กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 116 ผู้ขืนใจหย่า
หลายวันนี้ซ่งชูอีทำได้เพียงนอนเฉยๆ ทยอยยืมหนังสือของหมิ่นฉือสิบกว่าเล่ม หลังจากอ่านจบแล้วก็ไหว้วานให้คนนำออกไปขายทิ้ง ซึ่งทำกำไรได้อย่างมาก
หลังจากผ่านไปห้าวัน ซ่งชูอีก็ฟื้นตัวเป็นปกติแล้ว บัดนี้หนังสือในมือของหมิ่นฉือเหลือเพียงสามเล่มเท่านั้น
สายลมฤดูใบไม้ผลินั้นมีความอบอุ่นอยู่บ้าง ลมที่โชยเอื่อยนั้นอ่อนนุ่มชวนให้ง่วงนอน ซ่งชูอีนั่งมองเจ้าอี่โหลวฝึกดาบอยู่บนเฉลียง ไม่ช้าก็ผล็อยหลับไป
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ครั้นซ่งชูอีลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าเจ้าอี่โหลวกับไป๋เริ่นไม่อยู่แล้ว หมิ่นฉือในชุดคลุมสีควันบุหรี่นั่งอยู่ข้างๆ และกำลังมองตรงไปที่นาง
ใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นดูอ่อนโยนและแน่วแน่ภายใต้แสงอาทิตย์อบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ ขนตาดุจขนนกสีดำดุจทอดเงาให้แก่ดวงตา แววตานั้นดูล้ำลึกอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าย้อนเวลากลับไปในอดีต ตอนนั้นที่พวกเขานั่งอยู่ในลานเล็กที่หยางเฉิง เขาก็จ้องมองนางเช่นนี้
สติของซ่งชูอีหลุดลอยไปชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้า “เจ้าชื่นชมข้าเพียงนี้เชียวหรือ?”
หมิ่นฉือขมวดคิ้ว “ซ่งหวยจิน หนังสือของข้าหายไปไหนหมด!”
ซ่งชูอีมองสำรวจสีหน้าของเขาโดยละเอียด ส่งเสียงหึๆ “ในเมื่อเจ้าก็รู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องถามถึงมันดอกกระมัง?”
“ข้านึกว่า เจ้าจะมีแผนการสูงส่งอะไรแก้แค้นข้าเสียอีก ที่แท้ก็เป็นเพียงลูกไม้ตื้นๆ!” หมิ่นฉือยิ้มเยาะ
ในความทรงจำของซ่งชูอี หมิ่นฉือไม่ใช่คนที่บันดาลโทสะบ่อยนัก หมิ่นฉือที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ก็เช่นกัน ซ่งชูอีเดาว่าการที่เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเช่นนี้ เป็นเพราะว่าหนังสือที่ถูกขายออกไปนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
“หืม เจ้าอาจไม่ใคร่เข้าใจคนเยี่ยงข้านัก การแก้แค้นอย่างใจเย็นเป็นสิ่งที่ดีมากอยู่แล้ว ทว่าหากมีโอกาสเพิ่มความวุ่นวายใจได้มากกว่านี้ ข้าก็ไม่มีทางปล่อยไปแน่” ซ่งชูอีมองดูเส้นเอ็นบนหน้าผากของเขาที่ปูดนูนขึ้นมา ยื่นมือจัดกระชับคอเสื้อ หดคอแล้วกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องจ้องข้าด้วยสายตาหิวกระหายเช่นนี้ดอก ถ้าหากเจ้าปลดปล่อยตัวเองจากข้ามิได้จริงๆ ข้าก็จะสนองความต้องการของเจ้าอย่างไม่สมัครใจสักครั้งหนึ่ง ทว่าข้าไม่ทำเรื่องอย่างว่าดอกนะ”
คำพูดนี้หากเป็นสตรีกล่าวกับบุรุษก็มิใช่เรื่องแปลกกระไร แต่ว่าปัญหาก็คือซ่งชูอีมิใช่ผู้ชายในสายตาของหมิ่นฉือ!
“ซ่งหวยจิน!” บัดนี้หมิ่นฉือกำลังเดือดดาลยิ่ง
ซ่งชูอีแคะๆ หู เอ่ยว่า “อากาศในฤดูใบไม้ผลิงดงามเพียงนี้ เจ้าจะตะโกนทำไม? ไม่จำเป็นต้องผิดหวังขนาดนี้ก็ได้นี่นา!”
