กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 131 ซุ่มโจมตีเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน
รถม้าหยุดลง อิ๋งจื๋อถือกล่องไม้เคลือบเงากล่องหนึ่งเข้ามา โค้งคารวะแล้ววางสิ่งของลงตรงหน้าของซ่งชูอี “นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาทสั่งให้ข้านำมามอบให้ท่าน”
ซ่งชูอีกล่าวด้วยความสงสัย “สิ่งใดหรือ?”
อิ๋งจื๋อกล่าว “เป็นม้วนจดหมายจำนวนหนึ่ง”
ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง เปิดกล่องไม้เคลือบเงาแล้วหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมา คลี่ออกแล้วกวาดตาดูรอบหนึ่ง “ความหมายของท่านจวินคือ?”
“ฝ่าบาทมิได้มีรับสั่ง” อิ๋งจื๋อเอ่ย
ซ่งชูอีปิดม้วนไผ่ เคาะนิ้วอยู่บนโต๊ะแผ่วเบา
ความเคยชินของอิ๋งซื่อนี้แย่มากจริงๆ มีอะไรพระองค์ก็รับสั่งมาเถิด อย่าปล่อยให้คนอื่นต้องเดาเอาเองเลย
“อืม ข้าจะตั้งใจอ่าน” ซ่งชูอีกล่าว
อิ๋งจื๋อประสานมือเอ่ย “ลำบากท่านแล้ว”
ยังมิทันเข้าเสียนหยาง ก็ได้รับมอบหมายงานในมือเสียแล้ว ซ่งชูอีไม่เชื่อว่าอิ๋งซื่อนำสิ่งเหล่านี้ให้นางดูเพียงเพราะว่าต้องการให้นางเข้าใจสถานการณ์รัฐฉิน ดังนั้นหลังจากอิ๋งจื๋อลงจากรถไปแล้ว ซ่งชูอีจึงอ่านม้วนไผ่ทั้งหมดอย่างคร่าวๆ อีกครั้ง
นางค้นพบประเด็นสำคัญเพียงกวาดตามอง ใจความในจดหมายทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับการต่อต้าน “กฎหมายใหม่” และมากกว่าครึ่งหนึ่งกล่าวถึงรัฐหานและรัฐเว่ย นอกเหนือจากนี้คล้ายกับเป็นกังวลว่าหลังจากกฎหมายใหม่ถูกยกเลิกแล้ว ราชสำนักจะปั่นป่วน รัฐหานและเว่ยเป็นเหมือนเสือที่คอยจ้องเหยื่อและเกรงว่าจะฉวยโอกาสจากความผิดพลาดนี้บุกโจมตี
ทันใดนั้นซ่งชูอีนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ที่อิ๋งซื่อสร้างความสับสนและทำให้รัฐหานและรัฐเว่ยสู้รบกัน เขาคิดจะแก้ปัญหาการรุกรานจากต่างรัฐนี้จริงหรือ
ดูผิวเผินก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้ ทว่าในความเป็นจริงแล้วการแก้ปัญหาการรุนรานจากสองรัฐนี้มิได้มีผลดีใดๆ ต่อสถานการณ์ของรัฐฉินเลย ครั้นไร้การรุนรานจากต่างรัฐ ความโกลาหลภายในก็จะยิ่งโดดเด่นขึ้น ดังนั้นซ่งชูอีจึงบังอาจคาดเดาว่าอิ๋งซื่อจงใจแสดงข้อบกพร่องออกมา ทำให้รัฐหานและเว่ยมีความแค้นต่อรัฐฉิน สร้างแรงกดดันจากภายนอก เขาจะได้มีข้ออ้างในการปลุกระดมให้ทุกระดับชั้นในรัฐฉินต่อสู้กับภายนอกด้วยมติเป็นเอกฉันท์ อย่างไรก็ตามความบาดหมางระหว่างฉินและซานจิ้น[1]ก็มิได้มีเพียงเท่านี้ เพิ่มประเด็นนี้เข้าไปก็ไม่มากกระไร
เช่นนั้น อิ๋งซื่อต้องการให้นางทำอะไรกันเล่า?
