กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 180 สู่อ๋องฟาดฟันราชทูตฉิน (2)
ครั้นออกมาจากดินแดนแห่งสวรรค์แล้ว ซ่งชูอีก็ชำระล้างร่างกายอยู่ภายในจวนของจูเหิงก่อนตามเขาเข้าวังไปเข้าเฝ้าสู่อ๋อง
ฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิในรัฐสู่นั้นแตกต่างกันไม่มาก ทั้งชื้นและเย็นเล็กน้อยเหมือนกัน ทว่าแตกต่างจากหล่งซีโดยสิ้นเชิง
ทั้งสองรออยู่นอกท้องพระโรง บ่าวรับใช้เข้าไปกราบทูล สักครู่ก็กลับออกมาให้พวกเขาเข้าไป
ทันทีที่เข้าไปยังท้องพระโรง ซ่งชูอีก็ประหลาดใจ ท้องพระโรงที่อยู่ในสภาพดีในตอนแรกถูกขุมเป็นหลุมขนาดใหญ่และสร้างเป็นสระน้ำรูปวงรี ข้างในมีใบบัวลอยอยู่พร้อมเงาของเหล่ามัจฉาที่แหวกว่ายอยู่เบื้องล่าง ตั่งนุ่มๆ วางอยู่ข้างสระน้ำ
สู่อ๋องถือกำลังคันเบ็ดนอนเอนกายอยู่ด้านบนเพื่อตกปลาในสระ สาวใช้สองคนนั่งคุกเข่าอยู่หน้าตั่งนวดขาให้เขาเบาๆ
ดูเหมือนว่าใบหน้าที่หยาบโลนของสู่อ๋องอวบอิ่มกว่าเดิมมากอย่างเห็นได้ชัด
จูเหิงมิกล้าเอ่ยปากรบกวน แน่นอนว่าซ่งชูอีก็ไม่รีบร้อนไปกระตุกหนวดเสือ
ภายในท้องพระโรงอบอุ่น ซ่งชูอีรู้สึกง่วงซึมเล็กน้อย ไม่รู้ว่ายืนอยู่นานเท่าใด ในขณะที่ซ่งชูอีรู้สึกง่วงนอนถึงขีดสุด ก็ได้ยินเสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังขึ้น นางตกใจจนแทบยืนไม่อยู่ เสียงน้ำกระเซ็นของปลาในสระน้ำซ่อนเร้นอาการเสียมารยาทเล็กน้อยของนาง
“เจ้าปลาโง่เหล่านี้ไม่รู้จักมาติดเบ็ดให้กว่าเหรินได้ดีใจ! จับพวกมันเอาไปตากแดดให้กว่าเหรินให้หมด!” สู่อ๋องลุกขึ้นมาจากตั่ง คำรามเสียงดัง
“เพคะ” สาวใช้สองคนถกแขนเสื้อขึ้นทันทีแล้วลงไปในสระน้ำเย็นเพื่อจับปลา ขันทีรีบหยิบแหตามมา ลงน้ำไปช่วยอย่างเงียบๆ
ซ่งชูอีอดไม่ได้ที่จะลอบอุทานอยู่ในใจ การเป็นบ่าวรับใช้สู่อ๋องนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ นอกจากต้องดูแลเอาใจใส่เขาอย่างทั่วถึงแล้ว ยังต้องนวดขาและลงน้ำด้วย
ครั้นสู่อ๋องเห็นจูเหิงแล้วก็ยิ่งโมโหกว่าเดิม “เจ้าไม่ต้องมาโน้มน้าวข้า! บัดนี้ข้าคิดดีแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปเที่ยวที่ด่านเจียเหมิงระหว่างทางก็จะไปรับหญิงงามจื่อเฉาด้วยตัวเอง”
เพิ่งจะสิ้นวาจาก็จับจ้องไปยังคนที่อยู่ข้างจูเหิงด้วยดวงตาเบิกโพลง เอ่ยอย่างเหลือเชื่อ “ซ่งหวยจิน?”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทสายพระเนตรยอดเยี่ยม กระหม่อมเอง”
“เจ้าถูกฟ้าผ่ามารึ?” สู่อ๋องเดินลงบันได โน้มตัวมองซ่งชูอีอย่างใกล้ชิด หัวเราะเสียงดัง “ไหม้ๆ ดำๆ เมื่อครู่กว่าเหรินเพียงกวาดตามองจำไม่ได้จริงๆ ท่านได้โปรดอย่าถือสา!”
