กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 122 หยุดคนในแม่น้ำ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซ่งชูอีส่งเสียงหึหึ “ก็แค่ตามหาเรื่อยเปื่อย” พูดจบก็เอ่ยด้วยความหงุดหงิด “เจ้าเป็นผู้ชายอกสามศอก ถามเซ้าซี้อย่างกับเป็นสตรี นอน!”
เจ้าอี่โหลวห่มผ้าให้นาง ซ่งชูอียื่นมือดึงออกอย่างรวดเร็ว แล้วนอนแผ่หลาเหยียดแขนขาออก “นอนพักเพียงครู่เดียว ห่มผ้าอะไรกัน!”
เจ้าอี่โหลวมองนางด้วยความพิศวงครู่หนึ่ง “ลักษณะของเจ้าเช่นนี้ ราวกับไป๋เริ่นที่ถูกรบกวนขณะกำลังแทะกระดูกเลย”
ไป๋เริ่นที่อยู่ใต้เตียงได้ยินชื่อของตน โผล่ศีรษะขึ้นมา เมื่อพบว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกับตนก็หมอบกลับไป
“ไปให้พ้น!” ซ่งชูอียื่นขาเตะเขาลงพรวดจากเตียง
เจ้าอี่โหลวกำลังหวนคิดว่าเมื่อครู่ก็มิได้ทำกระไรผิดต่อนางนี่นา? ก็เพียงแค่ถามไม่กี่คำถามเท่านั้น
ซ่งชูอีตัดสินใจว่าจะไม่มอบของให้ใครอีกแล้ว เดิมทีนางคิดจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้มอบของแก่เจ้าอี่โหลว จะต้องรู้ก่อนว่า เมื่อรวมสองชาติของนางเข้าด้วยกัน นางเคยมอบของให้คนสองครั้ง นอกเหนือจากครั้งนี้ นางเคยเขียนบทความบทหนึ่งให้กับอาจารย์เมื่ออายุแปดขวบ โดยเขียนเพลงสรรเสริญมิตรภาพที่ไม่อาจลืมเลือนระหว่างเขาและกุ่ยกู๋จื่อ ปรากฏว่าหลังจากที่อาจารย์อ่านจบแล้ว ก็หันกลับมาทุบตีนางฉาดหนึ่ง
เนื่องจากใช้คำไม่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น “ความรักอันลึกซึ้ง” อะไรเทือกนี้ บัดนั้นนางยังมิได้เข้าใจความหมายของคำเหล่านี้อย่างล้ำลึกและไม่เข้าใจมิตรภาพอย่างลึกซึ้งเช่นกัน บัดนี้เมื่อนึกถึงก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย ทว่าบทความในตอนนั้นถูกเขียนขึ้นด้วยความจริงจังและจริงใจอย่างแท้จริง หลังจากถูกตีแล้วนางก็มิได้สนใจอาจารย์ไปพักใหญ่
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทั้งสองพักผ่อนด้วยอารมณ์ที่ต่างกันสักพัก จนกระทั่งพระจันทร์ลอยขึ้นกลางท้องฟ้า เสียงกระซิบของจี้ฮวนก็ดังขึ้นนอกหน้าต่าง “ท่าน”
เจ้าอี่โหลวลุกขึ้นก่อน ซ่งชูอีลุกขึ้นตาม
ทั้งสองคนสวมใส่เสื้อคลุม หลังจากรวบรวมข้าวของจนครบแล้ว ก็พาไป๋เริ่นเดินออกไปนอกประตูห้องอย่างเงียบๆ
“ท่านเพียงต้องเปิดสลักประตูออก” มีคนที่หน้าประตูเอ่ยขึ้นเสียงเบา
เจ้าอี่โหลวปลดสลักประตูตามคำบอก จากนั้นบริเวณเพลาประตูก็ถูกบุด้วยผ้า เมื่อเปิดประตูจากด้านนอกก็ไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดให้ได้ยินแม้แต่น้อย
ตรงเฉลียงนอกจากมีจี้ฮ่วน เจียนและ “สาวใช้” ผู้นั้นยืนอยู่แล้ว ยังมีคนในชุดดำอีกสี่คน
คนเหล่านั้นเพียงพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากปิดประตูแล้วก็จากไปทันที
