กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 57 ปฏิบัติเยี่ยงอัครมหาเสนาบดี
บทที่ 57 ปฏิบัติเยี่ยงอัครมหาเสนาบดี
Ink Stone_Romance
“หัวใจหลักของลัทธิเต๋าคือความเงียบสงบและการวางเฉย คิดว่าท่านคงไม่ศึกษาสำนักยุทธพิชัยกระมัง?” แม้นหลงกู่ปู้วั่งคาดหวังว่าซ่งชูอีจะเข้าใจ ทว่าความจริงก็อยู่ตรงหน้า
ซ่งชูอีเกาๆ คอ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเงียบสงบและวางเฉยรึ?”
ดวงตาหลงกู่ปู้วั่งเป็นประกาย “ท่านอาจารย์เข้าใจสำนักยุทธพิชัย?”
“หากเจ้าต้องการเรียนรู้ ข้าก็สอนให้ได้” ซ่งชูอีในฐานะกุนซือ สามารถใช้ได้ทุกวิถีทาง ถ้าหากเจาะลึกเพียงสำนักใดสำนักหนึ่ง ความคิดก็จะถูกจำกัดได้ง่ายมากและจะใช้หลักทฤษฎีของสำนักนั้นๆ ในการไตร่ตรองทุกอย่างโดยมิได้ตั้งใจ ครั้นเป็นเช่นนี้ก็จะถูกศัตรูจับทางได้อย่างง่ายดาย โอกาสที่แผนการจะถูกคาดเดาก็มีสูง
ซ่งชูอีเคยอ่านหลักแนวคิดมาหลากหลายสำนัก ละทิ้งส่วนที่นางไม่เห็นด้วย ศึกษาสิ่งที่นางรู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยรวมแล้วลัทธิเต๋าคือกระดูก ลัทธิยุทธพิชัยคือหัวใจ และลัทธิขงจื้อคือผิวหนัง
“จริงรึ?” หลงกู่ปู้วั่งดีใจยิ่ง ประสานมือเอ่ย “อาจารย์ บัดนี้สามารถเริ่มเรียนได้แล้วกระมัง?”
“หลักทฤษฎีของสำนักยุทธพิชัย เจ้าก็เคยอ่านมาแล้วมิใช่หรือ?” ซ่งชูอีเคาะนิ้วเป็นจังหวะอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย “ไปอ่านอีกรอบ มีตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามข้าได้”
หลงกู่ปู้วั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “อาจารย์จะไม่ช่วยข้าอธิบายอย่างละเอียดหรือ?”
“เจ้าเป็นคนฉลาด จะใช้วิธีโง่เขลาเช่นนี้ดูแคลนเจ้าได้เยี่ยงไร” ซ่งชูอีหาว ลุกขึ้นกล่าว “เจ้าอ่านหนังสือไปก่อนเถิด พรุ่งนี้จะเริ่มเรียนอย่างเป็นทางการ”
หลงกู่ปู้วั่งพิจารณาคำพูดครึ่งแรกของซ่งชูอีอย่างถี่ถ้วน หากเป็นคำประชดประชันถากถาง น้ำเสียงของนางก็จริงใจเกินไป หากเป็นการเอ่ยชม ก็รู้สึกพอเป็นพิธีเกินไป จนกระทั่งซ่งชูอีออกไปแล้ว หลงกู่ปู้วั่งก็ยังคงคิดไม่ออกว่านางหมายความว่ากระไร แต่กลับเชื่อฟังโดยการหยิบตำราของกุ่นกู๋จื๋อขึ้นมาอ่านแล้ว
