กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 69 เด็กหญิงหนิงยา
บทที่ 69 เด็กหญิงหนิงยา
Ink Stone_Romance
ทาสหญิงยิ่งสวยยิ่งขายได้ราคาดี ส่วนทาสชายนั้น ขอเพียงไร้โรคภัย ครบสามสิบสามประการ ราคาทั่วไปก็มิได้สูงเท่าใดนัก นอกเสียจากว่าจะหล่อเหลาระดับเจ้าอี่โหลว ฉะนั้นซ่งชูอีจึงหมกมุ่นกับอยู่ซื้อขายทาสหญิงมากกว่า โดยเฉพาะทาสหญิงหน้าตาดี
ทางนั้นฉุดกระชากลากถูกันวุ่นวาย ทว่าซ่งชูอีเข้าใจภาพรวมแล้ว ดูเหมือนว่าผู้ชายหน้าตาหยาบคายคนหนึ่งพาเด็กผู้หญิงคนนั้นมาขาย แต่ว่าฮูหยินกลับไม่เห็นด้วย
จี้ฮ่วนก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา ประสานมือเอ่ย “ท่าน แม่นางผู้นั้นกล่าวว่าหากพวกเราจะซื้อก็ซื้อนางไปด้วย”
ซ่งชูอีขมวดคิ้ว “ไปบอกนาง พวกเรายินดีแลกผ้าต่วนหนึ่งม้วนกับเด็กหญิงคนนั้น หากพานางไปด้วย พวกเราจะแลกเพียงครึ่งม้วนเท่านั้น”
“ท่าน นี่เป็นเพราะเหตุผลใด?” จี้ฮ่วนงงงวย คนหนึ่งสามารถแลกกับผ้าต่วนหนึ่งม้วนได้ แต่สองคนกลับแลกได้เพียงครึ่งม้วน? คำนวณผิดหรือเปล่า?
“พวกเราทำการค้ามนุษย์ มิได้ทำการกุศล! แม่นางผู้นั้นอายุราวๆ สี่สิบ ขาซ้ายง่อยเปลี้ย ใบหน้าร่วงโรย ริมฝีปากขาวซีด เห็นได้ชัดว่าป่วยมานาน พาขึ้นมาด้วยย่อมขาดทุนเป็นแน่แท้” ซ่งชูอีเอ่ย
จี้ฮ่วนประสานมือกำลังจะถอยออกไป แต่กลับถูกซ่งชูอีเรียกไว้อีกครั้ง “สิ่งที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ เจ้ารู้ไว้ก็พอ ไปอธิบายเรื่องราคาว่า ครั้นพวกเราซื้อเด็กสาวเข้ามาในขบวนรถแล้วก็จะได้กินข้าวขาว ได้ใส่ผ้าต่วน พวกเราเอานางมาไม่มีประโยชน์ หากนางต้องการจะติดตาม เป็นธรรมดาที่พวกเราจะต้องเก็บเงิน”
ความจริงแล้วการซื้อขายมนุษย์เป็นเรื่องที่ปกติยิ่งในปัจจุบัน นี่คือยุคสมัยแห่งการนองเลือดและเป็นยุคสมัยแห่งความเลือดเย็น ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาซ่งชูอีไม่เคยมีความเมตตาที่เกินจำเป็น เพราะว่าผู้ที่ต้องการความเห็นใจในโลกใบนี้มีมากเกินไปแล้ว และความเมตตาที่เกินจำเป็นคือความอ่อนแอ ผู้อ่อนแอที่ไม่สามารถแม้แต่ปกป้องตัวเองจะมีสิทธิ์ใดไปเห็นใจผู้อื่น!
อีกทั้งด้วยรูปลักษณ์ของเด็กสาวคนนี้ ช้าเร็วก็จะต้องถูกขาย ซ่งชูอีสามารถแบกความรับผิดชอบได้อีกหน่อยและหาผู้ซื้อที่ดีให้แก่นาง มันอาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับนางก็ได้
จี้ฮ่วนเดินเข้าไปเพื่อส่งต่อคำพูดของซ่งชูอี
ทันใดนั้นฝูงชนที่โหวกเหวกโวยวายก็เงียบเสียงลง ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าการเป็นทาสจะได้กินข้าวขาว! และยังได้ใส่ผ้าต่วนด้วย!