ชาวฉินใช้เวลาเดือนกว่าจึงจะสามารถปะปนเข้าไปกับทหารรักษาการณ์ในจวนรับรองได้ หลังจากเปลี่ยนกะยามจื่อแล้วก็มีแต่คนของพวกเขาเท่านั้น รัฐเว่ยใช้ทุ่มกำลังไปอย่างมากจึงจะสามารถแทรกซึมสายลับจำนวนหนึ่งเข้ามาในรัฐเว่ย และจำเป็นต้องเสียสละอย่างน้อยสองคนในการช่วยเหลือซ่งชูอีครั้งนี้ ช่างเป็นความพยายามที่เลือดตาแทบกระเด็นจริงๆ
ซ่งชูอีล้วนจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจแล้ว
กลุ่มคนเดินอยู่ในเงามืดใต้กำแพง และรีบเดินไปยังประตูด้านข้างบานหนึ่งภายใต้การนำทางของ “สาวใช้”
ในเวลานี้เพิ่งจะมีการเปลี่ยนถ่ายเวรยาม พวกเขารออยู่ในเงามืดพักหนึ่ง จนกระทั่งทางนั้นส่งสัญญาณมา “สาวใช้” จึงออกไปสำรวจ ก่อนที่จะกลับมาภายในเวลาครึ่งถ้วยชา “ไปเร็ว”
มือดาบสี่คนรีบคุ้มกันเจ้าอี่โหลวและซ่งชูอีให้อยู่ตรงกลางทันที แล้ววิ่งไปยังประตูด้านข้าง
เงาของต้นไม้พลิ้วไปตามลม ประตูด้านข้างอยู่ในเงามืดจึงทำให้มองเห็นสถานการณ์ไม่ชัดเจน ทว่าซ่งชูอีเชื่อว่าชาวฉินจะไม่ปล่อยให้นางเสี่ยงอันตราย
พวกเขารีบพุ่งผ่านไป มีคนหนึ่งมารอรับทันที พลางเปิดประตู พลางพูดเสียงต่ำ “ทุกท่านมีเวลาเพียงหนึ่งเค่อที่จะออกจากนคร”
ทหารรักษาการณ์ของจวนรับรองนั้นมีมากเหลือเกิน พวกเขาทำได้เพียงอาศัยช่องว่างนี้ในขณะที่ทหารรักษาการณ์ลดเหลือเพียงสิบถึงยี่สิบคน หลังจากนี้ครั้นจำนวนคนเพิ่มมากขึ้นก็จะถูกเปิดโปงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การยืดเยื้อมาถึงหนึ่งเค่อนับว่าสุดขีดจำกัดแล้ว
ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วตามมือดาบออกนอกประตูไป ด้านนอกเตรียมม้าไว้พร้อมแล้ว กีบม้าทั้งหมดถูกห่อด้วยผ้าชั้นหนา เมื่อวิ่งก็จะได้ยินเพียงเสียงทึบๆ แม้นพูดไม่ได้ว่าไม่มีเสียงเลย แต่อย่างน้อยก็จะไม่ก็ไม่ทำให้คนแตกตื่น
ทุกคนขี่ม้าเป็นยกเว้นเจียน ฉะนั้นจี้ฮ่วนจึงพาขึ้นม้าตัวเดียวกัน
ทุกคนขึ้นขี่ม้าไปตามการนำทางของ “สาวใช้” ผู้นั้น คนกลุ่มหนึ่งขี่ม้ามุ่งหน้าไปทิศตะวันตกของนคร ครั้นเข้าใกล้ชานเมืองและสามารถมองเห็นกำแพงนครฝั่งตะวันตกได้ก็ลงจากม้า เดินไปตามเงามืดของบ้านเรือน เข้าใกล้ตีนกำแพงเงียบๆ แล้วเดินเลียบกำแพงไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำ
“ท่านว่ายน้ำเป็นหรือไม่?” ชายที่แต่งกายเป็น “สาวใช้” ถามด้วยรูปปากโดยมิได้ออกเสียง
ซ่งชูอีพยักหน้าไปตามสัญชาตญาณ แต่ก็ส่ายศีรษะทันควัน
นางเคยว่ายน้ำมาก่อน ทว่าตั้งแต่มาเกิดใหม่ก็ไม่มีโอกาสได้ลงน้ำเลย ใครไปจะรู้ว่าว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า!
“สาวใช้” อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้นท่านขี่หลังหมาป่าตัวนี้ดีหรือไม่?”