ซ่งชูอีเดินออกมาจากห้องเรียน ขอยาจำนวนหนึ่งจากผู้ดูแลจวน
ครั้นกลับมาถึงลานของตน ซ่งชูอีก็ไปดูเด็กคนนั้น หลังจากป้อนยาของหนานฉีแล้ว อาการป่วยของเด็กน้อยดูเหมือนจะทรงตัวขึ้นมาก บัดนี้ก็หยุดไอแล้วด้วย เพียงแต่ร่างกายยังคงร้อนผ่าว แม้นขณะหลับก็ยังหดตัวสั่นอยู่ในผ้านวม
ซ่งชูอีสั่งให้จื๋อหย่านำเตาต้มสุราขนาดเล็กเข้ามา บดยาสมุนไพรจนละเอียดแล้วนำไปต้มในหม้อดิน
หิมะหนักหยุดแล้ว แสงอาทิตย์ส่องสว่าง อุณหภูมิลดต่ำกว่าเมื่อสองวันที่แล้ว
ซ่งชูอีเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ คุกเข่าอยู่ตรงเฉลียงมองดูหิมะภายในลานที่ทับถมเป็นชั้นหนา กลิ่นยาหนักหน่วงลอยอบอวนเต็มลาน
“ท่านหวยจิน!” มีคนตะโกนมาจากประตูด้านข้าง
ซ่งชูอีดึงสติกลับมา “ประตูมิได้ลงกลอน”
ประตูถูกผลักเปิด เด็กหนุ่มผู้หนึ่งยื่นศีรษะออกมาจากด้านหลังประตู ครั้นเห็นซ่งชูอีนั่งคุกเข่าตรงเฉลียงจึงเปิดประตูออก หันไปบอกคนที่อยู่ข้างหลังให้ยกของเข้ามา
“ท่านหวยจิน นี่คือสิ่งของหน้าหนาวที่ผู้ดูแลจวนมอบให้ท่าน ท่านจะให้นำไปไว้ในห้องใด?” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มมีความนอบน้อม แต่กลับอดไม่ไหวที่จะลอบมองซ่งชูอี
ซ่งชูอีเห็นว่าด้านหลังของเด็กหนุ่มมีคนใช้สี่คนกำลังยกกล่องขนาดใหญ่สองใบ ขมวดคิ้วเอ่ย “สิ่งของเยอะเพียงนี้…ผู้ดูแลหลิวเป็นคนสั่งหรือ?”
“นายท่านเคยกำชับไว้ ทว่าสิ่งของบางอย่างผู้ดูแลหลิวเป็นคนสั่งการขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ย
“จื๋อหย่า” ซ่งชูอีเพิ่มระดับเสียง
จื๋อหย่ารีบวิ่งออกมาจากห้อง
“นำผ้านวมไปสองผืน” ซ่งชูอีกล่าว
“เจ้าค่ะ” จื๋อหย่าตอบเสียงเบา ก้มศีรษะเดินไปข้างหน้า
เด็กหนุ่มสั่งให้คนเปิดกล่องออก จื๋อหย่าหยิบผ้านวมออกมาจากกล่อง แล้วเอาเข้าไปในห้องนอน
ซ่งชูอีเอ่ย “นำของอย่างอื่นกลับไปเถิด”
“ท่าน?” เด็กหนุ่มสีหน้าเปี่ยมด้วยความประหลาดใจ ค้อมตัวเล็กน้อยเอ่ยว่า “หากท่านไม่ต้องการ มีคำอธิบายใดหรือไม่?”
