กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 176 แช่น้ำด้วยกันเถิด
อากาศในรัฐสู่แจ่มใสมาก บาดแผลบนร่างกายของซ่งชูอีดีขึ้นบ้างแล้ว จึงให้จี๋อวี่ไปเดินเล่นที่ดินแดนแห่งสวรรค์เป็นเพื่อนนาง
ท้องฟ้าสีครามกว้างไกล ทะเลสาบใสดุจกระจกสะท้อนให้เห็นต้นเฟิงสีแดง ต้นซิ่งสีเหลืองและต้นสนสีเขียวโดยรอบ แสงแดดยามบ่ายอบอุ่น สายลมโชยเอื่อย ซ่งชูอียืนอยู่ใต้ต้นแปะก๊วยร้อยปีข้างทะเลสาบพร้อมสอดมือไว้ในแขนเสื้อ หรี่ตาเพลิดเพลินกับช่วงเวลาแห่งความเงียบสงบที่หาได้ยากยิ่ง
จี๋อวี่ยืนสองมือค้ำดาบอยู่ข้างนาง ก้มหน้าลงมองใบแปะก๊วยในน้ำที่ถูกลมพัดไหวเล็กน้อยจนทำให้เกิดระลอกคลื่น
หากมิใช่เพราะใบไม้หล่นร่วง มันก็ดูเสมือนภาพวาดจริงๆ
ท่ามกลางความเงียบสงบนั้น เสียงย่ำใบไม้ดังสวบๆ ดังขึ้น เสียงนั้นเข้ามาใกล้ทีละน้อยๆ ซ่งชูอีหลับตา ริมฝีปากยกยิ้มเบาบาง
จากนั้นไม่นาน เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้น “ใช่ท่านหวยจินหรือไม่?”
“ใคร?” จี๋อวี่หันกลับไปมอง
ผู้มาเยือนสบสายตาของจี๋อวี่ พลันหัวใจเย็นวาบ ลอบอุทานในใจ แววตาช่างแหลมคมนัก!
ซ่งชูอีหันหลังกลับไป ครั้นเห็นชายวัยกลางคนก็ยิ้มเอ่ยน้อยๆ “ใต้เท้าเหิง”
จูเหิงเหลือบมองจี๋อวี่อีกครั้ง ลังเลครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปหาซ่งชูอี มีรอยยิ้มบนใบหน้า “ทัศนียภาพดินแดนสวรรค์งดงาม ท่านช่างรื่มรมย์โดยแท้!”
“หัวใจมีอิสระ อยู่แห่งใดก็รื่นรมย์ ใต้เท้าเหิงคิดว่าเยี่ยงไร?” ซ่งชูอีเอ่ย
อย่างเช่นบัดนี้จูเหิงกับซ่งชูอีต่างยืนอยู่ที่นี่ ทว่าในใจของจูเหิงกลับมิได้รื่นรมย์เลย
จูเหิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านชาญฉลาดยิ่งนัก ครั้งนี้ข้าน้อยมาหาท่านโดยเฉพาะ! ท่านทำให้ข้าน้อยตามหาอยู่นานนมแล้วจริงๆ!”
จี๋อวี่ได้ยินดังนี้ก็ชำเลืองมองซ่งชูอีเล็กน้อย หลายวันก่อนเพราะว่าซ่งชูอีได้รับบาดเจ็บทางร่างกายจึงพักฟื้นอยู่ในลานเล็ก มิได้ออกมาข้างนอกเลย วันนี้นางมาที่ดินแดนแห่งสวรรค์ เกรงว่าตั้งใจมารอจูเหิงกระมัง!
ซ่งชูอีไม่ได้อธิบาย เพียงแต่ถามว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าเหิงตามหาข้ามีเรื่องสำคัญอะไร?”
