กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 50 ใช้ความแข็งเกร่งโจมตีผู้อ่อนแอ
บทที่ 50 ใช้ความแข็งเกร่งโจมตีผู้อ่อนแอ
Ink Stone_Romance
นี่คือยุคของเสรีภาพทางปัญญา สามารถแสดงความรู้สึกได้ตามใจชอบ สามารถใช้คำพูดทางวิชาการเพื่อโค่นล้มความรู้เดิม นี่คือยุคที่เปิดกว้างต่อบัณฑิตเป็นอย่างยิ่ง สามารถเปิดโปงเหตุการณ์ในปัจจุบัน สามารถทวนกระแสสังคม แม้กระทั่งวิพากย์วิจารณ์พฤติกรรมไร้คุณธรรมขององค์จักรพรรดิหรือตะโกนด่าองค์จักรพรรดิก็ได้
ทว่าก็จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อคำพูดของตน หากคำพูดเป็นความจริงมีเหตุผล ไม่เพียงแต่ไม่ถูกลงโทษ แต่ยังได้นับความนับหน้าถือตา อย่างไรก็ดีองค์จวินมีตำแหน่งสูงส่ง หลังจากด่าออกไปแล้วพบว่าสิ่งที่พูดไม่เป็นความจริง เพียงแค่กล่าวว่ามันเป็นความเข้าใจผิดก็จบงั้นหรือ?
พฤติกรรมสำนึกผิดด้วยการปลิดชีพตนเองของมู่ซวี่แม้จะรุนแรง แต่กลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง การรับผิดชอบคำพูดของตัวเองด้วยชีวิตนั้นเป็นพฤติกรรมที่น่ายกย่องสรรเสริญ
ซ่งชูอีจิบเหล้าสาโท รสชาติหอมของสุราแผ่ซ่านอยู่ที่ปลายลิ้น
มู่ซวี่ก็มิได้วาดดาบปลิดชีพตนสุ่มสี่สุ่มห้า เขาเป็นคนที่เลือดร้อนและมีหัวใจที่รักชาติคนหนึ่ง จึงสามารถใช้โลหิตของตนรับโทษในครานี้ เมื่อมีโลหิตของบัณฑิตผสมผสานเข้าด้วยกัน การรับโทษครานี้จึงยิ่งมีพลังมากขึ้น นี่เป็นประโยชน์ต่อ
กลยุทธ์ของซ่งชูอีอย่างมากโดยไม่ต้องสงสัย
ศพของมู่ซวี่ถูกเชิญออกไปนอกโรงเหล้าด้วยความเคารพ เหล่าบัณฑิตร่วมกันส่งศพท่ามกลางหิมะโปรยปราย
เพียงชั่วครู่ ในโรงเหล้าก็เหลือซ่งชูอีเพียงคนเดียวที่แต่งตัวดุจอาลักษณ์ ทว่าโชคดีที่นางนั่งอยู่ในโอกงามจึงมิได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจนเกินไป
หลังจากกินเนื้อย่างไปเล็กน้อย ดื่มสุราไปครึ่งหนึ่ง บัดนี้เหล่าบัณฑิตเริ่มกลับมาแล้ว โรงเหล้าที่เงียบงันครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ทุกคนมีความทุกข์ใจแน่นอก แต่ละคนทยอยขอแผ่นไม้ไผ่ แปรงเขียนและหมึกกับที่ร้าน นำคำกล่าวโทษที่กลั่นออกมาจากใจแล้วเริ่มเขียนด้วยระดับที่ดีที่สุดของตน ทันใดนั้นทั้งโรงเหล้าก็กลายเป็นหออักษร
“นายท่านไม่เขียนหรือเจ้าคะ?” สาวใช้นำแผ่นไม้ไผ่มาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ค้อมตัว สองมือชูขึ้นเหนือศีรษะ
ซ่งชูอีอึ้งไปครู่หนึ่ง เอ่ยถาม “ใครสั่งให้เจ้านำแผ่นไม้ไผ่มาให้ข้า?”
