กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 214 ใช้ชีวิตอย่างแข็งแกร่ง
การต่อสู้ในคืนฝนตกเช่นนี้ แม้ว่าจะมีการเตรียมน้ำร้อนและยาอย่างเหมาะสมไว้ด้านหลังแล้ว ทว่ากองทัพฉินก็ยังล้มป่วยไม่น้อย
ทหารทุกคนที่ติดหวัดถูกปล่อยให้พักฟื้น รวมถึงกองทัพเจ็ดหมื่นนายที่ตามมาภายหลัง ซือหม่าชั่วนำทหารม้าจำนวนห้าหมื่นนายไล่ตามกองทัพสู่ด้วยตัวเอง
การต่อสู้กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ทหารฉินถือไพ่เหนือกว่า ทว่าทหารม้าที่ถูกปล่อยให้รักษาการณ์อยู่ที่เดิมกลับประสบกับความยากลำบาก หลังจากฝนตกห่าใหญ่แล้ว รัฐสู่ก็ร้อนชื้นมากขึ้น อาหารแห้งส่วนใหญ่ที่กองทัพฉินนำมาเริ่มขึ้นราและตกอยู่ในสถานการณ์ขาดแคลนอาหารมาระยะหนึ่ง
“ท่านที่ปรึกษา…”
ซือหม่าชั่วกำชับจางเหลียวก่อนที่เขาจะจากไปว่าอย่าให้ซ่งชูอีต้องลำบาก อย่างไรก็ดีนี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แม้ว่าจางเหลียวไม่โง่แต่ก็นึกวิธีไม่ออกแล้วจริงๆ จึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือซ่งชูอี
จิตวิญญาณของมนุษย์ที่ได้รับความบกพร่องนั้นน่ากลัวจริงๆ เพียงระยะเวลาไม่กี่วัน ร่างกายของซ่งชูอีที่ผอมแห้งอยู่แล้วยิ่งดูไม่ได้ จางเหลียวมองไปที่เด็กหนุ่มร่างซีดและผอมเพรียวดุจไม้ไผ่ที่เอนกายอยู่บนเตียงนุ่มด้วยความประหลาดใจ จอนที่ดกดำบัดนี้กลายเป็นสีเทาจางๆ ดวงตาที่เคยเฉยเมยล่องลอยและสูญเสียความสดใสในอดีตไปแล้ว
“มีอะไร” ซ่งชูอีลูบหัวของไป๋เริ่น หลับตาที่เจ็บปวดลง
จางเหลียวลังเลครู่หนึ่งแต่ก็ยังกล่าวว่า “รัฐสู่อากาศร้อนชื้น อาหารแห้งขึ้นรา หลายคนเสียชีวิตด้วยพิษหลังจากรับประทานอาหารแห้งที่มีเชื้อรา”
ซ่งชูอีเอ่ยช้าๆ “สงครามปาสู่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ที่ว่าการของทุกเมืองล้วนมีเสบียงอาหารอยู่ ในบริเวณใกล้เคียงก็มีเมืองหนึ่ง เมืองในรัฐสู่ไม่มีกำแพงและไร้ทหารเฝ้ายาม”
จางเหลียวยินดียิ่ง ก่อนที่จะทันได้ตอบก็ได้ยินเสียงที่เข้มงวดของซ่งชูอี “แต่ว่า สั่งการลงไปว่าห้ามทำร้ายประชาชนแม้แต่ปลายเล็บ! ใครกล้าเผาหรือฆ่าเพื่อขโมยอาหารจะถูกลงโทษตามกฎทหาร”
.“เพราะเหตุใด?” จางเหลียวไม่เข้าใจ กองทัพรัฐใดบ้างที่ไม่หยิบฉวยสิ่งของเมื่อโจมตีรัฐอื่น?