ซ่งชูอีคลี่จดหมายออกแล้วอ่านอย่างละเอียด
อ่านไปอ่านมาก็หมดวันแล้ว เจียนกับหนิงยาคุกเข่ารอรับใช้อยู่ภายนอกรถ ขาของทั้งสองล้วนด้านชาแล้วแต่นางยังคงเขียนอะไรบางอย่างอยู่ พวกเขาไม่เคยเห็นซ่งชูอีเช่นนี้มาก่อน ในความทรงจำของพวกเขา เวลาส่วนใหญ่แล้วซ่งชูอีมักมีท่าทีเกียจคร้าน แม้นจะจริงจังก็เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ใครจะไปคิดว่านางยังมีช่วงเวลาที่พากเพียรเช่นนี้
อากาศแจ่มใสยิ่ง อุณหภูมิปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อนนั้นกำลังพอดิบพอดี ฉะนั้นเมื่อถึงเวลารับประทานอาหารเย็น อิ๋งจื๋อจึงสั่งให้หยุดพักผ่อนชั่วคราว เพื่อหุงหาอาหารบนพื้นที่ราบ
บริเวณค่ายทหารมีน้ำตกเล็กๆ สายหนึ่ง สายน้ำไหลซู่สะท้อนแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน งดงามมาก
ซ่งชูอีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ มองดูน้ำตกนั้นเนิ่นนาน จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยจึงเอ่ยปากขึ้น “ฮ่วน หาเวลาไปสืบข่าวปู้วั่งบ้างเถิด”
“อืม” จี้ฮ่วนตอบรับเสียงหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยความแปลกใจ “ท่านรู้ได้เยี่ยงไรว่าเป็นข้า?”
ซ่งชูอีหันหลับไป เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “เท้าใหญ่คล้ายพัดที่เดินจนพื้นดินและหุบเขาสั่นไหว หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นผู้ใด?”
จี้ฮ่วนเป็นผู้ที่นำทัพเข้าสู่สงคราม มิได้มีภารกิจสายลับ ฉะนั้นโดยปกติแล้วจึงมิได้ระวังน้ำหนักของฝีเท้าตน
“ท่านแม่ทัพเชอมาแล้ว!” มีความวุ่นวายเล็กน้อยท่ามกลางฝูงชนที่กำลังพักผ่อนอยู่ทางนั้น
ซ่งชูอีมองตามสายตาของทุกคนไปยังถนนหลวง เห็นว่าเชออวิ๋นกำลังขี่ม้ามาพอดี แสงอาทิตย์สีแดงทองส่องแสงไปยังฝุ่นควันที่ลอยฟุ้งใต้เกือกม้า เชออวิ๋นในชุดเครื่องแต่งกายสีดำที่แข็งแกร่งดูดีกว่าปกติมาก
“ท่าน” เชออวิ๋นหยุดอยู่บนถนนหลวง พลิกตัวลงจากม้า โยนบังเหียนในมือไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชา เดินก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา
“พี่เชอกระทำการได้เยี่ยงท่านจวินโดยแท้!” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
เชออวิ๋นก็ยิ้มเอ่ยเช่นกัน “ท่านชมเกินไปแล้ว”
เบื้องบนปฏิบัติตัวอย่างไรเบื้องล่างก็ต้องปฏิบัติตาม คำพูดนี้ไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าอิ๋งซื่อจะพูดจาหรือทำงานก็ไม่เคยยืดเยื้อ นิสัยความฉับไวนี้จึงได้รับการถ่ายทอดต่อไปยังชาวฉินโดยสมบูรณ์
เชออวิ๋นกล่าว “เดิมทีนึกว่าคงต้องใช้เวลาพูดคุยกันบ้าง ทว่าครั้นข้ากับสหายแซ่เจ้าไปถึง บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของปรมาจารย์สำนักม่อท่านนั้นอยู่ที่นั่นพอดี พวกเขาเห็นคุณสมบัติของสหายแซ่เจ้าก็ต่างร้องแย่งรับตัวเขาเป็นศิษย์ นับว่าเป็นการก้มศีรษะฝากตัวเป็นศิษย์ที่ราบรื่นยิ่ง”
“ราบรื่นได้เพียงนี้ นับว่าเป็นความโชคดีของเขาโดยแท้” ซ่งชูอีก็รู้ว่าเงื่อนไขในการรับศิษย์เข้าสำนักม่อนั้นเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อเชออวิ๋นกล่าวว่าผู้นั้นคือปรมาจารย์แห่งสำนักม่อก็แสดงให้เห็นว่ามีตำแหน่งสูงสูง การที่ได้ก้มศีรษะฝากตัวเป็นศิษย์นับว่าเป็นประโยชน์ต่อเจ้าอี่โหลวเหลือคณา
เชออวิ๋นพยักหน้า “มีเพียงผู้ยิ่งใหญ่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเข้าใจทักษะด้านกลยุทธ์ที่ครอบครองใต้หล้าแห่งสำนักม่อ ปรมาจารย์ท่านนี้เป็นศิษย์ที่สืบทอดจากม่อจื่อโดยตรง หากโชคดีพอที่จะเรียนรู้สักหนึ่งหรือสองอย่าง ก็นับเป็นวาสนาของสหายแซ่เจ้าอย่างแท้จริง!”
