กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 123 พลีชีพเพื่อท่าน
กลุ่มคนว่ายออกมาจากปากถ้ำและปีนขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว
มือดาบเหล่านั้นวิ่งนำทางเข้าไปในป่าริมฝั่งแม่น้ำ ประตูนครทางนั้นเปิดออกแล้ว นายทหารนับพันพุ่งออกมา
หูของซ่งชูอีส่งเสียงดังวิ๊งๆ ความรู้สึกตัวเพียงอย่างเดียวก็คือต้องติดตามมือดาบและสับสองขาวิ่งอย่างสุดชีวิต เพราะว่าหากครั้งนี้ถูกจับกลับไป เกรงว่านางจะไม่มีโอกาสหนีได้อีกแล้ว
หากรัฐฉินไม่ส่งคนมาช่วยนางหลบหนี นางก็คงเลือกที่จะอยู่ในรัฐเว่ยชั่วคราว รอจนถึงเวลาที่เหมาะสมจึงค่อยจากไปอย่างไร้ความกดดัน ทว่าในขณะเดียวกันซ่งชูอีก็เข้าใจว่าเงื่อนไขของรัฐเว่ยมิใช่สถานที่ที่จะเหมาะสมที่จะทำให้อุดอคติของนางเป็นจริง ไม่ว่าจะอยู่นานแค่ไหนก็เป็นการเสียเวลาเท่านั้น
“จับกุมผู้บุกรุก!” ไม่รู้ว่าเสียงใครคำราม
มือดาบสองคนข้างกายซ่งชูอีลดความเร็วลงเฉียบพลัน จากนั้นก็มีเสียงอาวุธของทหารที่กำลังต่อสู้กันดังมาจากด้านหลัง
“สาวใช้” ผู้นั้นดึงซ่งชูอีวิ่งทะลุผ่านป่าไม้ ไม่รู้ว่าวิ่งอยู่นานเท่าใด ซ่งชูอีรู้สึกเพียงว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมสองขาที่เจ็บปวดและไร้เรี่ยวแรงได้อีกต่อไปแล้ว ในเวลานี้เองจึงเห็นกลุ่มคนขี่ม้าชุดดำที่เชิงเขาเลือนลาง
“รีบพาท่านหนีไป!” ผู้นั้นผลักซ่งชูอีออกไป จากนั้นก็สั่งกำชับ “สิบคนไปเบี่ยงเบนความสนใจทหารที่ไล่ตามมา”
ซ่งชูอีหันไปเห็นว่าเจ้าอี่โหลวและคนอื่นล้วนตามมาแล้วจึงเบาใจ
ในอดีตเจ้าอี่โหลวเคยประสบวันเวลาแห่งการหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิตเช่นนี้แทบทุกวัน บางครั้งแม้กระทั่งถูกตามล่าติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน ดังนั้นระยะทางสั้นๆ นี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขา เพียงได้หยุดหายใจสักพักเขาก็กลับมาเป็นปกติแล้ว
ไป๋เริ่นยิ่งสามารถเดินทางไกลได้ถึงสี่ร้อยลี้ หลังจากวิ่งมาได้ครู่หนึ่งก็พลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
มีเพียงซ่งชูอีที่เกาะมือดาบคนหนึ่งและหายใจอย่างกระหืดกระหอบ คล้ายกับว่าจะหายใจเอาหัวใจและปอดออกมาด้วย
“ขึ้นม้า” ไม่ทันได้พัก มือดาบสองคนก็ยกนางขึ้นหลังม้า
ซ่งชูอีบังคับตัวเองให้มั่นคง จากนั้นก็หวดแส้แล้วควบม้าไป
ท่านแม่ทัพเว่ยมีคำสั่งให้จับซ่งชูอีกลับไปเป็นๆ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคำสั่งให้ยิงธนู นี่เป็นประโยชน์ต่อการหลบหนีของพวกเขาอย่างยิ่งยวด อย่างไรก็ดีทหารเว่ยแห่งรัฐเวยไร้เทียมทานอย่างมากในสนามรบ แม้นจะผ่านพ้นช่วงสุดยอดไปแล้ว ทว่ายังคงไม่สามารถประมาทได้
หนีไปไม่ไกล ทหารม้าของพวกเขาก็ตามทัน
มือดาบสิบกว่านายที่อารักขาซ่งชูอีหันกลับไปสกัดกั้น แม้นกองทหารรัฐเว่ยแข็งแกร่ง ทว่าเมื่อต้องสู้ในระยะประชิดจริงๆ กำลังของพวกเขาห่างไกลจากมือดาบมาก ดังนั้นครั้นทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันก็สู้อย่างเอาเป็นเอาตาย มีทหารม้าสี่ถึงห้าสิบนายที่ถูกพวกเขายับยั้งเอาไว้ได้