ซ่งชูอีลูบคลำใบหน้าพร้อมเอ่ย “จริงหรือ? กระหม่อมยังมิทันได้ส่องกระจก”
สู่อ๋องลากนางมายังข้างสระ ชี้เข้าไปในน้ำแล้วพูดว่า “เจ้าดูสิ”
ซ่งชูอีก้มลงมองทว่ามันมิได้เกินจริงดังที่สู่อ๋องกล่าวเลย เพียงแค่ต่างจากสามเดือนก่อนอย่างที่เรียกได้ว่ากลับตาลปัตรเท่านั้นเอง นางสูงขึ้นเล็กน้อยภายในระยะเวลาอันสั้น บวกกับผอมคล้ำลงมาก ดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นด้วย หากมองอย่างละเอียดคิ้วตาบนใบหน้าอันบอบบางกำลังเติบโตขึ้น แสดงให้เห็นความเกรงขามของนางอย่างชัดเจน
อาจเป็นเพราะไม่ได้ประสบกับความทุกข์ทรมานดังเช่นชาติที่แล้ว ทั้งๆ ที่เป็นใบหน้าดวงเดียวกัน ทว่ากลับดูดีกว่าชาติที่แล้วเล็กน้อย
“มันยากมากที่ใต้เท้าเหิงจดจำกระหม่อมได้” ซ่งชูอีอุทาน
“สายตาของเหิงไม่เลวจริงๆ” สู่อ๋องมองไปยังจูเหิง
สู่อ๋องเพิ่งบอกว่าตัวเองจำไม่ได้ จูเหิงจะกล้ากล่าวว่าเขาจำได้ก่อนได้เยี่ยงไร รีบเอ่ยขึ้น “ที่จริงกระหม่อมยังมิกล้ามั่นใจว่าเป็นท่านหวยจินจริงๆ จนกระทั่งฝ่าบาทเอ่ยชี้ชัดให้เห็น ก่อนหน้านี้กระหม่อมจำได้เพียงมือดาบข้างกายท่านหวยจิน…”
มุมปากซ่งชูอีสั่น อ๋องกับขุนนางคู่นี้ช่างไร้สาระสิ้นดี! ทว่าเห็นได้ชัดว่าสู่อ๋องมีความสุขมาก หัวเราะเสียงดังไม่หยุด
รอจนกระทั่งเขาหัวเราะเสร็จแล้ว ซ่งชูจึงกล่าวขึ้น “เมื่อครู่ฝ่าบาทกล่าวว่าจะออกไปเที่ยวที่ด่านเจียเหมิงหรือ?”