“คือ…” สาวใช้ลังเลเล็กน้อย
ชายหนุ่มแต่งตัวดีผู้หนึ่งถือสุราเดินเข้ามาจากในโอกงามตรงข้าม “พี่ชายน้อยรู้ได้เยี่ยงไรว่ามิใช่สาวใช้ผู้นี้ที่เชิญให้ท่านฝากงานเขียนอันยอดเยี่ยม?”
ชายหนุ่มผู้นี้อายุประมาณยี่สิบห้าปี ดวงหน้าได้สัดส่วน ขากรรไกรมีเคราสั้น สะอาดเรียบร้อย แต่งตัวเป็นพ่อค้าชัดเจน แต่กลับมิได้มีรสนิยมหยาบๆ ดังพ่อค้าคนกลาง
ซ่งชูอีรับแผ่นไม้ไผ่มาจากสาวใช้ คลี่ออกอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย ทว่ากลับมิมีทีท่าจะจับแปรงเขียน เพียงแต่ยื่นมือเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนนั่งลง
“ข้าน้อยมีความรู้ตื้นเขิน แม้นในใจมีความปรารถนาแต่กำลังมิเพียงพอ เขียนออกมาชวนให้ขบขัน อาจสร้างความเสียหายต่อการกล่าวโทษที่จริงจังครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ทว่ากลับเห็นท่านบุคลิกไม่สามัญ จะต้องมีบทความอันน่าทึ่งในตัวเป็นแน่แท้ ท่านจะช่วยเสียหน่อยได้หรือไม่?” ซ่งชูอีอมยิ้ม ผลักแผ่นไม้ไผ่ที่คลี่ออกแล้วไปหาคนตรงหน้า
ผู้นั้นรีบโบกไม้โบกมือเอ่ย “มิบังอาจ มิบังอาจ ข้าน้อยเป็นเพียงผู้ค้าขาย กลืนกินพุทราทั้งลูกโดยไม่เคี้ยว[1] อ่านเพียงตำราไม่กี่ม้วน จะเขียนบทความออกมาได้เยี่ยงไร! ยิ่งมิคู่ควรกับคำว่า ‘ท่าน’ คำนี้!”
ซ่งชูอีไม่เกลี้ยกล่อมให้เขาเขียนอีก ได้แต่ยิ้มเอ่ย “ในเมื่อพวกเราสองคนต่างไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็รอผลงานของผู้อื่นอย่างสบายใจเถิด!”
สาวใช้ยกอาหารของผู้นี้มาจากในโอกงามหลังนั้น แล้ววางอยู่ด้วยกันกับอาหารของซ่งชูอี
“ข้าน้อยอวี๋เชอ เป็นพ่อค้าชาวฉู่ มิทราบว่าท่านมีนามว่ากระไร” อวี๋เชอประสานมือคารวะถาม
ซ่งชูอีสังเกตว่าเมื่อครู่เขายังใช้คำว่า “พี่ชายน้อย” เพียงพริบตาเดียวกลับเรียกว่า “ท่าน” นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ซ่งหวยจิน”
“หวยจิน? หรือว่าจะเป็นท่านหวยจินท่านนั้นที่คลี่คลายภยันตรายให้กับรัฐเว่ย์?” อวี๋เชอมองนางด้วยความประหลาดใจ
ซ่งชูอีแสร้งทำเป็นแปลกใจ “เกรงว่าข้อมูลของพี่อวี๋เชอผิดแล้วกระมัง ผู้ที่คลี่คลายภยันตรายให้แก่รัฐเว่ย์มิใช่ท่าน
หมิ่นฉือหรอกหรือ?”