“หากกล่าวเช่นนี้ ต่อไปสหายแซ่เจ้าก็จะเป็นคนของสำนักม่อแล้ว!” จี้ฮ่วนเอ่ย
“แน่นอนอยู่แล้ว” เชออวิ๋นตอบ
จี้ฮ่วนรู้จัก “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของซ่งชูอี เรื่องนี้มิใช่เรื่องดีสำหรับนางเท่าไรนัก สำนักม่อสนับสนุนความรักหาใช่การต่อสู้ ในขณะเดียวกันก็โจมตีเหล่าทรราชทั้งหมดด้วยตัวหนังสือและวาจา อีกทั้งยังสำแดงกำลังอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงถูกใต้หล้าขนานนามว่าเป็น “จอมยุทธ์แห่งการเมือง” และเกรงว่าทันทีที่“การโค่นรัฐ” ของซ่งชูอีสำเร็จผลแล้ว คนแรกที่จะต่อต้านก็คือสำนักม่อ
อย่างไรก็ดีซ่งชูอีก็ไม่กังวล หลังจากที่ม่อจื่อสิ้นใจ กำลังภายในของสำนักม่อก็ค่อยๆ แตกแยก ความยิ่งใหญ่ของมันก็ไม่เทียบเท่าเก่าก่อนแล้ว หากนางเสริมสร้างความเข้มแข็งของตนเองก่อนที่ปลดปล่อยทฏษฎีการโค่นรัฐออกมา สำนักม่อก็ไม่สามารถทำอะไรนางได้อย่างง่ายดายนัก
“ไม่มีปัญหา สนับสนุนความรักต่อต้านการต่อสู้ ก็มิได้ขัดแย้งกับความสงบนิ่งและไม่ยึดติด” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย
มุมปากของจี้ฮ่วนและเชออวิ๋นกระตุกขึ้น ในใจคิดเหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย ‘การกระทำของท่านมิใช่ความสงบนิ่งและไม่ยึดติดเสียหน่อย!’
“ท่าน ได้เวลาอาหารแล้วขอรับ” นายทหารท่านหนึ่งเข้ามากล่าว
ซ่งชูอีพักเรื่องราวต่างๆ นานาไว้ชั่วคราว เดินไปยังโต๊ะตัวเตี้ยที่ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว
หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จแล้วก็พักผ่อนครู่หนึ่ง อิ๋งจื๋อจัดแจงขบวนเตรียมพร้อมออกเดินทาง ซ่งชูอีลุกขึ้นยืนกำลังจะขึ้นรถ ด้านหลังก็มีคนตะโกนขึ้น “มีมือธนู!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ซ่งชูอีก็ถูกคนผลักล้มลงไปกับพื้น จากนั้นก็มีเสียงวัตถุพุ่งแหวกอากาศดังฟิ้วอยู่เหรือศีรษะ ลูกศรดอกหนึ่งเสียบเข้ากับผนังรถและหางของลูกศรส่งเสียงวิ๊งๆ
ทหารรอบๆ วาดดาบออกมาเพื่อคุ้มกันซ่งชูอีทันที
ทว่า ผ่านไปเนิ่นนาน ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก
“มีคนซุ่มโจมตี” เชออวิ๋นกล่าว
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นไม่มีท่าทีที่จะพุ่งออกมาล้อมสังหาร เพียงแต่ลอบยิงธนูจากที่ลับ คาดว่าจำนวนคนก็มีไม่มาก
“ท่านแม่ทัพเชอ จะตามไปหรือไม่?” อิ๋งจื๋อเอ่ยถาม
“ช่างเถิด เราไม่รู้จำนวนฝ่ายตรงข้ามที่ชัดเจน อย่าเสี่ยงกระจายกำลัง” เชออวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แม่งเอ๊ยเจ้าลุกขึ้นมาสิ! ข้ามิได้ถูกธนูยิงตาย แต่ประเดี๋ยวก็จะถูกเจ้าทับตายแล้ว!” ซ่งชูอีคำรามสุดกำลัง
จี้ฮ่วนลุกขึ้นมาจากร่างของซ่งชูอี เอื้อมมือประคองนาง “ท่านไม่เป็นอะไรนะ?”
เมื่อครู่นางถูกพุ่งทับเยี่ยงนั้น มีความรู้สึกเหมือนอวัยวะแตกหักเล็กน้อยจริงๆ
“ใครกันที่กล้าลอบยิงธนูในรัฐฉินเช่นนี้!” เชออวิ๋นสีหน้าบูดบึ้ง
[1] ซานจิ้น เดิมเป็นชื่อเรียกของรัฐเจ้า รัฐเว่ย และรัฐหานในยุคจั้นกั๋ว ต่อมาได้พัฒนาเป็นชื่ออื่นสำหรับมณฑลชานซี