“ถูกต้อง” สู่อ๋องพยักหน้า “ในเมื่อชาวฉินไม่มีปัญญาส่งหญิงงามจื่อเฉามาให้ กว่าเหรินก็จะไปรับนางด้วยตัวเอง”
“สตรีผู้นั้นสามารถได้รับความรักจากฝ่าบาทเช่นนี้ จะต้องซาบซึ้งเป็นล้นพ้น” ซ่งชูอีเอ่ย
เหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนต่อต้านความปรารถนาของเขาและต้องการต่อสู้กับเขา สู่อ๋องโศกเศร้าเนิ่นนาน อุตส่าห์ได้พบกับคนที่เห็นด้วยกับความคิดของเขาก็ย่อมมีความสุขมากเป็นธรรมดา
ทั้งสองคนคุยกันอย่างไร้ขอบเขต จูเหิงแอบร้อนใจ สู่อ๋องคิดจะไปเที่ยวที่ใดก็ไปตามใจนึก อย่างไรก็ตามเขาเคยชอบเดินทางไปทุกที่ ไม่เคยอยู่ในหวังเฉิงกว่าปีครึ่ง ทว่าจะสังหารราชทูตฉินไม่ได้เป็นอันขาด อย่าว่าแต่ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองรัฐจะถูกตัดขาดเลย ลำพังเพียงชูหลี่จี๋ผู้นั้นเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของฉินกง หากเขามีอันเป็นไปในรัฐสู่ ฉินกงไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่
อันที่จริง รัฐฉินและสู่รบรากันบ่อยครั้งเป็นเวลาหลายร้อยปี จำนวนชัยชนะของรัฐฉินมีเพียงหยิบมือเท่านั้น ทว่ามันก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ชาวสู่จึงไม่เคยมองรัฐฉินอยู่ในสายตาเลย ทว่าปาและฉู่กำลังสู้กันอย่างร้อนแรง หากทางนี้จะรบกันอีก…ไม่ว่าจะมองเยี่ยงไรสถานการณ์ก็ไม่สู้ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นมันก็มิใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้มันตึงเครียด
“ฝ่าบาททราบหรือไม่ว่าเหตุใดชูหลี่จี๋จึงไม่อาจพาจื่อเฉาเข้ามา?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
จูเหิงถอนหายใจเอ่ย ในที่สุดก็เขาประเด็นเสียที
“เพราะเหตุใด?” ครั้นเอ่ยถึงชูลี่จี๋ รอยยิ้มบนใบหน้าของสู่อ๋องก็หายไป คิ้วขมวดเข้าหากัน
ซ่งชูอีประหลาดใจเล็กน้อย หากเป็นเพราะประโยคนั้นเพียงประโยคเดียว สู่อ๋องก็คงไม่เกลียดชังชูหลี่จี๋ถึงเพียงนี้! คิดพลางนางก็ชายตามองจูเหิงด้วยความรวดเร็ว
จูเหิงรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง หลุบตาลงจ้องชายเสื้อตัวเอง
ครั้นเห็นดังนี้ ซ่งชูอีก็ไม่มีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก ลอบด่าว่า “สารเลว” จากนั้นก็กล่าวในหัวข้อเมื่อครู่ต่อทันที “ผิวพรรณของหญิงงามอาจแตกหักได้ ขี่ม้าก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการได้รับบาดเจ็บ บวกกับสายลมและแสงแดด แม้ฝ่าบาทไม่รังเกียจที่หญิงงามจะมีรูปลักษณ์เยี่ยงหวยจิน แต่เกรงว่าราชทูตฉินอาจไม่สามารถให้คำอธิบายได้”
“ที่พูดมาก็ถูก” สู่อ๋องรู้สึกว่ามันน่าสนใจทว่าเมื่อนึกถึงชูจี๋หลี่แล้ว อดที่จะยิ้มเย็นชามิได้ “ชูหลี่จี๋สารเลวผู้นั้น กว่าเหรินเห็นก็ไม่ถูกชะตากับเขาตั้งแต่แรกแล้ว จะต้องเฉือนเขาให้ได้!”
แน่นอนว่ามีความหม่นหมองใจตั้งแต่แรกแล้ว ซ่งชูอีพิจารณาถ้อยคำครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “บุคคลผู้นี้ทำอะไรให้ขุ่นพระทัยเช่นนั้นหรือ?”