ทั่วทั้งรัฐซ่งต่างรู้สึกว่าการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเว่ย์และรัฐซ่งครานี้เป็นผลมาจากการประนีประนอมของหมิ่นฉือ ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่ามีผู้ชื่อซ่งชูอี ชื่อเสียงเล็กน้อยของซ่งชูอีนั้นเป็นเพราะข้อถกเถียงว่าด้วยรัฐผู้อ่อนแอที่ต่อสู้เพื่ออำนาจเมื่อวาน และชื่อเสียงของนางวนเวียนเพียงในผูหยางเท่านั้น เป็นไปได้ว่ามีเพียงบัณฑิตในถนนสายนี้ที่รู้ด้วยซ้ำ มิอาจเทียบกับหมิ่นฉือได้เลย
“ฮ่าๆ ผู้อยู่ในที่แจ้งไม่พูดจาอ้อมค้อม ข่าวของเหล่าพ่อค้าเช่นพวกข้ารวดเร็วทันใจเป็นที่สุด ซ่งเว่ย์สานสัมพันธ์ งานของท่านหมิ่นฉือเป็นเพียงเปลือกนอก ทว่ามิอาจขาดความอุตสาหะของท่านหวยจิน” อวี๋เชอยิ้มเอ่ย
ซ่งชูอีคิดในใจ ‘เจ้าต่างหากที่พูดจาอ้อมค้อมกับข้า เช่นนี้จะโทษข้ามิได้แล้ว’ อวี๋เชอพบนางก็เพียงประหลาดใจกับสถานะของนาง แต่มิได้แสดงอาการตกตะลึงกับอายุของนางเช่นผู้คนทั่วไป นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเคยเห็นนางมาก่อน แม้กระทั่งเคยสืบเรื่องของนางมาแล้ว ทว่าแสร้งทำเป็นเคยได้ยินแต่มิเคยพบเจอ ไม่รู้ว่ามีเจตนาใดกันแน่
“ข่าวสารของพี่อวี๋เชอฉับไวโดยแท้! เพียงแต่พี่อวี๋เชอยกความดีความชอบทั้งหมดให้ข้า มันจะไม่ยุติธรรมต่อท่านหมิ่นฉือ” ซ่งชูอีจิบสุราคำหนึ่ง เอ่ยขึ้น “ข่าวสารของพี่อวี๋เชอรวดเร็วทันใด น่าจะรู้ว่าระยะหลังนี้มีการลุกฮือของคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่าสำนักจงเหิง (สำนักปรัชญาวิชาทูต) กระมัง”
อวี๋เชอฉงนใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดซ่งชูอีจึงหยิบยกเรื่องนี้ ทว่าก็ยังพยักหน้าเอ่ย “เคยได้ยินมาบ้าง เห็นว่ามาจากสำนักกุ๋ยกู่ หากแต่ไร้วาสนาอ่านทฤษฎีแห่งจงเหิง มิทราบว่าพวกเขากระทำการใดบ้าง”
“พี่อวี๋เชอมีบุคลิกของศิษย์สำนักจงเหิงอยู่บ้าง” ซ่งชูอีกล่าว
อวี๋เชอเอ่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น “อ๋อ? ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?”
ซ่งชูอียิ้มกว้างเอ่ย “เก่งกาจในด้านเจอคนก็พูดภาษาคน เจอผีก็พูดภาษาผี”
การนำพ่อค้ามาเปรียบกับบัณฑิต สถานะก็คือราคาประเภทหนึ่ง ไม่นับว่าเป็นการเสียดสี แต่มันน่าสนุกขึ้นมาหน่อยก็เท่านั้น
อวี๋เชอหัวร่อเสียงดัง เขามีความสนใจในสำนักจงเหิงยิ่ง จึงถามต่อ “ท่านเคยอ่านทฤษฎีของจงเหิงงั้นหรือ? มิทราบว่าสำนักจงเหินทำการอันใดบ้าง?”