สู้นางพึ่งพาตัวเองยังดีเสียกว่า! ซ่งชูอีกลอกตาทันที ถอดเสื้อตัวนอกออก จากนั้นก็ผูกแขนเสื้อไว้ด้านใน ใช้อากัปกิริยาบอก “สาวใช้” ว่าหมาป่าตัวนั้นพึ่งพาไม่ได้
เจ้าอี่โหลวใช้ชีวิตอยู่ในป่ามานาน เชี่ยวชาญในทักษะการเอาตัวรอดเบื้องต้นเป็นอย่างยิ่ง ครั้นได้ยินว่าจะว่ายน้ำ ก็ถอดเสื้อตัวนอกออกทันที เพราะหากเสื้อแขนกว้างเช่นนี้แช่น้ำก็จะกลายเป็นภาระ
“สาวใช้” มิได้พูดกระไรอีก ส่งสัญญาณให้มือดาบสองคนว่ายน้ำคุ้มกันซ่งชูอีส่งถึงอีกฝั่ง
ซ่งชูอีหยั่งน้ำด้วยเท้าของนาง อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น จากนั้นก็ค่อยๆ เดินลงไปในน้ำ
ไป๋เริ่นยืนอยู่ริมน้ำ ดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องมองนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในฤดูนี้ อุณหภูมิในตอนกลางคืนนั้นยังคงต่ำยิ่ง จำเป็นต้องลงน้ำช้าๆ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิของน้ำ มิฉะนั้นจะจมน้ำได้อย่างง่ายดายมาก
มือดาบสองคนลงน้ำตามซ่งชูอีไป คุ้มกันนางซ้ายขวาตลอดเวลา
ไป๋เริ่นที่อยู่บนฝั่งในเวลานี้กลับยกขาหลังขึ้น แล้วปล่อยเบาลงในแม่น้ำ ซ่งชูอีเหลือบไปเห็นพฤติกรรมของมัน อดด่าเสียงต่ำมิได้ “มารดาเจ้าสิหมาป่าขี้ขลาด กลับไปข้าจะตัดตอนของเจ้าเสีย!”
บัดนี้ไม่มีใครรังเกียจปัสสาวะของไป๋เริ่นแล้ว ต้องลงไปในน้ำ
จี้ฮ่วนหันกลับไปมอง แสงไฟในนครสว่างไสว จากนั้นก็รีบจัดเก็บสิ่งของกับมือดาบสองคน แล้วลงน้ำไป
ไป๋เริ่นยืนมองแม่น้ำด้วยความลังเลครู่หนึ่ง รอจนกระทั่งทุกคนว่ายไปถึงประตูน้ำแล้ว จึงลงน้ำอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก
“อยู่ตรงนี้! ตามไป!”
มือดาบสองคนกำลังถอนประตูระบายน้ำที่ถูกทำให้พังก่อนหน้านี้ เสียงอึกทึกก็ดังมาแต่ไกล
ในแม่น้ำมีเพียงเสียงน้ำ ความสามารถในการว่ายน้ำของหมาป่าแทบจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไป๋เริ่นตะกุยตะกายอยู่ในน้ำครู่หนึ่งก็สามารถว่ายได้อย่างอิสระแล้ว
“หยุดคนในแม่น้ำ!” ทหารที่ไล่ตามมาคำรามใส่ทหารรักษาการณ์ที่อยู่บนหอคอยนคร
บนกำแพงนครเกิดความปั่นป่วน
ปัง! ประตูสามบานถูกดึงออกจากกัน มือดาบสองคนผลักซ่งชูอีออกไปก่อน จากนั้นไป๋เริ่นก็ตามเข้ามา
ไม่นาน คนที่เหลือก็ผ่านไปอย่างราบรื่น
มือดาบสองคนนั้นผลักซ่งชูอีให้ว่ายออกไปด้านนอกทันที นางหยุดกะทันหัน “ช้าก่อน!”
ทุกคนอึ้งไปครู่หนึ่ง ผู้ที่แต่งเป็นสาวใช้มองย้อนกลับไปเห็นเปลวไฟอีกด้านหนึ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “ยังจะรออะไรเล่า? ท่าน หากยังไม่ไปอีกก็จะไม่ทันการแล้ว!”
เพิ่งจะสิ้นวาจาของเขา ก็ได้ยินใครบางคนตะโกนมาจากข้างนอก “ห้ามยิงธนู!”
“ไป!” ครั้นซ่งชูอีได้ยินเช่นนี้ ก็เอ่ยเร่งทันที
เมื่อครู่นางได้ยินเพียงคนเหล่านั้นตะโกนว่า “หยุดคนในแม่น้ำ” ทว่าทหารรักษาการณ์บนหอคอยก็ไม่รู้ว่าจะต้องหยุดผู้ใด ไม่แน่อาจนึกว่าเป็นสายลับหรือนักโทษสถานหนัก เช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่ปรานีอย่างแน่นอน ถ้าหากรีบหนีออกไปแล้วถูกยิงตายด้วยลูกธนูที่ยิงสุ่ม จะไม่รู้สึกผิดไปหน่อยหรือ!