สู่อ๋องกริ้วหนัก ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยเจอกับการดูแคลนเช่นนี้มาก่อน “อย่าเอ่ยถึงเขาอีก กว่าเหรินปวดหัว”
“เส้นทางสู่รัฐสู่เดินทางลำบาก” ซ่งชูอีเปลี่ยนหัวข้ออย่างรู้งาน “หากต้องการให้หญิงงานเข้ามาอย่างปลอดภัย ฝ่าบาทเพียงต้องสร้างถนนไม้กระดานที่ด่านเจียเหมิงรอจนรถม้าของหญิงงามเข้ามาค่อยเดินทางทางน้ำ”
“ไม่ได้พะย่ะค่ะ!” จูเหิงห้ามปรามทันที “การตั้งถนนไม้กระดานมิได้เป็นการปูทางให้ชาวฉินเข้าสู่เมืองสู่หรอกหรือ? ฝ่าบาท ไม่ได้เด็ดขาดพะย่ะค่ะ”
ครั้นเผชิญหน้ากับความสงสัยของคนทั้งสอง ซ่งชูอีมีสีหน้าใจเย็น ยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าเหิงคิดมากไปแล้ว เพียงตั้งถนนไม้กระดานเท่านั้น มิได้เป็นการเปิดเส้นทางภูเขา การสร้างทางไม้กระดานเพียงให้รถม้าผ่านใช้เวลาไม่นานนัก เส้นทางเล็กๆ สายนี้จะสามารถให้คนผ่านได้เยอะเพียงใดกัน? ต่อให้ชาวฉินต้องการจะใช้ประโยชน์จากทางเส้นนี้ ขอเพียงพวกเราทำลายทางส่วนหนึ่งได้ มันก็กลายเป็นทางตันแล้ว”
“คือว่า…” จูเหิงพูดไม่ออก ทุกอย่างที่ซ่งชูอีกล่าวล้วนมีเหตุผล ทว่าต้องใช้แรงงานและทรัพย์มากมายเชียว! กระทำการทั้งหมดนี้เพียงเพื่อสตรีนางหนึ่งมันไม่งี่เง่าไปหน่อยหรือ…ทว่าแน่นอนว่าจูเหิงมิกล้ากล่าวความเห็นนี้ออกมา
“ฟังดูเป็นวิธีที่ดีทีเดียว เหิง มอบหมายเรื่องนี้ให้องค์รัชทายาทไปทำเถิด เจ้าก็คอยช่วยเหลือ” สู่อ๋องกล่าว
องค์รัชทายาทแห่งรัฐสู่บัดนี้อายุสิบหกแล้ว ทว่าฮองเฮามิใช้ผู้ให้กำเนิด มารดาบังเกิดเกล้าคือพระขนิษฐาต่างมารดาของฮองเฮา ทว่าหลังจากฮูหยินท่านนั้นคลอดลูกแล้วก็จับไข้จนสิ้นชีวิต ฮองเฮาจึงรับเด็กคนนี้มาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ และหลายปีมานี้ฮองเฮาไร้ทายาท สู่อ๋องจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นองค์รัชทายาท
“พะย่ะค่ะ” จูเหิงทำได้เพียงตอบรับ
จากนั้นสู่อ๋องก็หารือเรื่องท่องเที่ยวกับซ่งชูอีด้วยความตื่นเต้น
ซ่งชูอีบอกใบ้ด้วยวิธีการต่างๆ นานาว่าจะต้องรอให้ถนนไม้กระดานสร้างเสร็จก่อนจึงจะสามารถพบหญิงงามได้ อีกทั้งยังกล่าวถึงความชอบของจื่อเฉาด้วยคำพูดสละสลวย สู่อ๋องได้ยินแล้วก็เกิดความสนใจ รู้สึกว่าในเมื่อไปที่ด่านเจียเหมิงแล้วไม่พบหญิงงามจึงตัดสินใจที่จะเลือกสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามเพื่อสร้างตำหนักบรรทมให้กับนาง
“ตั้งชื่อว่าตำหนักวั่งเฟย” สู่อ๋องพูดจบก็อัศจรรย์ใจกับความฉลาดเฉลียวของตัวเอง เหม่อลอยเล็กน้อย
จูเหิงฟังอยู่ข้างๆ คิดคำนวณค่าใช้จ่ายอยู่ในใจเงียบๆ ถนนไม้กระดานเส้นหนึ่ง ตำหนักหรูหราหลังหนึ่ง เกรงว่าท้องพระคลังของรัฐจะต้องถูกผลาญไปสองส่วนแน่ๆ…
“กว่าเหรินยังคิดจะสร้างเรือลำใหญ่อีกลำ จะได้เดินทางน้ำอย่างปลอดภัย” สู่อ๋องเอ่ย
จูเหิงไม่กล้าส่งเสียง…คิดในใจ เรื่องนี้ต้องทูลรายงานฮองเฮาโดยด่วนแล้ว…มิฉะนั้นไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะสร้างอะไรอีก!
