กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 203 บทกวีที่ทำให้การเมืองปั่นป่วน (2)
ใครจะรู้ว่าบุคคลนี้ทนการถูกตลบหลังมิได้! ยังไม่ทันทำอะไรก็กลืนยาพิษแล้ว
“มีคนแอบอ้างคนผู้ส่งราชโองการจริงๆ!” ซย่าเฉวียนขมวดคิ้วเอ่ย
ซ่งชูอีก้มหน้าอ่านราชโองการนั้นเงียบๆ ใครกันที่คิดจะทำลายแผนการนี้? รัฐเว่ย? หมิ่นฉือ? เว่ยอ๋อง?
ซ่งชูอีปฏิเสธความคิดนี้ทันที แม้ว่าจนถึงบัดนี้หมิ่นฉือจะไม่ได้สร้างความปั่นป่วนในมือของนางแต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะเขาไม่มีพลังที่แท้จริง ดูจากแรงกดดันที่เขามอบให้นางตอนอยู่ที่รัฐเว่ย์แล้ว ก็รู้ว่าเขาไม่มีทางใช้ลูกไม้ต่ำช้าเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ความล้มเหลวของเขาในรัฐสู่เกรงว่าจะสามารถปราบปรามเขาในระยะเวลาที่ยาวพอสมควร
นางส่ายศีรษะ หากมุ่งเน้นไปที่รัฐเว่ยเท่านั้นก็จะดูเป็นคนใจแคบไปหน่อย ที่จริงรัฐต่างๆ ในซานตงล้วนมีความเป็นไปได้ ทว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐใดก็ต้องเพิ่มความระวังตัวแล้ว
ซ่งชูอีเดินเข้าไปที่ศพ ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกก้มตัวตรวจสอบอย่างละเอียด
“คนผู้นี้สวมเสื้อผ้าค่อนข้างบาง” นอกจากเรื่องนี้ก็ไม่มีสิ่งน่าสงสัยอื่นแล้ว
ซย่าเฉวียนมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที “ความหมายของท่านคือ…นี่คือชาวฉู่?”
ในฤดูนี้รัฐฉินหนาวเหน็บเป็นอย่างมาก บวกกันฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องในระยะหลัง อูณหภูมิจึงยิ่งต่ำกว่าปกติเล็กน้อย หากเดินทางมาจากทางเหนือ ภายใต้สถานการณ์โดยทั่วไปแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะสวมใส่น้อยชิ้นเพียงนี้
ซ่งชูอีอ่านราชโองการปลอมอย่างละเอียดอีกรอบ “โจมตีสู่ โจมตีสู่…หรือว่าเป้าหมายคือจางจื่อ?”
ทันทีที่ฉินสู่ต่อสู้กัน ผู้ที่ได้รับผลกระทบก่อนก็คือจางอี๋ที่อยู่ในรัฐสู่
“ไม่ว่าจะเป็นใคร และไม่ว่าเป้าหมายคืออะไร แต่ก็มีใครบางคนสามารถปลอมตัวเป็นผู้ส่งสารได้! เรื่องนี้ไม่อาจมองข้ามได้เลย ได้โปรดท่านแม่ทัพเขียนรายงานถึงฝ่าบาททันที!” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความเคารพ
ไม่ใช่แค่ไม่ควรมองข้าม? ทว่าเป็นเรื่องน่ากลัวมากกว่า! การแต่งกายและข้าวของเครื่องใช้ของผู้ส่งสารล้วนเป็นความลับของรัฐ บุคคลผู้นี้สามารถปลอมได้แนบเนียบเหลือเกิน! เป็นไปได้มากว่ามีหนอนบ่อนไส้แล้ว! หากไม่เพิ่มการระวังตัวก็จะเกิดปัญหาขึ้นไม่ช้าก็เร็ว!