“ช่วงหลังนี้ฝ่าบาททรงค่อนข้างพึงพอใจในเพศชาย” จูเหิงจับจ้องซ่งชูอี น่าเสียใจที่เขาไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในใบหน้าของนางเลย จึงพูดต่อ “ได้ยินว่าท่านรู้จักชายหนุ่มผู้หนึ่ง แซ่หมิ่นนามว่าจื๋อห่วน…ข้าน้อยตามหาติดต่อกันสองวัน
เมื่อวานเกือบจะจับเขาได้อยู่แล้ว แต่ถูกทหารกล้าตายของเขาเข้ามาขวาง บัดนี้บุคคลผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าคงหนีไปได้ไม่ไกล หากต้องการจะจับเขาคงไม่ยาก ทว่าข้าน้อยคิดไปคิดมาแล้ว มีบางเรื่องไม่ใคร่เข้าใจ จึงมาหาท่านเพื่อขอคำชี้แนะ”
“ใต้เท้าเหิงเชิญกล่าว” สีหน้าของซ่งชูอียังคงยิ่งเฉยเหมือนในตอนแรก
จูเหิงจึงเลิกสังเกตนางโดยสิ้นเชิง เอ่ยถามโดยตรง “ท่านรู้สถานะของบุคคลผู้นี้หรือไม่ เหตุใดข้างกายเขาจึงมีทหารกล้าตายคอยปกป้อง?”
“เหตุใดใต้เท้าเหิงจึงนุ่มนวลเช่นนี้? ทุกคนใต้หล้าต่างรู้ว่าข้ากับหมิ่นฉือมีความขัดแย้งต่อกัน ข้าไม่ปฏิเสธว่าการที่กราบทูลเรื่องเขาให้ฝ่าบาทฟัง เพราะค่อนข้างมีเจตนาที่จะแก้แค้น” ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ปัดใบไม้ที่ร่วงบนไหล่ออก เลิกคิ้วมองจูเหิง “บัดนี้เขาสวามิภักดิ์ต่อรัฐเว่ย ชาวเว่ยพาทหารกล้าตายลอบเข้ารัฐสู่ ใต้เท้าเหิงมีความเห็นเยี่ยงไร?”
สีหน้าของจูเหิงกลับกลายเป็นเคร่งเครียด ก่อนหน้านี้เขาคิดเพียงว่าสถานะของหมิ่นฉือไม่ธรรมดาและยังเคยตั้งใจส่งคนไปสืบ ได้ยินข่าวลือมาจากคนสองคนบ้างทว่าไม่รู้ลึกในรายละเอียด ด้วยเหตุนี้จึงสงสัยว่าซ่งชูอีจงใจแนะนำชายผู้นี้ให้กับ
ฝ่าบาท อาจจะมีแผนร้าย ทว่าเมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว นักยุทธศาสตร์แห่งรัฐเว่ยพากลุ่มทหารกล้าตายเข้ามาในรัฐสู่ แน่นอนว่าคงมิได้มาช่วยรัฐสู่สร้างนครกระมัง!
คิดพลางสายตาของจูเหิงก็หยุดอยู่ที่จี๋อวี่เป็นครั้งคราว
ความหมายนั้นชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ‘ท่านก็พาทหารกล้าตายมามิใช่หรือ?’