อย่างไรก็ดีคำพูดของซ่งชูอีมิได้สนับสนุนแต่ก็มิได้ห้ามปราม ทว่าจูเหิงไม่เห็นว่าสีหน้าที่ประเดี๋ยวตั้งตาคอย ประเดี๋ยวชื่นชม ประเดี๋ยวประหลาดใจของนางนั้นปลุกปั่นคนได้ดีกว่าวาจาใดๆ เสียอีก
สู่อ๋องจัดงานเลี้ยงต้อนรับซ่งชูอีและคุยตั้งแต่เช้าจรดเที่ยง
หลังมื้ออาหาร สู่อ๋องยังต้องการลากนางไปคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างพระตำหนักต่อ ซ่งชูอีตกใจจนต้องรีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากจูเหิง
จูเหิงเองก็รู้สึกว่าคุยต่อไม่ได้แล้ว มิฉะนั้นหากฝ่าบาทเกิดความสนใจอีกก็อาจจะสร้าง “ตำหนักความหวังแห่งหญิงงาม” หรือ “ตำหนักรอคอยหญิงงาม” อะไรอีก ดังนั้นเขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมและในที่สุดสู่อ๋องก็ปล่อยนางไป
ครั้นออกมาจากท้องพระโรง ซ่งชูอีก็ยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อ “ฝ่าบาทมีชีวิตชีวาเหลือเกิน”
จูเหิงหัวเราะแห้งๆ พร้อมเอ่ย “มีชีวิตชีวาเช่นนี้อยู่เสมอ”
จูเหิงลอบถอนหายใจ หากไม่ใช่เพราะเขามีชีวิตชีวาเช่นนี้อยู่เสมอ ข้าจะไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้อยู่เสมอหรือ!
สองคนสบตากันด้วยความรู้สึกที่เข้าใจคนหัวอกเดียวกัน ความสัมพันธ์ก็ใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวแล้ว
ครั้นออกมาจากพระราชวัง ซ่งชูอีเอ่ย “ใต้เท้าเหิง หวยจินมีเรื่องขอร้องที่ไม่ใคร่เหมาะสมนัก”
จูเหิงกล่าว “ท่านกล่าวมาอย่าได้เกรงใจ”
“บุตรีของสหายเก่าข้าผู้หนึ่งกำลังตามหาคนในปาสู่ ทว่าผ่านไปสามเดือนแล้วยังมิได้ข่าวคราว อยากรบกวนให้ใต้เท้าเหิงช่วยสืบข่าวให้ที” ซ่งชูอีกล่าว ครั้นพูดถึงสหายเก่า เว่ย์โหวเคยคิดที่จะฆ่านางปิดปาก แต่ถ้านางต้องการแก้แค้น นางก็ต้องตอบโต้ที่รัฐเว่ย์ แต่จะไม่ทำอะไรกับพระธิดาของเขา เว่ย์เจียงหลงใหลจีเหมียนถึงเพียงนี้ นางจึงต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างไม่เต็มใจนัก
จูเหิงวางใจลง “ท่านวางใจเถิด ข้าจะต้องตามหาอย่างสุดความสามารถ”
ซ่งชูอีเขียนภูมิหลังและรูปพรรณสันฐานของจีเหมียนโดยละเอียด แล้วมอบให้จูเหิง
จีเหมียนเป็นศิษย์สำนักนิติธรรม มาที่ปาสู่ก็เพื่อแสวงหาโอกาส จะต้องไม่ปิดบังตัวตนอย่างแน่นอน และต้องหาวิธีติดต่อกับเหล่าขุนนาง หากคุ้นเคยกับปาสู่ดี การตามหาเขาก็มิใช่เรื่องยากจนเกินไป
“ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง รถม้าจะส่งท่านกลับไปที่จวนก่อน ท่านจงพักให้สบายใจอยู่ที่นั่น เพื่อรอข้าสืบข่าวของจีอู้เม่ย” ทันใดนั้นจูเหิงนึกขึ้นได้ว่าต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮา
หากขุนนางทั่วไปจะเข้าเฝ้าฮองเฮาจะต้องขออนุญาตเป็นพิเศษก่อน จากนั้นจึงรอฮองเฮาเรียกพบ ทว่าจูเหิงเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของสู่อ๋อง และเป็นหลานของฮองเฮา ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองที่ซับซ้อนเช่นนี้
“ขอบคุณใต้เท้าเหิง” ซ่งชูอีเอ่ย
จูเหิงลงจากรถ ขี่ม้ากลับไปยังพระราชวัง
ซ่งชูอีมองเขาลับตาไป เพิ่งจะเลิกม่านลงก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขึ้นด้านนอก “ภายในรถใช่ซ่งจื่อหรือไม่?”