ซย่าเฉวียนคิดไม่ถึงว่าซ่งชูอีจะยอมมอบความชอบชิ้นใหญ่นี้ให้กับตน ปิติในใจยิ่ง รีบเอ่ยว่า “ได้ ข้าจะเขียนรายงานเดี๋ยวนี้”
ซ่งชูอีออกไปจากกระโจม สายฝนที่เยือกเย็นผสมกับกลิ่นดินทำให้ความรู้สึกมัวหมองในใจหายไป
นางเงยหน้าขึ้นมองสายฝนที่ตกไม่ขาดสาย อดที่จะยกยิ้มมุมปากมิได้ สวรรค์ช่างงดงามเช่นนี้นี่เอง ‘ปาอ๋องเอ๋ย เจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังเชียว!’
“ท่าน” จี้ฮ่วนวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน “พี่ใหญ่มีไข้แล้ว!”
จะต้องเป็นสายฝนที่ตกต่อเนื่องเป็นแน่ ความชื้นที่มากเกินไปทำให้แผลแย่ลง! ซ่งชูอีกังวลใจ รีบจ้ำอ้าวเดินไปหาจี๋อวี่
จู่ๆ ฝนก็เทลงมา ตกกระทบอยู่บนหลังคากระโจมเสียงดัง
ในพระราชวังหลางจงของรัฐปา ชายชราศีรษะขาวโพลนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในศาลา กำผ้าไหมสีขาวไว้ในมือ หันหน้าไปมองสายฝนที่กำลังตกหนักด้านนอกอย่างเหม่อลอย สายลมนอกหน้าต่างพัดพาสายฝนเข้ามา สาดกระเซ็นอยู่บนโต๊ะเป็นจุดๆ
บทกวีสังเวยบทนี้ปรากฏตัวอยู่ในพระราชวังอย่างลึกลับเมื่อหลายวันก่อน อีกทั้งยังมีข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับการกลับชาติมาเกิดของอวี๋ซุ่นอีกด้วย เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความเป็นและตายนั้นทำให้ฮองเฮาที่มิได้มีอารมณ์อ่อนไหวดังสตรีทั่วไปอดที่จะร่ำไห้มิได้
ฝนตกติดต่อกันครึ่งเดือน แม้แต่เขาเองก็แทบจะเชื่อแล้วว่าสวรรค์หลั่งน้ำตาให้กับการตายของจีเหมียน
บัดนั้นเว่ย์เจียงถูกมัดเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะเขาแอบสั่งให้คนปล่อยนาง นางจะเสียสละชีวิตของตนเพื่อความรักได้เยี่ยงไร? อย่างไรก็ดีกลับมีคนมองทะลุความคิดลับๆ เช่นนี้ของเขาออก อีกทั้งยังเตรียมบทกวีสังเวยอันสมบูรณ์แบบให้เขาอีกด้วย! หากบุคคลนี้เป็นมิตรก็ช่างประไร ทว่าหากเป็นศัตรู…
ไม่! ยังมีศัตรูใดที่ร้ายกาจกว่าสิบสองจอมเวทย์อีกเล่า! ปาอ๋องหลุบตาลง จ้องมองใบหน้าที่แก่ชราก่อนวัยอันควรของตัวเองให้แก้วน้ำ แววตาค่อยๆ เผยความแน่วแน่ “เด็กๆ”
เงาดำวูบผ่านและหยุดอยู่ที่บันไดเงียบๆ
ปาอ๋องโยนผ้าไหมสีขาวออกไป มันพริ้วตกลงไปตามขั้นบันได “เผยแพร่บทกวีนี้ออกไป ให้เงาดำทั่วทั้งรัฐเคลื่อนไหวพร้อมกัน นอกจากนี้จงไปจับโจรในพระราชวังมาให้ข้าด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาดำเก็บผ้าไหมสีขาวขึ้นมา หายวับไปจากสายตาของปาอ๋องด้วยความรวดเร็ว