ในฐานะแขก เมื่อเจ้าบ้านมอบของกำนัลให้แสดงว่าถูกให้ความสำคัญและเป็นอีกวิธีหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของตน คนส่วนใหญ่ไม่เพียงไม่ปฏิเสธ อีกทั้งยังกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ ในทางกลับกัน การปฏิเสธของกำนัลจากเจ้าบ้านจำเป็นต้องมีคำอธิบาย
“หวยจินเข้าจวนได้เพียงสามวัน มิได้ทำงานใหญ่ใด ไม่ควรรับของกำนัลเช่นนี้” ซ่งชูอีหรี่ตาพลางใช้ช้อนกวนยาในหม้อ พลางเอ่ย
‘นับว่าเป็นความจริง’ เด็กหนุ่มคิดในใจ
กลิ่นยาหอมหวลลอยอยู่ในอากาศอันเหน็บหนาว ไอร้อนที่ลอยขึ้นมาจากในหม้อแทบจะบดบังร่างของซ่งชูอีทั้งหมด เด็กหนุ่มรออยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่านางไม่มีท่าทีจะพูดจาจึงกล่าวว่า “บ่าวขอลา”
สิ้นวาจา ก็สั่งให้คนยกกล่องออกไปอีกครั้ง
ซ่งชูอีชำเลืองมอง อันที่จริงรู้สึกเจ็บปวดไปถึงเนื้อและหัวใจ ในใจพลันคิดว่าหลงกู่ชิ่งผู้นี้ช่างใจกว้างเหลือเกิน ถ้าให้นางเป็นการส่วนตัวก็คงจะดีไม่น้อย!
“เฮ้อ!” ซ่งชูอีถอนหายใจ ใช้ผ้าห่อหม้อดิน เทยาที่อยู่ข้างลงในชาม ยกเข้าไปในห้อง
จื๋อหย่าปูที่นอนอย่างดี รีบเข้ามารับยา
ซ่งชูอีนั่งลงถัดจากอ่างเผาฟืน คิดว่าควรจะทำการค้าขายหาเงินเสียหน่อย รัฐเว่ย์เพิ่งผ่านสงคราม แม้นว่าดินแดนจะถูกยึดครองไปเสียครึ่งหนึ่ง ทว่าผู้คนจำนวนมากก็ต้องมาจบชีวิตลง พื้นที่ชายแดนระหว่างรัฐเว่ยกับรัฐเว่ย์น่าจะมีที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่น้อย
ที่ดินรกร้างที่ว่าก็ใช่ว่าไม่มีเจ้าของ เพียงแต่ผู้ชายในครอบครัวเสียชีวิตระหว่างสงคราม ในบ้านจึงเหลือเพียงเด็กสตรีและคนชราผู้อ่อนแอ ยิ่งไม่สามารถเพาะปลูกที่นากว้างใหญ่ได้ พื้นที่ที่ไร้ผู้คนเพาะปลูกจำนวนมากจึงกำลังค่อยๆ ถูกทิ้งร้าง หากสามารถใช้เงินทุนจำนวนน้อยนิดเพื่อแลกกับที่ดินเหล่านี้ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเคราะห์ดีได้คนมาจำนวนหนึ่งด้วย
จื๋อหย่าป้อนยาเด็กน้อยเสร็จแล้ว หันกลับมาก็เห็นซ่งชูอีกำลังเหม่อลอย พลันนึกว่านางเสียดายของกำนัลเหล่านั้น “เหตุใดท่านจึงต้องปฏิเสธของกำนัลด้วยเจ้าคะ?”
ซ่งชูอีดึงสติกลับมา “เมื่อครู่ก็กล่าวแล้วมิใช่หรือ?”