“เจ้าต้องการให้ประชาชนต่อต้านเช่นนั้นหรือ?” ซ่งชูอีลืมตาขึ้นทันควัน นางจับตำแหน่งของจางเหลียวได้อย่างแม่นยำตามแสงและเงา ดวงตาเฉียบคมทำให้จางเหลียวผู้เคยผ่านสมรภูมิรบตื่นตกใจ
นางสงบลมหายใจพร้อมเอ่ย “กองทัพฉินมาเพื่อต่อสู้ด้วยความชอบธรรมและสงบความวุ่นวาย ดวงตาแต่ละคู่ของหกรัฐในซานตงกำลังจับจ้องอยู่! ยิ่งไปกว่านั้นหากรัฐฉินต้องการจะผนวกปาสู่จริงๆ ในอนาคตก็ไม่ควรก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อสาธารณชน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชาวสู่ส่วนใหญ่ยังคงมีจิตใจป่าเถื่อน ประเพณีพื้นบ้านก็ยิ่งมีความป่าเถื่อนยิ่งกว่า สถานที่หลายแห่งมีสตรีเป็นใหญ่ อย่าได้ดูถูกสตรีและเด็กในปาสู่เชียว พวกนางสามารถฆ่าผู้ชายที่แข็งแกร่งได้อย่างง่ายดาย ปาสู่จะมีใครเป็นผู้นำมิได้มีความสัมพันธ์ต่อพวกเขาเท่าใดนัก ทว่าหากบีบให้พวกเขาก่อกบฏขึ้นมาจริงๆ รัฐฉินก็จะประสบกับความพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวง หากท่านแม่ทัพทำผิดพลาดครั้งใหญ่ก็จะกลายเป็นคนบาปของรัฐฉิน”
เมื่อได้ยินซ่งชูอีกล่าวอย่างถี่ถ้วนเช่นนี้แล้ว การแสดงออกของจางเหลียวก็เคร่งขรึม เขาประสานมือเอ่ยทันที “ท่านที่ปรึกษาโปรดวางใจ เหลียวจะไม่กลายเป็นคนบาปของรัฐฉิน!”
“นอกจากนี้ ส่งม้าเร็วและแจ้งเรื่องให้ท่านแม่ทัพซือหม่ารู้ ห้ามล่าช้า” ซ่งชูอีเอ่ย
“ขอรับ!” จางเหลียวประสานมือจากนั้นก็ถอยออกไป
เดินออกจากกระโจมแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของซ่งชูอีอย่างว่าง่าย! นึกถึงเมื่อครู่ที่มองดูเด็กหนุ่มผู้อ่อนแอหลับตาพูดช้าๆ ขณะที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว มันช่างมีอานุภาพที่ทำให้คนเชื่อโดยไม่รู้ตัวจริงๆ
ก่อนหน้านี้จางเหลียวเคยเจอซ่งชูอีหลายครั้ง ตอนที่นางยังไม่มีโรคทางสายตาก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าตอนนี้
ในกระโจม จี้ฮ่วนเห็นว่าซ่งชูอีมีเหงื่อซึมเต็มหน้าผากก็รีบเอ่ยขึ้น “ท่านจะนอนลงสักครู่หรือไม่?”