“ซื้อลูกบ้านข้า! ซื้อลูกบ้านข้า!” ผู้หญิงคนหนึ่งรีบดึงลูกมาให้จี้ฮ่วนดู “หน่วยก้านลูกบ้านข้าดีเชียว”
“ซื้อข้าเถิด ท่านชายผู้แข็งแกร่ง ปีนี้ข้าสิบสามปีแล้ว…”
“ลูกสาว ลูกสาวของบ้านข้า เลี้ยงแล้วสุขภาพแข็งแรงเป็นแน่ ท่านดูสิว่าได้หรือเปล่า?”
……
ข้าวขาวและผ่าต่วนนั้น สามารถเอาชนะสติปัญญาของทุกคนได้อย่างง่ายดาย แม้นหญิงผู้นั้นที่เป็นห่วงลูกสาวก็ปล่อยมือไปอย่างช้าๆ
มีคนจำนวนเท่าใดที่ต้องไร้บ้านและกินไม่อิ่มท้อง? มีคนจำนวนเท่าใดที่ไม่กล้าแม้กระทั่งคาดฝันจะว่าชั่วชีวิตนี้ตนจะได้สัมผัสผ้าต่วนชิ้นเล็ก? การมีชีวิตเช่นนี้ได้นับว่าเป็นความฝันอันสวยงามที่ยากจะจินตการสำหรับคนเหล่านี้แล้ว
ซ่งชูอีมองสำรวจฝูงชนอย่างละเอียดอีกครั้ง ในที่สุดก็เลือกเด็กรูปร่างปานกลางสามคน คนหนึ่งเป็นเด็กหญิง อีกสองคนล้วนเป็นเด็กชาย
“เตรียมน้ำร้อน พาพวกเขาสามคนไปอาบน้ำ ให้เสื้อผ้าใหม่ ให้ผ้าต่วนแก่เด็กหญิง” ซ่งชูอีสั่ง
“ขอรับ” จี้ฮ่วนลงไปตั้งเตาเพื่อต้มน้ำ หุงข้าว
ซ่งชูอีสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ อุ้มไป๋เริ่นลงจากรถ ลมหนาวดุจใบมีดด้านนอกทำให้นางตัวสั่นและอดมิได้ที่จะหดคอ
“ประหลาดใจหรือ?” ซ่งชูอีเดินมาหยุดข้างจี๋อวี่ที่กำลังยืนต้านลม
“อืม ข้านึกว่าจะค้าขายไม่ได้เสียอีก” ไอที่พ่นออกมาจากจมูกและปากของจี๋อวี่ถูกลมแรงพัดหายไปในพริบตา
“ที่จริงฤดูหนาวเป็นฤดูของการค้ามนุษย์ ราษฎรมากมายยากที่จะผ่านความหนาวอันโหดร้ายเพราะขาดแคลนสิ่งของที่สร้างความอบอุ่น กำลังใจอ่อนแอยิ่งยวดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสนอเงื่อนไขที่น่าดึงดูดพวกเขาก็หวั่นไหวแล้ว การค้ามนุษย์ในฤดูหนาวเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด และนี่คือเหตุผลที่ข้าเลือกทำการค้าขายมนุษย์” ซ่งชูอีกล่าว
แน่นอนว่าพ่อค้าจำนวนมากต่างเลือกที่จะค้าทาส ขบวนรถของซ่งชูอีนี้จึงไม่เป็นที่เตะตาโดยง่าย
จี๋วี่อหันมองซ่งชูอีด้วยความประหลาดใจ “หรือว่าท่านเชี่ยวชาญในการค้าขาย?”
