต่าผู้งดงาม