หมิ่นฉือข่มความโมโหเอาไว้ เอ่ยถาม “เจ้าเอาหนังสือของข้าไปขายที่ใด!”
ซ่งชูอีอ้าปากหาว ครั้นเห็นไป๋เริ่นคาบกระดูกวิ่งเข้ามาในบ้านก็โบกมือให้มัน ไป๋เริ่นไม่เห็นหน้าซ่งชูอีมากกว่าครึ่งเดือน ฉะนั้นดังนั้นความกระตือรือร้นจึงยังไม่ได้จางหายไปในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา จึงรีบวิ่งส่ายก้นเข้ามาแล้ว
“หลังจากเจ้าขุดกับดักให้ข้าแล้ว เหตุใดถึงไม่บอกข้าว่าต้องปีนออกมาเยี่ยงไรเล่า?” ซ่งชูอีเอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“ซ่งหวยจิน! เรื่องนั้นเจ้าก็ได้แก้แค้นแล้วมิใช่หรือ! บัดนี้เรื่องอื้อฉาวของข้าแพร่กระจายไปหลายรัฐ เจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก!” หมิ่นฉือมองดูใบหน้าที่เจือปนรอยยิ้มจางๆ ของนาง ทนไม่ไหวอยากจะชกนางสักหมัดเหลือเกิน
ซ่งชูอีขยำขนบนหัวของไป๋เริ่นจนยุ่งเหยิง ได้ยินเขาถามเช่นนี้ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าคิดจะเอาอย่างไร…เจ้าจะค่อยๆ เข้าใจเอง”
“ในฐานะกุนซือ ความสำเร็จและความล้มเหลวนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ การเดินหมากที่รัฐซ่งครานั้น เจ้าบอกว่าพวกเราถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเป็นศัตรู ข้าผู้แซ่หมิ่นยังนึกว่าเป็นศัตรูในการเดินหมากเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าซ่งหวยจินจะใส่ใจกับเรื่อง
ขี้ประติ๋วเช่นนี้!” หมิ่นฉือลุกขึ้น สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
ซ่งชูอียิ้มอย่างไม่แยแส นางมิได้ใส่ใจกับเรื่องขี้ประติ๋ว เพียงแต่เบื่อหน่ายจึงสร้างความวุ่นวายใจให้ผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองมีความสุขก็เท่านั้น อย่างไรก็ดีนางจะไม่เอ่ยปากอธิบายเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้นางได้กลายเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์และฉลาดคนหนึ่งในใต้หล้าแล้ว ชื่อเสียงนั้นมีราคามากเหลือเกิน!
“ท่านเจ้าคะ!” หนิงยาพุ่งเข้ามา กล่าวอย่างร้อนรนด้วยน้ำตานองหน้า “ท่านได้โปรดรีบไปช่วยพี่หยาด้วยเถิด!”
ท่าทีผ่อนคลายของซ่งชูอีนั้นหายไปจนหมดสิ้น พลางเดินตามหนิงยาพลางเอ่ยถาม “จื๋อหย่าเป็นอะไรไป?”
“มีนายทหารห้าหกคนขวางพี่หย่าไว้ ต้องการจะขืนใจนาง” หนิงยาร้องไห้จนดวงตาพร่าเลือน
แววตาของซ่งชูอีมืดมน มือคว้าด้ามดาบสั้นไว้แน่น เร่งความเร็วพร้อมพาไป๋เริ่นวิ่งไปยังสถานที่เกิดเหตุ
เดินผ่านสองช่วงเฉลียงก็ยังไม่เห็นผู้ใด พลันได้ยินเสียงหัวเราะของผู้ชายรวมถึงเสียงหายใจหอบเลือนลาง หัวใจของซ่งชูอีสั่น ยิ่งเร่งฝีเท้าเร็วกว่าเดิม
ครั้นเลี้ยวตรงมุมหนึ่ง ก็เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของจื๋อหย่ากำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งกดทับอยู่ด้านบนทันที ความแตกต่างระหว่างสองร่างขาวดำตัดกันอย่างเห็นได้ชัด เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากต้นขาที่ขาวดุจหิมะของจื๋อหย่า