ปาอ๋องนั่งเงียบๆ ครู่หนึ่ง สั่งให้คนย้ายเอกสารทั้งหมดมาไว้ที่ศาลาเล็ก
“ฝ่าบาท ท่านมหาเสนาบดีขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีทูลรายงาน
มือที่ถือเอกสารของปาอ๋องสั่นเทาเล็กน้อย “เชิญเขาเข้ามา”
หลังจากปาอ๋องอ่านเอกสารฉบับที่สามจบแล้ว ชายชราในชุดคลุมตัวใหญ่เดินถือไม้เท้ามาจากทางเดินช้าๆ ครั้นหยุดอยู่ที่ใต้บันไดก็กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ท่านมหาเสนาบดีเชิญนั่ง” ปาอ๋องวางเอกสารลง
ทว่ามหาเสนาบดีอาวุโสมิได้เดินขึ้นไป เพียงแต่ทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง “ข้าแก่ชราไร้ประโยชน์แล้ว มิกล้านั่งตามที่ฝ่าบาทเชื้อเชิญ วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะมาทูลลาฝ่าบาท”
“เหตุใดท่านมหาเสนาบดีจึงกล่าวเยี่ยงนี้!” ปาอ๋องรีบลุกขึ้นเพื่อประคองมหาเสนาบดีเข้ามานั่งด้วยตัวเอง เขาเข้าใจดีกว่าท่านมหาเสนาบดีมิใช่คนที่กระทำการใดโดยไร้ระเบียบแบบแผน และด้วยรูปแบบการทำงานของเขา หากต้องการลาออกจากราชการจริงก็จะบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างละมุนละม่อม
ครั้งนี้ท่านมหาเสนาบดีกลับไม่ไว้หน้าปาอ๋องเลยแม้แต่น้อย หลบเลี่ยงการประคองจากเขาเบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงทำการอันหน้ามืดตามัวก็มิได้หารือกับมหาเสนาบดีเยี่ยงข้า เก็บข้าผู้อาวุโสไว้จะมีประโยชน์อันใด!”
ปาอ๋องตื่นตกใจ เรื่องที่สั่งการให้เงามืดกระทำอย่างลับๆ เมื่อเช้าไม่น่าจะไปถึงหูของท่านมหาเสนาบดีรวดเร็วปานนี้ ทว่านอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็ไม่มีเรื่องอื่นใดปิดบังแล้วนี่นา? ปาอ๋องครุ่นคิดก็อดที่จะเอ่ยถามมิได้ “ท่านมหาเสนาบดีหมายถึงเรื่องใด?”
ท่านมหาเสนาบดีอาวุโสกล่าวเรียบๆ “หรือว่าฝ่าบาทมิได้สั่งให้คนไปดักสังหารราชทูตฉิน?! หนังสือจากรัฐสู่ถูกส่งมาที่โต๊ะแล้ว หากคิดจะหลอกลวงข้าไม่สำเร็จหรอกพ่ะย่ะค่ะ!”
ปาอ๋องตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ทว่ามันเป็นเพียงประกายวูบเดียวเท่านั้น สิ่งที่กังวลที่สุดในใจตอนนี้กลับเป็นปัญหาภายในและภายนอกของรัฐปา แผ่นหลังพลันมีชั้นเหงื่อบางๆ ซึมออกมา โต้เถียงด้วยความร้อนใจ “กว่าเหรินมิเคยทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้!”