ซ่งชูอีกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ถือเสียว่าเขามีความสงสัยใคร่รู้ในตัวจี๋อวี่จึงยิ้มเอ่ย “ท่านนี้คือจี๋อวี่ เป็นสหายที่ข้าน้อยรู้จักในรัฐเว่ย”
“อ้า ยินดี ยินดี!” จูเหิงประสานมือคำนับ “ฉับพลัน”
จี๋อวี่กำหมัดคำนับตอบ
“ใต้เท้าเหิงยังมีเรื่องอื่นหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
จูเหิงเห็นว่าซ่งชูอีส่งแขกด้วยความอ่อนหวาน คิดว่าความสงสัยของตนเมื่อครู่อาจทำให้นางหงุดหงิดใจ จึงไม่กล้าที่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ทำได้เพียงประสานมือเอ่ย “ข้าน้อยมีคำขอหนึ่งที่ไม่ใคร่เหมาะสมนัก หากล่วงเกินประการใดได้โปรดท่านให้อภัยด้วย”
“ใต้เท้าเหิงกล่าวมาอย่าได้เกรงใจ หากอยู่ภายใต้ขอบเขตความสามารถ ข้าน้อยก็จะไม่ปฏิเสธ” ซ่งชูอีเห็นว่าใบหน้าของจูเหิงมีสีสันเล็กน้อย จึงกล่าวต่อ “ข้าน้อยมีความรู้สึกท่วมท้นต่อทัศนียภาพอันงดงามแห่งรัฐสู่ บัดนี้ได้ลาออกจากตำแหน่งราชการในรัฐฉินแล้ว วางแผนที่จะเตร็ดเตร่อยู่ในรัฐสู่ อย่างน้อยหลายเดือน อย่างมากก็สามถึงห้าปี ไม่ก็ลงหลักปักฐาน ทว่า
ชนเผ่าในรัฐสู่มีมาก ถนนหนทางสลับซับซ้อน ในภายภาคหน้าเกรงว่าจะต้องให้ใต้เท้าเหิงช่วยดูแลแล้ว”
ครั้นนึกถึงการแสดงออกต่างๆ นานาเมื่อซ่งชูอีมาถึงรัฐสู่ครั้งแรก จูเหิงก็เชื่อในคำพูดของนางทันทีเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว เขาตอบรับคำขอเล็กน้อยเหล่านี้โดยไม่ครุ่นคิดด้วยซ้ำ “เรื่องเล็กน้อย! หากท่านมีความลำบากใดขอเพียงบอกข้า”
ในเมื่อซ่งชูอีมีคำขอ จูเหิงก็กล่าวคำขออีกครั้งด้วยความกล้าหาญที่เพิ่มมากขึ้น “หลายวันนี้ฝ่าบาทมีอารมณ์ดื้อรั้นอีกแล้ว บอกว่าจะต้องจับตัวหมิ่นฉือมาให้ได้ ท่านก็เข้าใจสงครามระหว่างปาฉู่เป็นอย่างดี บัดนี้รัฐฉู่มีความได้เปรียบกว่า แม้ว่ารัฐสู่ของข้าจะไม่ลงรอยกับรัฐปาเสมอมา ทว่าฝ่าบาทเคลื่อนไหวกองกำลังสามหมื่นนายเพื่อตามหาชายหนุ่มเพียงผู้เดียว เป็นการหักกระดูกสันหลังเพื่อเชื่อมต่อเอ็นที่ขาด ในความเป็นจริงแล้ว…ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีเลย”
จูเหิงถอนหายใจอย่างจนปัญญา ค้อมคำนับต่ำ “ข้าเห็นว่าฝ่าบาทค่อนข้างถูกคอกับจวงจื่อและท่าน ต้องการจะเชิญให้ท่านเกลี้ยกล่อมฝ่าบาท เหิง ขอคำนับขอบคุณตรงนี้แล้ว!”
ซ่งชูอีเดินหน้าเข้าไปสองสามก้าว เอื้อมมือประคองเขา “ใต้เท้าเหิงไม่จำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้ ตอนที่ข้าแนะนำชายผู้นี้ให้ฝ่าบาทนั้น ที่จริงก็มิได้คิดว่าฝ่าบาทจะใส่ใจมากจนนำพาเหตุการณ์มาถึงวันนี้ หากสามารถเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทได้ ข้าก็ควรทำ”
“หามิได้ นักวางแผนยุทธศาสตร์แห่งรัฐเว่ยพาทหารกล้าตายเข้ารัฐสู่ นับว่าโชคดีมากที่มีท่านเตือนสติ” จูเหิงกล่าว