นางมาที่จวนหลงกู่ได้สามวัน ก่อนหน้านี้ได้ช่วยจี๋อวี่พูดจาหว่านล้อมรัฐซ่ง ผู้คนจำนวนมากที่รู้เรื่องภายในล้วนคิดว่าเป็นความอุตสาหะของนาง อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าหมิ่นฉือจะไปตามลำพังหรือนางจะไปตามลำพัง ก็ต่างสามารถทำงานนี้ให้ประสบความสำเร็จได้ ซ่งชูอีมิอาจเชิดหน้าชูตาได้เพียงผู้เดียว และสำหรับกลยุทธ์ในครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่ใหญ่หลวงนัก จะสำเร็จหรือไม่ยังมิอาจล่วงรู้ อีกทั้งยังต้องดำเนินการอย่างลับๆ ในสายตาของทุกคนแล้ว มันคือการได้รับรางวัลโดยไร้เหตุผล
ในขณะนี้ซ่งชูอียังมิอยากตกเป็นเป้าสายตา
จื๋อหย่าเชื่อว่าซ่งชูอีเป็นคนที่เต็มไปด้วยแผนการ ดังนั้นไม่ว่าซ่งชูอีจะทำหรือกล่าวกระไร นางก็จะไม่คิดว่ามันเป็นความจริง
ซ่งชูอีหลุบตาลง ครุ่นคิดว่าควรจะจัดการกับจื๋อหย่าเยี่ยงไร
อ่างเผาฟืนส่งเสียงแตกเปรี๊ยะๆ เป็นครั้งคราว จื๋อหย่ามิกล้ารบกวน หลังจากป้อนยาให้เด็กน้อยเสร็จแล้ว ก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ
สายลมที่อยู่ด้านนอกพัดหมุนหิมะที่ทับถมอยู่บนพื้นลอยขึ้นไปในชั้นอากาศ
เสียงครหาของรัฐเว่ย คล้ายลอยตามสายลมนี้ไปยังรัฐต่างๆ
พระราชวังแห่งเว่ยอ๋องตั้งตระหง่านท่ามกลางหิมะสีขาว รายล้อมไปด้วยทหารองครักษ์ในเสื้อเกราะ ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นในหอพระอักษร
“บทความดีๆ ของรัฐเว่ย์มีมากแท้ น่าสนใจ” ม่านลูกปัดบนมงกุฎของเว่ยอ๋องบนพระที่นั่งแกว่งไปมา เห็นได้ชัดว่าทรงพระปรีดายิ่ง
“ข้าแต่พระองค์” เสนาบดีเหยาเจิ้งประสานมือคำนับ “เรื่องนี้จะดูแคลนมิได้เป็นอันขาด ได้ยินว่าเว่ย์โหวได้ส่งราชทูตพิเศษไปหาโจวเทียนจื่อเพื่อกล่าวโทษพวกเรา”
“โจวเทียนจื่อ ฮ่าๆ เป็นเพียงการจัดฉากเท่านั้น เขาจะทำอันใดต่อรัฐเว่ยของพวกเราได้?” เว่ยอ๋องตรัสอย่างไม่ใส่ใจ
เหยาเจิ้งต้องการเอ่ยต่อ แต่เว่ยอ๋องขัดขึ้น “ตรงนี้มีบทความหนึ่ง เขียนได้คมคายยิ่ง อีกทั้งทักษะวรรณกรรณยอดเยี่ยม เจ้าจงสั่งให้คนตามหา หากเขายินยอมมาพบข้าในรัฐเว่ย กว่าเหรินจะปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงอัครมหาเสนาบดี”
ตรัสพลางสั่งให้คนรับใช้ในวังส่งแผ่นไม้ไผ่ให้เหยาเจิ้ง
เหยาเจิ้งได้ยินดังนี้ก็ตัวสั่นด้วยความกลัว รีบยื่นสองมือรับไว้
เพียงเริ่มอ่าน ทั้งตัวก็เต็มไปด้วยเหงื่อ บทความงดงามสมบูรณ์ ถ้อยคำสวยงามแต่กลับไม่ไร้สาระ แต่ละประโยคตรงประเด็น จะต้องเป็นบุคคลที่ท่องโลกมามากจึงจะสามารถเขียนบทความเช่นนี้ได้!
“ฝ่าบาท ก่อนพบผู้นี้ จะต้องยังยั้งมิให้บทความนี้แพร่งพรายออกไป มิฉะนั้นจะไม่เป็นประโยชน์ต่อต้าเว่ยพะยะค่ะ!”
เหยาเจิ้งรีบทูลเตือน
“อืม เจ้าพูดมีเหตุผล” เว่ยอ๋องพยักหน้าน้อยๆ หยิบอีกม้วนขึ้นมาจากพระที่นั่งแล้วโยนมันไป “บทความนี้ก็ไม่เลว จงพยายามให้เต็มที่”
………………………….