ท่านมหาเสนาบดีเห็นสีหน้าของเขาก็เชื่อขึ้นมาบ้าง
ปาอ๋องรีบประคองท่านมหาเสนาบดีให้นั่งลงท่ามกลางความร้อนใจ ไม่กล้าปกปิดเรื่องบทกวีสังเวยและเล่าออกมาอย่างละเอียด
ท่านมหาเสนาบดีเองก็ดูออกว่ามีคนเติมเชื้อเพลิงให้กับเรื่องนี้ อย่างไรก็ดีเขาก็เป็นหัวหน้าพรรคต่อต้านจอมเวทย์และเขาเกลียดชังจอมเวทย์เหล่านั้นที่สุดในรัฐปา แม้แต่การที่ปาอ๋องตัดสินใจที่จะกำจัดเหล่าจอมเวทย์ก็เพราะได้รับอิทธิพลมาจากเขาไม่มากก็น้อย
ความแค้นนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ท่านมหาเสนาบดีมีบุตรสามคน สองคนเสียชีวิตในสนามรบตั้งแต่อายุยังน้อย ดูแล้วคงไร้ทายาทสืบสกุล โชคดีที่สวรรค์ยังสงสาร ขณะที่อายุย่างสี่สิบปีก็มีลูกชายอีกหนึ่งคน เขาจึงรักมากเป็นธรรมดา เขาภาคภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้มาก แม้ว่าจะเติบใหญ่อยู่ท่ามกลางความรัก แต่ฉลาดหลักแหลม นิสัยก็ประเสริฐยิ่ง แต่งภรรยาเมื่ออายุได้สิบเจ็ดปี หนึ่งปีให้หลังก็กำเนินลูกชายฝาแฝด นี่คือความสุขอันยิ่งใหญ่ เขารู้สึกว่าสวรรค์ก็มิได้ปฏิบัติต่อเขาแย่นัก เห็นใจที่เขาไร้ทายาทสืบสกุลจึงได้ให้ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้
ขณะที่ฝาแฝดคู่นี้มีอายุได้สองขวบ จู่ๆ ก็เกิดโรคระบาดนอกนครหลางจง และบังเอิญว่าครึ่งเดือนก่อนหน้านั้นลูกสะใภ้ของมหาเสนาบดีก็พาฝาแฝดคู่นี้ไปเที่ยวที่ชานเมือง ในยุคสมัยนี้ฝาแฝดเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก คู่ที่สามารถรอดชีวิตได้นั้นมีไม่มาก ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงจดจำได้อย่างลึกซึ้ง ครั้นจอมเวทย์ถามว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ก็ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นธรรมดา
ใครจะรู้ว่าจอมเวทย์ทั้งสิบสองคนยืนยันว่าเด็กแฝดคู่นี้เป็นปีศาจ
ขอเพียงเป็นสิ่งที่จอมเวทย์กล่าวก็ไม่มีใครกล้าขัดขืน บัดนั้นท่านเสนาบดีมีตำแหน่งสูงแล้ว ทว่าเขารู้อย่างลึกซึ้งว่าลำพังกำลังของตนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจเก็บความแค้นนี้ไว้ในใจ รอวันหน้าค่อยวางแผนแก้แค้น
เหตุการณ์ในวันนั้นสลักลึกลงไปในจิตใจของท่านมหาเสนาบดีอาวุโส หลานที่น่ารักและมีชีวิตชีวาสองคนถูกผูกติดกับเสาทองสัมฤทธิ์บนแท่นประหาร ร้องไห้ตะโกนเรียกท่านปู่ในกองไฟ ฉีกหัวใจของเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั้งเป็น จากนั้นเด็กน้อยก็ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ลูกสะใภ้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจไม่ไหวจึงฆ่าตัวตายในคืนเดียวกัน ลูกชายคนเดียวเกลียดเขาที่ตำแหน่งสูงทว่ากลับไม่ใส่ใจชีวิตของหลานเลยแม้แต่น้อย แม้แต้คำอ้อนวอนก็ไม่เอ่ยออกมาด้วยซ้ำ จึงตัดความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกกับเขา ไม่ยอมมาเจอหน้าอีกจนวันตาย
ความแค้นครั้งนี้! ความแค้นครั้งนี้จะไม่แก้แค้นได้เยี่ยงไร!