“มิเคยอ่าน เพียงแต่เคยได้ยินเท่านั้น” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความจริงใจเป็นอย่างมาก ทว่าในความเป็นจริงแล้ว นางไม่เพียงแต่เคยอ่าน อีกทั้งยังเคยศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่หลายปี
สำนักจงเหิงนั้น ผู้ปฏิบัติจงจะรวมตัวผู้อ่อนแอเพื่อโจมตีผู้แข็งแกร่ง ผู้ปฏิบัติเหิงจะสร้างความแข็งแกร่งเพื่อโจมตีผู้อ่อนแอ เส้นทางการโค่นรัฐของนางนั้น มีแนวทางที่คล้ายกัน “เหิง” แม้นวิธีที่ใช้จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ทว่าล้วนต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพื่อโจมตีผู้อ่อนแอ ด้วยเหตุนี้นางจึงเห็นด้วยกับคำกล่าวของเหิงเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านทราบหรือไม่ ว่าเหล่าศิษย์สำนักจงเหิงที่มาจากกุ๋ยกู่ล้วนอยู่ที่ใดกันบ้าง?” อวี๋เชอเอ่ยถาม
ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย จิบเหล้าสาโทคำหนึ่ง เอ่ยขึ้น “พี่อวี๋เชอใจร้อนเกินไปหรือเปล่า?”
พ่อค้าสนใจในผลกำไร ครั้นได้ยินเรื่องราวที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าแล้วก็เพียงเกิดความอยากรู้อยากเห็นผิวเผิน พ่อค้าส่วนใหญ่มักจะมีความสนใจในทฤษฎีแห่งจงเหิง แต่จะไม่ถามถึงข้อมูลข่าวคราวที่อยู่ของบัณฑิตสำนักจงเหิงโดยที่ไม่รู้ถึงทฤษฎีของสำนัก นอกเสียจากว่าเขาต้องการไปหาบัณฑิตแห่งจงเหิงเพื่อทำความเข้าใจด้วยตนเอง ทว่าจะหาบัณฑิตแห่งจงเหิงไปเพื่อกระไร?
อวี๋เชอนิ่งไปครู่หนึ่ง จึงเข้าใจว่าตัวเองถูกซ่งชูอีมองอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งนานแล้ว นางเปลี่ยนหัวข้อไปที่บัณฑิตแห่งสำนักจงเหิงอย่างแนบเนียน ไม่ใช่เพราะเพียงต้องการจะหยอกล้อเขา แต่เป็นเพราะต้องการกระชากโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาออกมา
อวี๋เชอถูกเปิดโปง ไม่เพียงไม่รู้สึกละอายใจ แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อ โค้งคำนับซ่งชูอี “วันหน้า
อวี๋เชอจะต้องแวะคารวะท่านให้ได้!”
ซ่งชูอียิ้มจางๆ ไม่ได้พูดว่าต้อนรับหรือไม่ต้อนรับ
อวี๋เชอราวกับพึงพอใจกับการแสดงออกของซ่งชูอีเป็นอย่างยิ่ง เขาลุกขึ้นจากไปอย่างมีความสุข
ซ่งชูอีหลุบตาลง มองดูเงาของเขาที่ทะลุผ่านห้องโถงใหญ่ ราวกับกำลังจมอยู่ในความคิด เอ่ยกับสาวใช้ทันใด “แปรงเขียนและหมึก”
สองมือของสาวใช้ยกแปรงเขียนที่จุ่มหมึกไว้แล้ว ซ่งชูอีแผ่แผ่นไม้ไผ่ที่ว่างเหล่าตรงหน้าตัวเอง วางจอกเหล้าลง ก้มหน้าก้มตาตวัดเขียนอย่างรวดเร็ว
………………………….
[1] กลืนกินพุทราทั้งลูกโดยไม่เคี้ยว คือสุภาษิตเปรียบเปรยผู้ที่มีความรู้เพียงคลุมเครือแต่ทำเป็นอวดเก่ง