เขาพูดภาษาเว่ย ซ่งชูอีอึ้งไปครู่หนึ่ง เลิกม่านขึ้นพรวด ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเที่ยง บุคคลผู้นั้นมองนางด้วยรอยยิ้มแหย่เย้า เขาสวมชุดสีเขียว อายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดปี มีเคราสั้นสองนิ้วที่ถูกเล็มอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยที่ขากรรไกรล่าง ผิวพรรณขาวสะอาด ดวงตาดุจสายธารยามสารทฤดู คิ้วเรียบ ลายเส้นของดวงหน้าอ่อนโยน มีลมหายใจของการเป็นหนอนหนังสือ
“พี่จาง!” ซ่งชูอีประหลาดใจยิ่ง ผลักประตูลงไปจากรถ
ทั้งสองคนสำรวจกันและกันครู่หนึ่ง ต่างอดที่จะหัวเราะเสียงดังไม่ได้ ดึงดูดสายตาผู้คนมากมายเต็มท้องถนน
“พี่จางไม่เจอกันนานสบายดีหรือไม่?” ดวงตาของซ่งชูอีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“สบายดี สบายดี! เพียงแต่มีผมหงอกที่สองขมับเท่านั้น!” จางอี๋ยิ้มมองนางเช่นกัน พร้อมเอ่ยเย้า “ทว่าหวยจินเปลี่ยนไปมากทีเดียวนะ!”
ทั้งสองพบกันโดยบังเอิญในต่างแดน มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นจึงมองหาโรงเตี๊ยมและนั่งคุยกัน
“พี่จางมาอยู่ที่รัฐสู่ได้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีรินสุราให้จางอี๋จอกหนึ่ง
“ต้องขอบคุณหวยจินไงเล่า!” จางอี๋หัวเราะเอ่ย
ซ่งชูอีเข้าใจในทันที จางอี๋เข้ารัฐฉินเป็นขุนนาง บัดนี้คงจะตามชูหลี่จี๋ออกมายังรัฐสู่ในฐานะราชทูต ซ่งชูอียกจอกสุราขึ้น “งั้นขอฉลองให้กับแผนการที่ประสบความสำเร็จครั้งใหญ่!”