“ท่านมหาเสนาบดี” ปาอ๋องเห็นว่าสีหน้าของเขาตึงเครียด ลมหายใจก็เริ่มไม่สม่ำเสมอ เรียกเขาอย่างวิตกกังวล
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” ท่านมหาเสนาบดีดึงสติกลับมา ถอนหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แววตาเป็นประกาย “ฝ่าบาททรงงานอย่างสบายใจเถิด ส่วนเรื่องของปาสู่มีข้าเป็นคนไกล่เกลี่ย รับประกันได้ว่าจะไม่เกิดสงครามขึ้นระยะหนึ่ง”
ในอดีตมีมหาเสนาบดีเป็นคนไกล่เกลี่ยเรื่องราวระหว่างปาสู่และยังไม่เคยเกิดข้อผิดพลาด ปาอ๋องได้ยินคำมั่นสัญญาจากเขาเช่นนี้ ก็อดที่จะเบาใจมิได้ เขารู้เรื่องเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ยิ่งรู้ว่าท่านมหาเสนาบดีเกลียดชังจอมเวทย์ ดังนั้นหลายปีนี้จึงต้องพึ่งพาเขามากขึ้นเรื่อยๆ
น่าเสียดาย อาจเป็นเพราะหลายปีมานี้ท่านมหาเสนาบดีซ่อนเร้นความเกลียดชังดีเกินไป ดังนั้นปาอ๋องจึงมิได้ตระหนักว่านี่คือหนี้แค้นที่ไร้การคำนึงถึงต้นทุน อีกทั้งด้วยอายุของเขาที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจแห่งการล้างแค้นจึงยิ่งร้อนรนขึ้นทุกที
หลังจากการสนทนาลับภายในศาลาเล็กๆ นี้แล้ว คลื่นลูกใหญ่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นในรัฐที่ศรัทธาในเทพเจ้าอย่างมาก สาเหตุที่ผู้คนศรัทธาในจอมเวทย์เป็นเพราะพวกเขาทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารเพื่อติดต่อกับพระเจ้า ทว่ามิได้ศรัทธาในตัวตนของพวกเขา แต่ข่าวลือคราวนี้เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าโดยตรง
ผู้คนเริ่มสงสัยในตัวของจอมเวทย์ คิดว่าหากพวกเขาสังหารองค์จักรพรรดิซุ่นผู้กลับชาติมาเกิดจากความผิดพลาด ก็ต้องขอขมาเทพเจ้าด้วยความตายจึงจะถูก
ในเวลาเพียงสิบวัน ทั่วทั้งรัฐมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ขอให้ปาอ๋องพิจารณาเรื่องนี้
การเจรจาระหว่างมหาเสนาบดีของรัฐปากับรัฐสู่ยังคงเสียต้นทุนเป็นจำนวนมากและกวาดไปถึงเจ็ดนครในคราเดียว พื้นที่ปาสู่เป็นภูเขาและมีประชากรไม่มากนักเนื่องจากสงครามที่ยืดเยื้อนานหลายปี ทั้งเจ็ดนครนี้นับว่าเป็นขีดจำกัดสำหรับรัฐปาแล้ว
สู่อ๋องมองไปที่ผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยความหวั่นไหวเล็กน้อย
ในเวลานี้จางอี๋ก็เอ่ยถึงการกลับรัฐฉินทันที ก่อนที่จะจากไปก็ขอเข้าเฝ้าสู่อ๋องคราหนึ่ง แม้จะพูดไม่มากแต่ทุกประโยคล้วนจี้ใจดำ สุดท้ายก่อนจะจากกันยังปิดหน้าและร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด “น่าเศร้านัก หญิงงามผู้อ่อนหวาน!”
หญิงงามที่งามชดช้อยปานนั้น ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน! ถูกปล้นไปยังรัฐปาจะต้องถูกปาอ๋องเสวยสุขเป็นแน่ อีกทั้งฮองเฮาแห่งรัฐปาก็เป็นคนขี้หึง ช่างเป็นจุดจบแห่งชะตากรรมหญิงงามโดยแท้!
ประโยคที่คลุมเครือและสละสลวยเพียงประโยคเดียว ทว่าสู่อ๋องกลับเข้าใจความหมายมากมายเบื้องหลังคำทอดถอนใจของจางอี๋ ครั้นกลับถึงพระราชวัง เห็นศาลาอันงดงามที่สร้างขึ้นเพื่อจื่อเฉา เห็นภาพของสาวงามกำลังอาบน้ำ พลันนึกถึงความคาดหวังของตนทั้งวันและคืน อารมณ์เชิงลบทั้งหมดปะทุขึ้นทันที หมุนตัวไปเรียกประชุมบรรดาขุนนางเพื่อหารือเกี่ยวกับการโจมตีรัฐปา
ในเวลานี้เองข่าวของความโกลาหลภายในรัฐปาก็ถูกส่งเข้ามา สู่อ๋องเงยหน้าหัวร่อเสียงดังอย่างอดใจไม่ไหว สวรรค์ช่างเข้าข้างต้าสู่จริงๆ!