“ไม่เป็นไร เป็นเพราะเจ้าสัตว์ป่าตัวนี้ ช่วงนี้ติดคนมาก ทำเอาข้าผดขึ้นเต็มตัวในสภาพอากาศที่ร้อนเช่นนี้” ซ่งชูอีขยี้ขนบนหัวของไป๋เริ่นด้วยความไม่พอใจ
ทันทีที่อากาศร้อน ไป๋เริ่นก็เริ่มไม่อยากขยับตัว ไม่มีความสนใจแม้แต่เนื้อกวางของโปรด ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามันอาจจะรู้สึกได้ถึงความหดหู่ของซ่งชูอีจึงหมอบอยู่ข้างกายนางเป็นครั้งคราว ทันทีที่นางยกมือขึ้นมันก็ยื่นหัวเข้าไปเอง ราวกับเพลิดเพลินกับการที่ซ่งชูอีขยี้ขนบนหัวของมันเป็นพิเศษซึ่งอันที่จริงแล้วมันเคยเกลียดเรื่องนี้มากที่สุด
หัวหน้าหมอกล่าวว่าดูตามสถานการณ์แล้ว ดวงตาจะยิ่งมองไม่เห็นเรื่อยๆ จนกระทั่งสูญเสียแสงสว่างโดยสมบูรณ์ ตอนนี้เขาทำได้เพียงพยายามควบคุมอย่างสุดความสามารถไม่ให้มันพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากพักฟื้นหลายวัน ซ่งชูอีก็ปลงตกมากแล้ว ต่อให้ตาบอดแล้วอย่างไรหรือ ตราบใดที่ยังไม่ตาย นอกเหนือจากความไม่สะดวกสบายในชีวิตประจำวันหรือชีวิตอาจจะสั้นลงอีกหลายปี ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนกับอดีตไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
จี้ฮ่วนเห็นว่าซ่งชูอีเริ่มเย้าเล่นก็สบายใจขึ้นมาก “ถ้าเช่นนี้ ข้าแบกท่านไปอาบแดดสักหน่อยเถิด อยู่ในกระโจมนานๆ จนแทบจะขึ้นราอยู่แล้ว!”
“อืม” ซ่งชูอีพยักหน้า
จี้ฮ่วนจำได้หัวหน้าหมอกล่าวว่าเขาไม่สามารถทำให้ดวงตาของซ่งชูอีได้รับความระคายเคืองได้ จึงหาผ้าหนาสีดำแล้วพับเป็นแถบปิดตาซ่งชูอีเอาไว้
จี้ฮ่วนแบกซ่งชูอีขึ้นมา เขาออกแรงมากเกินไปโดยไม่ตั้งใจจึงทำให้เซไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เขาไม่ได้คาดคิดว่าซ่งชูอีจะเบาจนแทบไม่รู้สึกว่ามีน้ำหนักใดๆ เลย
ครั้นออกจากระโจม จี้ฮ่วนก็วางนางไว้บนหินแบนๆ ทหารโดยรอบต่างมองมาด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความเคารพ
ท่าทางที่สงบนิ่งของซ่งชูอีขณะเจรจาต่อรองถูกแพร่สะพัดโดยทหารผู้คุมที่ละเลยในหน้าที่เหล่านั้น พวกเขาทั้งรู้สึกผิด ทั้งรู้สึกละอายใจและทั้งรู้สึกชื่นชมจากใจจริง พวกเขากล่าวหาว่าถูอู้ลี่เป็นปีศาจโดยไม่มีข้อยกเว้น ประการที่หนึ่งเพื่อขยายความว่าพวกเขาไม่ทันจะรับมือกับการโจมตีอย่างกะทันหันของถูอู้ลี่ ประการที่สองเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงพลังอันมั่นคงของซ่งชูอีที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้ภูเขาจะถล่มลงมา
“เป็นที่สะดุดตามากหรือ?” ซ่งชูอียกมุมปากยิ้ม ถามจี้ฮ่วนด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่เช่นเดิม