“เช่นกัน!” จางอี๋เอ่ย
ทั้งสองคนเงยหน้าดื่มรวดเดียวจนหมด หัวเราะให้กัน จางอี๋เล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของรัฐฉินด้วยภาษาอี้ฉวี “สามเดือนก่อน ซีโส่วเข้ารัฐฉิน เดือนก่อนเว่ยฉินทำสงครามกัน ซีโส่วเป็นแม่ทัพ กวาดนครไปรัฐเว่ยนับสิบ ฆ่าศัตรูนับแสน ฉินเว่ยสู้รบกัน นี่เป็นครั้งแรกที่รัฐฉินได้ชัยชนะอย่างหมดจด นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีจริงๆ”
ซีโส่วก็คือกงซุนเหยี่ยน เป็นนักวางแผนกลยุทธ์ทางพลเรือนและการทหาร ผู้คนกล่าวว่ากงซุนเหยี่ยนมีกำลังมากยากที่จะต้านทาน ราวกับหัวของแรด ดังนั้นจึงเรียกเขาว่าซีโส่ว[1]
“ดูท่าคำเล่าลือจะเป็นจริง ซีโส่วยากที่จะต้านทานจริงๆ” ซ่งชูอีก็พูดด้วยภาษาอี้ฉวีเช่นกัน
อี้ฉวีตั้งอยู่ทางทิศเหนือ มีชนเผ่ามากมาย ภาษาแตกต่างกันไปตามชนเผ่า อีกทั้งยังแตกต่างจากภาษาของปาสู่โดยสิ้นเชิง ไม่มีใครในปาสู่ที่เข้าใจภาษาอี้ฉวี
“บัดนี้ฉินกงแต่งตั้งซีโส่วเป็นต้าเหลียงเจ้าแล้ว” จางอี๋เอ่ย
รัฐฉินไม่มีตำแหน่งมหาเสนาบดี มีเพียงต้าเหลียงเจ้าที่เทียบเท่าท่านแม่ทัพและมหาเสนาบดี กล่าวได้ว่าเป็นคนที่อยู่ใต้บุคคลหนึ่งและอยู่เหนือบุคคลนับหมื่น
“พี่จางดูเหมือนไม่มีความสุข” ซ่งชูอีเคยพบกับกงซุนเหยี่ยนในรัฐเจ้าครั้งหนึ่ง ความประทับใจที่มีต่อเขาสามารถสรุปสั้นๆ ได้สองคำว่า ‘แหลมคม’ ดังนั้นนางถึงพอเดาสาเหตุที่จางอี๋ไม่มีความสุขได้
“ความแหลมคมของซีโส่วนั้นไม่เหมือนกับผู้อื่นเลย!” จางอี๋กล่าวประเด็นสำคัญ
เสือสองตัวยากที่จะอยู่ถ้ำเดียวกัน แน่นอนว่ากงซุนเหยี่ยนมีความสามารถทว่าความตั้งใจส่วนตัวนั้นรุนแรงเกินไป เขาเป็นถึงต้าเหลียงเจ้า จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมรับแนวคิดของนักยุทธศาสตร์คนอื่นๆ เว้นแต่จะมีใครยอมละทิ้งแนวทางของตนเองและทำตามเขา อย่างไรก็ตามนี่เป็นสิ่งที่นักยุทธศาสตร์ผู้มีอุดมคติและอุดมการณ์ไม่สามารถทนได้อย่างแน่นอน
จางอี๋ผิดหวังจากรัฐฉินในครั้งแรกจึงจากไปด้วยความหดหู่ ครั้งนี้เมื่อได้ยินว่ามีโอกาสจึงรีบพุ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น ใครจะรู้ว่าจะเจอกับกงซุนเหยี่ยนเข้า
“พี่จางกลัวเขาเช่นนั้นหรือ?” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย
จางอี๋อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนยิ้มเอ่ย “เป็นไปได้!”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าหว่างคิ้วของเขาไม่มีท่าทีจะล่าถอยเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อสองสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกัน เช่นนั้นก็จะดูว่าใครหัวเราะทีหลังดังกว่า!
ในความเป็นจริงแล้ว ระหว่างจางอี๋กับซ่งชูอีก็มีความสัมพันธ์เช่นนี้ นิสัยของทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเป้าหมายทางการเมืองมากนัก บัดนี้ได้ทำงานร่วมกัน ทว่าจู่ๆ ก็มีอันตรายชิ้นใหญ่เช่นกงซุนเหยี่ยน แม้ว่าความขัดแย้งจะไม่ชัดเจน หากหาจุดสมดุลไม่ได้ก็จะมาถึงจุดนี้เข้าสักวัน
[1] ซีโส่ว แปลตรงตัวว่า หัวของแรด