“ก็ไม่เชิง เพียงผิวเผินเท่านั้น” ซ่งชูอีกล่าว ที่จริงนางเลือกการค้ามนุษย์ก็เพราะความเห็นแก่ตัว ใช้โอกาสในการเป็นราชทูตที่รัฐฉินครานี้เพื่อหาสินทรัพย์เล็กน้อยให้กับตัวเอง
ซ่งชูอีกล่าว “อยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งวันเถิด มีเพียงนครเล็กๆ เช่นนี้เท่านั้นที่สามารถหาซื้อทาสได้ ครั้นถึงนครใหญ่ซื้อไม่ได้แล้ว เกรงว่าจะทำได้เพียงการซื้อขายในจำนวนมากเท่านั้น”
ความเป็นอยู่ของราษฎรในนครใหญ่ดีกว่าเล็กน้อย อีกทั้งพวกเขาล้วนเคยเห็นสภาวะตลาดมาบ้าง ส่วนใหญ่จะไม่ขายตัวเองเป็นทาส ฉะนั้นหลังจากถึงนครใหญ่แล้ว ไม่สามารถซื้อคนได้อย่างกระจัดกระจายเช่นนี้ ทว่าที่นั่นมีตลาดทาสขนาดใหญ่มาก สามารถขายทาสที่ซื้อมาทั้งหมดได้ที่นั่น หรือจะซื้อทาสในปริมาณมากเพื่อนำไปขายต่อต่างเมืองก็ได้
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มันยากที่จะประมาณการว่าเสบียงของพวกเราสามารถรองรับได้นานเพียงใด” จี๋อวี่กล่าว
ซ่งชูอีพยักหน้า “ขอเพียงสามารถยืนหยัดไปได้อีกหกเจ็ดวันเป็นพอ ข้าคงไม่ซื้อทุกคนดอก วางใจเถิด”
จี๋อวี่คิดในใจ ‘ในที่สุดท่านก็ยังมีการคำนวณในใจบ้าง’ ระยะหลังมานี้เขาเข้าใจนิสัยใจคอของซ่งชูอีไม่มากก็น้อย นางรับสาวงาม รับเด็ก รับหมาป่า รับผู้ชาย…ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนที่รู้จักกับนาง นางก็รับคนมามากมายแล้ว เขากลัวเหลือเกินว่านางจะรับคนระหว่างทางไม่หยุดหย่อน
“ว่ากันว่ารัฐฉินไม่มีที่ดินที่จะเพาะปลูกงั้นหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“ยังมิเคยเห็นกับตา ข้ามิทราบ” จี๋อวี่กล่าว
ซ่งชูอีนวดคลึงขนของไป๋เริ่นจนยุ่งเหยิง พึมพำ “ถ้าเช่นนั้นยังต้องใช้จ่ายอีก…”
คำพูดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้จี๋อวี่พิศวงในใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเดิมทีซ่งชูอียังคิดที่จะครอบครองที่ดินรัฐฉิน
ซ่งชูอีก็เข้าใจดีว่ากฎหมายรัฐฉินนั้นสมบูรณ์แบบ ว่าอย่าแต่การได้มาโดยเปล่าเลย ต่อให้จ่ายเงินก็ต้องไปทำหนังสือลงบันทึกที่หน่วยงานราชการ เรื่องเหล่านี้มิใช่ปัญหา ปัญหาคือนางไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะซื้อที่ดิน…
จี้ฮ่วนพาเด็กวัยรุ่นสามคนนั้นไปพบซ่งชูอี พวกเขาถูกอาบน้ำจนสะอาดสะอ้าน สวมเสื้อตัวใหม่ ดูแล้วสดชื่น แม้นใบหน้าน้อยๆ จะเหี่ยวเฉา ทว่าก็มีชีวิตชีวาขึ้นมามากแล้ว
เด็กหญิงหน้าตางดงามมากตามคาด คิ้วโก่งดั่งใบหลิว ดวงตาเรียวรี ริมฝีปากเล็กแต่อวบอิ่ม เด็กหญิงเพิ่งเคยเห็นผ้าต่วนเป็นครั้งแรก ยิ่งไม่เคยคิดว่าจะได้สวมใส่บนตัว ความรู้สึกลื่นๆ เมื่อสัมผัสกับผิวทำให้นางไม่รู้ว่าจะต้องวางมือเท้าไว้ที่ใด ท่าทางอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
ซ่งชูอีมองนางแล้วยิ้มน้อยๆ “เจ้ามีนามว่ากระไร”
เด็กหญิงหลบเลี่ยงสายตา ก้มศีรษะลงอย่างกระวนกระวายใจ ตอบเสียงเบา “หนิงยา”
“มนุษย์มีกินมีอยู่ ฉะนั้นจึงวางใจ ชื่อดี” ซ่งชูอีไม่รู้ว่าใช่ “หนิง” ที่มีความหมายเช่นนี้หรือไม่ ทว่าดูจากท่าทีที่แม่นางผู้นั้นเป็นห่วงนางแล้ว นางคิดว่าควรจะเรียกชื่อนี้
“อ้าปากให้ข้าดูหน่อย” ซ่งชูอีเอ่ย
หนิงยาอ้าปากอย่างว่าง่าย ซ่งชูอีเหลือบมอง เงยหน้าขึ้นกล่าวกับจี้ฮ่วน “พานางไปให้จื่อเฉา จัดหาเกลือให้ทุกวัน สอนให้นางรรักษาความสะอาด”
“รับทราบขอรับ” จี้ฮ่วนตอบรับ แล้วหันไหล่ของนางพาไปยังรถม้าของจื่อเฉากับจื๋อหย่า
“ท่านแม่!” เดินไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ หนิงยาหยุดเดิน จ้องเขม็งไปยังต้นไม้แก่ในระยะไกล
……………………………