สองคนชมเชยกันเองสองสามคำ จากนั้นก็พลางพูดพลางหัวร่อเข้าหวังเฉิงไปด้วยกัน
การได้พูดคุยกันครั้งนี้ทำให้ซ่งชูอีมีความเห็นต่อจูเหิงที่เปลี่ยนไป เดิมทีนึกว่าจูเหิงเป็นเพียงคนที่มีจิตใจคับแคบ บัดนี้กลับได้รู้ว่า การที่เขาไม่เคยออกไปข้างนอกก็เพราะถูกปิดล้อมไปด้วยหุบเขาสูงแห่งนี้ ดังนั้นความเข้าใจที่เขามีต่อจงหยวนจึงมิได้ละเอียดนัก ทว่าความสามารถกับความจงรักภักดีที่เขามีต่อรัฐสู่นั้นกลับไร้ข้อสงสัยใดๆ
ซ่งชูอีกับจี๋วอี่ไปยังพระราชวังโดยตรงภายใต้การนำทางของจูเหิง
รอที่นอกท้องพระโรงครู่หนึ่ง คนส่งสารก็มาเชิญซ่งชูอีเข้าไป
เนื่องจากซ่งชูอีหารือเรื่องการปกครองกับสู่อ๋องน้อยมาก ส่วนมากจะเป็นเรื่องแปลกใหม่น่าสนใจเสียมากกว่า ดังนั้นนางจึงได้ใจของสู่อ๋อง หลายวันนี้เขากำลังถูกเหล่าขุนนางโน้มน้าวจนหัวหมุน สตรีในวังหลังก็หน้าตาทั้งหยาบโลนทั้งไร้ความนุ่มนวล เขาหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก ในเวลานี้ได้ยินว่าซ่งชูอีมาเข้าเฝ้าจึงรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นทันใด
ขันทีนำทางซ่งชูอีผ่านท้องพระโรงหลัก เดินเลี้ยวไม่รู้ว่ากี่ซอกหลืบก่อนมาถึงสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ครั้นรู้สึกถึงอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ซ่งชูอีรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดีนัก
ทันทีที่นางคิดถึงตรงนี้ก็ได้ยินเสียงของสู่อ๋องดังขึ้น “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่านหวยจิน ลงมาแช่น้ำกับกว่าเหรินสักครู่หนึ่งเถิด”
ที่แท้ตรงนี้ก็คืออ่างน้ำร้อน พื้นที่ไม่ใหญ่มากทว่าคุณภาพของน้ำดียิ่ง จึงใช้ประโยขน์โดยสร้างเป็นบ้านครึ่งหนึ่งและห้องอาบน้ำครึ่งหนึ่ง
“ฝ่าบาททรงหวังดี หวยจินซาบซึ้งยิ่งแล้ว” ซ่งชูอีถอยหลังไปหนึ่งก้าว หลบพวกบ่าวที่เข้ามาช่วยนางเปลี่ยนเสื้อ
“ฝ่าบาทก็รู้ว่าหลายวันก่อนหวยจินได้รับบาดเจ็บแล้ว แผลตกสะเก็ดยังไม่หลุดออก ลงไปในน้ำไม่สะดวกจริงๆ”
“อืม หลายวันนี้กว่าเหรินถูกรังควานจนปวดหัว ความจำก็ไม่ค่อยดีแล้ว” สู่อ๋องกล่าวอย่างเกียจคร้าน
ซ่งชูอีหลุบตาลง เห็นร่างเปลือยเปล่าของสู่อ๋องในอ่างน้ำร้อนได้อย่างชัดเจน ไอร้อนพวยพุ่ง ทว่าน้ำใสมากสามารถเห็นภายในได้อย่างชัดเจนยิ่ง
“ฝ่าบาทน่าเกรงขามโดยแท้” ซ่งชูอีกล่าวชมด้วยใจจริง
ไม่สำคัญว่านางจะชมตรงไหน ก็เป็นบุรุษเพศนี่นา ไม่ว่าตรงไหนน่าเกรงขามก็นับว่าไม่เลวแล้ว สู่อ๋องหัวเราะมีความสุข สั่งคนให้ยกที่นั่งให้ซ่งชูอี
แม้ว่าซ่งชูอีไม่มีความสนใจจะชมเขาอาบน้ำสักเท่าไร แต่ว่าในเมื่อเขาไม่ถือสา นางมีอะไรน่าเหนียมอายกัน? ดังนั้นจึงนั่งลงอย่างเปิดเผยแล้วเริ่มคุยสัพเพเหระกับสู่อ๋อง