ซ่งชูอีมีความรู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในกลับตาลปัตรพร้อมจะพุ่งออกมา เหวี่ยงแส้ม้าในมือหนักกว่าเดิม
แม้นในเวลานี้ในสมองมีแต่เพียงเสียงวิ๊งๆ ทว่านางก็ยังสามารถคิดวิเคราะห์ได้ เหล่ามือดาบที่หันหลังกลับไปสกัดกั้นทหารม้านั้นเกรงว่าจะตายเสียเก้าในสิบส่วน นางจะต้องฉวยโอกาสนี้ทิ้งระยะห่างจากทหารม้าที่ไล่ตามมาให้ไกล มิฉะนั้นหากทหารเว่ยคิดว่าการจับนางกลับไปเป็นๆ เป็นเรื่องยาก เว่ยอ๋องมีราชโองการให้สังหารนางอย่างไร้ความเมตตา ถึงเวลานั้นไม่เพียงชีวิตของมือดาบเท่านั้นที่ต้องสังเวยโดยเปล่าประโยชน์ แม้แต่นางเองก็ยากที่จะหนีพ้นจากความตาย
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ความลำบากก็จะไม่ใช่ความลำบากอีกต่อไป
ซ่งชูอีควบม้าติดตามนักดาบผู้นำทางอย่างใกล้ชิดด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี
เสียงต่อสู้กันเบื้องหลังยิ่งไกลออกไปทุกที ราตรีเยือกเย็นเล็กน้อย ยอดเขาที่ซ้อนกันโดยรอบพุ่งตรงไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ป่าไม้หนาทึบเขียวชอุ่ม หูได้ยินเพียงเสียงซู่ซ่าของสายลมที่พัดผ่านแมกไม้ไป
ทิวทัศน์เบื้องหน้าเต็มไปด้วยพงไพร ยิ่งหนีเข้าไปลึกเท่าใด ถนนหนทางก็ยิ่งคับแคบลง แสงจันทร์ถูกปกคลุมด้วยยอดไม้ที่หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ แสงไฟก็ยิ่งจางลงเช่นกัน แทบจะมองไม่เห็นสิ่งใดเลย
เห็นได้ชัดเจนว่านี่คือเส้นทางลับที่ชาวฉินเปิดไปยังรัฐเว่ย ซ่งชูอีรู้สึกซาบซึ้งในใจมาก ครั้งนี้รัฐฉินเพื่อช่วยนางออกมา ไม่เพียงแต่ส่งสายลับที่ได้รับการปลูกฝังมาอย่างดี ทว่ายังยอมละทิ้งเส้นทางลับอีกด้วย!
จะต้องรู้ว่าการเปิดเส้นทางลับนั้นอาจต้องใช้เวลาหลายปีหรือแม้กระทั่งหลายสิบปี เมื่อมีทางลับแล้ว ข่าวของรัฐเว่ยก็จะแพร่สู่ฉินอย่างง่ายดาย อีกทั้งรัฐฉินยังสามารถควบคุมการปรับมือกับรัฐเว่ยได้ดียิ่งขึ้น นางจึงสามารถจินตนาการได้ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญต่อรัฐหนึ่งเพียงใด ทว่ารัฐฉินกลับปลดปล่อยความลับนี้เพื่อนางเพียงคนเดียว
แม้นว่าอาจจะมีเส้นทางลับอื่น แม้นจะสงสัยว่านี่อาจเป็นวิธีที่อิ๋งซื่อใช้ซื้อใจคน ทว่าเสียการสละมากมายเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ซ่งชูอีจะไม่ซาบซึ้ง ในบรรดารัฐต่างๆ มีเพียงรัฐฉินเท่านั้นที่ยอมทุ่มเทเพื่อบุคคลที่มีความสามารถ นี่ทำให้นางตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะถวายชีวิตให้แก่รัฐฉินอีกครั้ง
หนทางยากลำบาก ไม่สามารถขี่ม้าได้ ซ่งชูอีหันกลับไปมอง มันมืดจนแทบจะมองไม่เห็นห้านิ้วของตัวเองที่ยื่นออกมาด้วยซ้ำ เห็นเพียงดวงตาของไป๋เริ่นที่ส่องประกายอยู่ในความมืด
ครั้นเดินต่อไปอีกสามถึงสี่ชั่วยาม เส้นทางข้างหน้าจึงค่อยๆ กว้างขึ้น