“ไป๋เริ่น!” ซ่งชูอีเรียกเสียงหนึ่ง นางวาดดาบสั้นออกมาและพุ่งตัวเข้าไปสองสามก้าว คนกลุ่มนั้นกำลังดื่มด่ำอยู่บนเรือนร่างของสาวงามจึงไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ดาบของซ่งชูอีได้เสียบเข้าไปในร่างของผู้ที่มุงดูคนหนึ่งแล้ว
แรงอาฆาตของซ่งชูอีได้แพร่มาถึงไป๋เริ่น จากนั้นมันก็เข้าตะครุบกัด
นายทหารห้าคนที่เหลือเพิ่งจะมีปฏิริยาตอบสนองทว่าสายไปเสียแล้ว แม้นไป๋เริ่นจะถูกเลี้ยงดูโดยมนุษย์ แต่ก็ไม่เคยถูกเลี้ยงในสภาพถูกจองจำ พละกำลังที่พุ่งไปหมายจะฆ่านั้นแข็งแกร่งมากซึ่งทำให้ชายสี่คนเสียเลือดทันที
ซ่งชูอีมิได้ต้องการจะฆ่าพวกเขาภายในดาบเดียว ฉะนั้นจึงทิ้งบาดแผลลึกไว้บนตัวพวกเขาทั้งหกคนอย่างง่ายดาย
หกคนนั้นเห็นว่าซ่งชูอีแต่งกายเหมือนบัณฑิต ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนได้ก่อหายนะครั้งใหญ่ รีบคว้ากางเกงแล้ววิ่งหนีไปทันที
สัญชาตญาณสัตว์ป่าของไป๋เริ่นถูกปลุกเร้า ครั้นเห็นพวกเขาหนีไปก็รีบกวดตามไปฉับพลัน เพียงพริบตาเดียวก็งับคอคนหนึ่งเอาไว้ได้ ขณะที่กำลังจะตามคนที่สองไปนั้นก็ถูกซ่งชูอีตะโกนเรียกไว้ “ไป๋เริ่น!”
ไป๋เริ่นหยุดกึก ทว่าขนบนตัวยังคงลุกซู่ ราวกับว่ากำลังตื่นตัว
จื๋อหย่าเนื้อตัวสะบักสะบอม เสื้อผ้าบนตัวถูกฉีกขาด สีหน้าซีดขาว น้ำตานองหน้า
สีหน้าของซ่งชูอีมืดมน ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกห่อตัวจื๋อหย่าเอาไว้ ปล่อยให้หนิงยาช่วยประคองนางขึ้นหลังของตน แล้วแบกนางเดินกลับไป
นางมิได้กลับห้องแต่เข้าไปในห้องอาบน้ำทันที ซ่งชูอีเห็นว่านางแน่นิ่งราวกับขอนไม้ก็ทอดถอนใจ พับแขนเสื้อขึ้น เอื้อมมือช่วยทำความสะอาดให้นาง
ในที่สุดดวงตาของจื๋อหย่าก็เคลื่อนไหว สายตาหยุดอยู่ที่ซ่งชูอี
“อยากร้องไห้ก็ร้อง” ซ่งชูอีกำลังช่วยนางทำความสะอาดร่างกายท่อนล่างด้วยความจริงจัง มิได้เงยหน้าขึ้นแต่กลับรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง
เงียบงัน ภายในห้องมีเพียงเสียงผัดน้ำของซ่งชูอี
ผ่านไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นจื๋อหย่าก็กอดซ่งชูอี ปล่อยโฮออกมา
ซ่งชูอีตบๆ หลังของนาง “วางใจเถิด คนพวกนั้น ข้าจะต้องให้พวกมันไม่ตายดี”
เสียงร้องไห้ของจื๋อหย่ายิ่งดังขึ้นทุกที ซ่งชูอีทำได้เพียงก้มตัวลงปล่อยให้นางกอดคอ หลังจากร่ำไห้อย่างหนำใจเป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้ว จื๋อหย่าก็หมดสติไปเพราะความอ่อนแรง
ซ่งชูอีลุกขึ้นอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เรี่ยวแรงจึงกลับมาบ้าง จากนั้นก็เรียกหนิงยาให้ช่วยกันพาจื๋อหย่าออกมาจากถังอาบน้ำ
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซ่งชูอีก็เรียกหนิงยาออกไป “บอกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น? มารดาตัวไหนที่สายตาสั้นเพียงนี้ แม้แต่สาวใช้ของข้าซ่งหวยจินก็ยังกล้าล่วงเกิน!”
ดีเลวเยี่ยงไรนางก็เป็นบัณฑิต อีกทั้งยังเป็นบัณฑิตที่เว่ยอ๋องให้ความสำคัญ ต่อให้ทหารอารักขาเหล่านั้นบังอาจเพียงใด ก็มิกล้าขยับมือเท้าไปใกล้นาง