ทุกคนประหลาดใจที่ซ่งชูอีถูกปิดตาแต่สามารถเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะเชื่อข่าวลือมากกว่าเดิม
จี้ฮ่วนก็มองซ่งชูอีตามสายตาเหล่านั้นเช่นกัน ในโลกที่ยากลำบากนี้ เขาได้เห็นผู้หญิงอ่อนแอใช้ชีวิตอย่างปากกัดตีนถีบมานับไม่ถ้วน แต่เขากลับไม่เคยเห็นผู้หญิงคนใดที่ใช้ชีวิตแข็งแกร่งได้เท่านางเลย
สิ่งที่เรียกว่าแข็งแกร่งไม่ได้หมายถึงความสามารถหรือพลังที่มีมากมาย แต่เป็นการเปิดใจกว้างและทัศนคติเชิงบวกเมื่อเผชิญกับความพ่ายแพ้
“ท่านขอรับ ถ้าอย่างไรกลับไปรักษาตาที่เสียนหยางเถิด” จี้ฮ่วนอดกล่าวที่ไม่ได้
ไป๋เริ่นแนบหน้าท้องกับหินเพื่อรับความเย็น ซ่งชูอีพิงร่างกายใหญ่โตของมัน กล่าวด้วยความเป็นห่วงบ้านเมืองและประชาชน “หากต้าฉินมีแม่ทัพเทพที่เสมือนเสือติดปีกเยี่ยงถูอู้ลี่หรือหากสามารถเกลี้ยกล่อมให้เขาสวามิภักดิ์ตต่อรัฐฉินได้ ดวงตาคู่หนึ่งจะมีค่าอะไร”
ซ่งชูอีสวมเสื้อคลุมสีขาวชั้นเดียว ใบหน้าถูกปิดด้วยแถบผ้าสีดำ เอนพิงหมาป่าหิมะ แม้หน้าตามิได้หล่อเหลาหรือสง่างามดุจเทพ ทว่าเมื่อทุกคนเห็นบุคลิกสบายๆ นั้นแล้วก็รู้สึกว่านางมิใช่คนสามัญธรรมดาจริงๆ
“ท่านช่างมีคุณธรรมเหลือเกิน!” ไม่รู้ว่าใครอุทานชื่นชม
ทุกคนต่างเออออเห็นด้วย ต่างตะโกนสรรเสริญว่านางสูงส่งบ้าง จงรักภักดีบ้าง…
มีเพียงจี้ฮ่วนเท่านั้นที่เห็นได้ชัดว่ามุมริมฝีปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย แม้เป็นรอยยิ้มแต่มีความเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด จี้ฮ่วนคิดในใจ นางคิดจะอยู่ต่อเพื่อรอดูถูอู้ลี่ตายกระมัง! หากไม่ตาย เกรงว่านางก็คงคิดหาวิธีทำให้เขาตาย
อย่างไรก็ดีหัวหน้าหมอกล่าวว่าจะรักษาดวงตาของนางช้าหรือเร็วก็มิได้แตกต่างกันนัก จี้ฮ่วนจึงมิได้เกลี้ยกล่อมนางอีก
จี้ฮ่วนนึกว่ามีโอกาสในการรักษามาก ในความเป็นจริงสิ่งที่หัวหน้าหมอบอกกลับตรงกันข้าม “ผู้ที่รักษาโรคตาประเภทนี้ได้ต่อให้ซ่งชูอีตาบอกสักปีสองปีก็สามารถรักษาให้หายได้เช่นกัน ทว่าในโลกใบนี้มีเพียงไม่กี่คน”
แม้ซ่งชูอีไม่คิดที่จะกลับเสียนหยางทันที ทว่าคำพูดของจี้ฮ่วนเตือนสตินาง “ฮ่วน ให้คนส่งข่าวไปยังเสียนหยางเถิด กราบทูลฝ่าบาทว่าข้ากลายเป็นคนตาบอดแล้ว”
หากอิ๋งซื่อมีใจจริงก็จะหาหมอเทวดามาช่วยเหลือนาง
ดวงอาทิตย์ส่องแสง ความชื้นบนพื้นดินระเหยอย่างรวดเร็ว จี้ฮ่วนหาที่ร่มรื่นให้นาง ส่วนตัวเองก็ไปหาสองสามคนมาช่วยย้ายกระโจมของซ่งชูอีไปยังพื้นที่แห้งเพื่อป้องกันความชื้นมิให้บุกรุกร่างกายและส่งผลเสียต่อสุขภาพ