“ท่าน ข้างหน้าอีกเจ็ดแปดลี้ก็จะถึงรัฐหานแล้ว พวกเราจะเดินทางข้ามรัฐหานไปถึงด่านหานกู่เพื่อเข้าสู่รัฐฉิน” ผู้ที่แต่งเป็นสาวใช้คนนั้นเอ่ยกับซ่งชูอี
เมื่อบุคคลนี้แต่งตัวเป็นผู้หญิงก็รู้สึกธรรมดามาก เพียงแต่รูปร่างสูงใหญ่เล็กน้อย ทว่าหลังจากผมเผ้าและเสื้อผ้าอยู่ในสภาพสะบักสะบอมแล้ว กลับเผยให้เห็นบุคลิกแห่งความกล้าหาญไม่น้อย
ซ่งชูอีพยักหน้า เอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าข้าน้อยต้องเรียกท่านเยี่ยงไร”
“ฮ่า ลืมไปแล้วเชียว ข้าน้อยเชออวิ๋น” เขากำหมัดเอ่ย
เชออวิ๋น เป็นคนของสกุลเชอในรัฐฉิน สกุลนี้เดิมทีเป็นสกุลเก่าแก่ของรัฐฉิน ทว่าในยุคสมัยของเซี่ยวกงก็ถูกลดสถานะเป็นตระกูลที่กึ่งทำนากึ่งอภิบาล ชีวิตแทบจะไม่ต่างกระไรจากชนเผ่าป่าเถื่อนในอี้ฉวีเลย และเพราะด้วยเหตุนี้จึงมีบุรุษผู้กล้าหาญมากมายในตระกูล
ซ่งชูอีคำนับกลับ “ไปกันเถิด ไม่อาจล่าช้าได้อีกแล้ว หลังจากถึงรัฐหานก็ยังสามารถพักผ่อนได้บ้าง หากมืดแล้วเกรงว่าจะไม่มีแม้แต่โอกาสได้พักหายใจ”
การเลือกที่จะข้ามผ่านด่านหานกู่ก็ต้องผ่านรัฐเว่ยซึ่งเป็นเส้นทางที่อันตรายยิ่ง ทว่าซ่งชูอีกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” จะต้องแพร่สะพัดไปสู่มือขององค์จวินรัฐต่างๆ แล้วอย่างแน่นอน เหล่าองค์จวินล้วนมีทัศนคติที่ค่อนข้างเชื่อว่าทฤษฎีนี้เกิดขึ้นและมีอยู่จริงเสมอมา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ท่าทีที่พวกเขามีต่อซ่งชูอีมีเพียงสองประเภท ก็คือใช้นางไม่ก็สังหารนาง
เดินทางจากรัฐหานตรงเข้าสู่รัฐฉิน หากหานจวินรับรู้จะไม่ไล่ล่าและสกัดกั้นหรอกหรือ?
ฉะนั้นแม้นว่าล้วนเสี่ยงอันตราย สู้เชื่อสายลับรัฐฉินแล้วเดินทางลัดจะดีกว่า
เมื่อหันไปมอง ซ่งชูอีพบว่าบัดนี้มือดาบที่มารับพวกเขาเมื่อคืนหายไปเกือบครึ่ง อดมิได้ที่จะทอดถอนใจ เคราะห์ดีที่คนของนางทั้งหมดยังอยู่ครบ
ขอบฟ้าสว่างแล้ว ทุกคนต่างมาถึงจุดที่อ่อนล้าที่สุดแล้ว แต่ยังไม่สามารถให้พวกเขาพักผ่อนได้ หลังจากหยุดพักหายใจเพียงครู่หนึ่งก็เดินทางต่อทันที
ระยะทางเจ็ดแปดลี้ ม้าเร่งความเร็ว ไม่ช้าก็มาถึงในเขตแดนของรัฐหานแล้ว
เชออวิ๋นคุ้นเคยกับเส้นทางนี้มาก หลังจากพาทุกคนเข้ารัฐหานมากกว่าสิบลี้ ก็หยุดพักข้างลำธารที่เงียบสงบสายหนึ่ง
เชออวิ๋นเห็นว่าซ่งชูอีมีท่าทางเหนื่อยล้ามาก สีหน้าเปี่ยมด้วยความอิดโรย อดที่จะขอโทษมิได้ “เดินทางครั้งนี้ลำบากท่านแล้ว”
“หนีเอาตัวรอดจะนั่งรถม้าคันใหญ่ได้หรือ?” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
เชออวิ๋นเห็นว่าซ่งชูอีสามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ ในใจก็รู้สึกดีเล็กน้อย บัดนี้เมื่อเห็นว่านางเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายก็ยิ่งชื่นชม
“เพียงแต่เสียดายสุภาพบุรุษเหล่านั้น!” ซ่งชูอีทอดถอนใจ จากนั้นก็หันหน้าไปทางรัฐเว่ย สะบัดแขนเสื้อค้อมคำนับยาวนาน
“พลีชีพเพื่อท่าน พลีชีพเพื่อต้าฉิน นับว่าตายอย่างมีเกียรติ” เชออวิ๋นก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคองนาง