กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 84 หน้าไม่อายจริงๆ
บทที่ 84 หน้าไม่อายจริงๆ
Ink Stone_Romance
คลี่หนังแกะสามม้วนออก ตัวอักษรด้านบนนั้นมีระเบียบและทรงพลัง มันได้เล่าเรื่องราวมากมาย แต่ละเรื่องล้วนมีความหมายลึกซึ้ง และเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของ “จวงจื่อ”
อิ๋งซื่ออ่านจนมิอาจวางลงได้ เริ่มแรกเพียงแค่อ่านผ่านๆ อย่างรวดเร็วเท่านั้น จากต่อมากลับอ่านทุกเรื่องราวอย่างละเอียดถี่ถ้วน
นี่คือบันทึกที่ซ่งชูอีได้พบและได้ยินระหว่างทาง ด้วยระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน เรื่องราวในบันทึกจึงมีไม่มากนัก แต่ถ้อยคำระหว่างบรรทัดกลับเปี่ยมด้วยพุทธิปัญญา ชวนให้ขบคิด
ครั้นฟ้าใกล้สาง อิ๋งซื่อจึงวางหนังแกะลงอย่างเสียมิได้ แล้วเปิดสมุดไผ่ออก
ทันทีที่อ่าน ในใจก็ยิ่งตื่นตระหนก
ด้านบนมีตัวอักษรหวือหวาขนาดใหญ่ใจความว่า “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ซึ่งได้ดึงดูดความสนใจของเขาจนหมดสิ้น ความทะเยอทะยานของเขาถูกฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ขณะที่ไม่มีอำนาจโดยสมบูรณ์ เขาจะไม่มีวันแสดงความรู้สึกออกมา ทว่าบทความนี้กลับบังเอิญมีมุมมองแบบเดียวกับที่เขามีในใจ ทันใดนั้นเขารู้สึกว่า หากในชีวิตนี้สามารถมีคนสนิทที่ไว้ใจได้และพร้อมจะร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันจะต้องเป็นสิ่งที่ประเสริฐนัก
หลังจากอิ๋งซื่ออ่านบทความจบ อดมิได้ที่จะตบโต๊ะหัวเราะเสียงดัง!
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงระเบิดหัวเราะกะทันหันทำเอาคนรับใช้ที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างสะดุ้งโหยง ลอบมองท่านจวินผู้ทรงพระเยาว์ด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มา เขาไม่เคยแม้แต่กระตุกมุมปากยิ้ม หลายคนล้วนคิดว่าเขายิ้มไม่เป็น ใครจะไปคิดว่าเขาจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกลางดึกเช่นนี้
อิ๋งซื่ออ่านทฏษฎีของการโค่นรัฐโดยละเอียดอีกรอบ จดจำเนื้อหาได้ขึ้นใจ จากนั้นก็โยนสมุดไผ่เข้าอ่างเผาฟืน
เขาหลุบตาลงจ้องสมุดไผ่ในอ่างเผาฟินที่ค่อยๆ กลายเป็นสีดำ รอยยิ้มยังคงอ้อยอิ่งอยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลา
คนรับใช้มองด้วยความงุนงง คิดในใจ ‘ที่แท้ฝ่าบาทก็มิใช่น้ำแข็งบนภูเขาหมื่นปีที่ไม่มีวันละลาย!’
“ฝ่าบาท ฟ้าใกล้สว่างแล้ว พักผ่อนเถิดพะยะค่ะ” คนรับใช้เห็นว่าอิ๋งซื่ออารมณ์ดี จึงกล้าที่จะเกลี้ยกล่อมอีกรอบ
“อืม” อิ๋งซื่อวางหนังแกะสามม้วนลงในกล่อง ลุกขึ้นยืนเดินไปที่เตียง
รุ่งอรุณของวันต่อมา
ซ่งชูอีตื่นนอนนานแล้ว เพราะว่าวันนี้ฉินกงอาจเรียกเข้าเฝ้า นางยังต้องเริ่มเตรียมตัวไปที่รัฐต่อไป
กลิ่นหอมจางๆ ลอยอบอวลภายในห้อง หลงกู่ปู้วั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านข้าง ซ่งชูอีกำลังเล่นหมากล้อมกับตัวเอง หมากสีขาวดำกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด กินหมากของกันและกัน จนมาถึงจุดที่ต่างฝ่ายต่างยากที่จะไปต่อ นางจึงหยุดเล่นชั่วคราว เอ่ยถาม “อวี่ ฝ่าบาทส่งผู้ใดไปรัฐฉี?”
เรื่องการเจรจาจาหว่านล้อมคราวนี้ ซ่งชูอีรับผิดชอบฉิน เจ้า และหานสามรัฐ และเพื่อเป็นการประหยัดเวลา จึงส่งผู้อื่นไปยังรัฐฉีและรัฐฉู่
บัดนี้ภายในราชสำนักฉินปั่นป่วน ไม่น่าจะบุกรัฐอื่นได้อย่างเอิกเกริกภายในครึ่งปีนี้ ส่วนรัฐเจ้ามีความวุ่นวายภายใน แม้นมิได้ทำให้รากฐานสั่นคลอน ทว่าก็มิใช่โอกาสที่ดีที่จะเปิดศึกกับคนภายนอก ฉะนั้นกำลังหลักในการโจมตีรัฐเว่ยคราวนี้คือฉีและฉู่
จะเปิดศึกครานี้สำเร็จหรือไม่ ก็ต้องดูสถานการณ์ทางนี้ของซ่งชูอี ส่วนจะมีชัยชนะมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูว่าฉีฉู่จะสามารถบุกโจมตีด้วยกองกำลังที่ทรงพลังได้หรือไม่
“ท่านหมิ่น” จี๋อวี่กล่าว
“หมิ่นฉือ” ซ่งชูอีเอ่ยชื่อนี้ออกมา โยนชิ้นหมากรุกในมือใส่ชามอย่างเฉยเมย คล้ายพูดกับตัวเองแต่ก็คล้ายพูดกับจี๋อวี่ “ฝ่าบาทไว้ใจเขามากจริงๆ”
“ท่านกับท่านหมิ่นรู้จักกันหรือ?” จี๋อวี่ถาม
ซ่งชูอีไม่ได้ตอบ จี๋อวี่ก็มิได้ถามต่อ จากนั้นจึงอธิบายต่อ “ท่านหมิ่นเป็นศิษย์ของสำนักกุ่ยกู๋จื่อ ร่ำเรียนด้านพิชัยยุทธ ทว่าเขาก็มีความสามารถด้านการทูตมาก อยู่รัฐเว่ย์มาหนึ่งปี แบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาทไปไม่น้อย ดังนั้นฝ่าบาทจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ”
ซ่งชูอีแสยะยิ้ม “ศิษย์สำนักกุ่ยกู๋จื่อ มีศิษย์ราวๆ แปดร้อยถึงหนึ่งพัน ไหนเลยจะดีเท่าสำนักของพวกเรา น้อยแต่ดี”
ศิษย์ที่จวงจื่อรับเข้าสำนักมาจริงๆ กลับมีเพียงไม่กี่สิบคน หากเทียบกับกุ๋ยกู่แล้ว นับว่าน้อยกว่ามากจริงๆ
“ชิ แม้ว่าบัดนี้ข้าจะนับว่าเป็นคนของสำนัก แต่ว่าข้ายังต้องพูดว่ากุ่ยกู๋จื่อมีชื่อเสียงใต้หล้า บัณฑิตต่างๆ ล้วนยื้อแย่งที่จะไปที่นั่น สำนักของพวกเราคงไม่มีลูกศิษย์ตั้งแต่แรกแล้วกระมัง!” ในที่สุดหลงกู่ปู้วั่งก็มีโอกาสจู่โจมซ่งชูอี
ซ่งชูอียกมือขึ้นลูบๆ คิ้ว เอ่ยถามเชื่องช้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองอยู่สำนักใด?”
หลงกู่ปู้วั่งสำลัก “ท่านไม่เคยบอกข้า ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร”
“อืม คือว่าแบบนี้” ซ่งชูอียิ้มกว้างพร้อมมองเขา “ข้ารับประกันได้ว่าสำนักของพวกเรามีชื่อเสียงในใต้หล้า เพียงแต่ว่า การรับลูกศิษย์ค่อนข้างเข้มงวด ท่านผู้เฒ่าเจ้าสำนักของเจ้าบอกว่า เมื่ออยู่ข้างนอก บางคราวอาจถูกบีบให้รับลูกศิษย์ที่ด้อยคุณภาพ ด้อยปัญญา และไร้มารยาทโดยยากที่จะหลีกเลี่ยง หากเคราะห์ร้ายรับเอาไว้แล้ว ห้ามเปิดเผยสำนักแก่เขาโดยเด็ดขาด”
“ด้อยคุณภาพ? ด้อยปัญญา? ไร้มารยาท?” หลงกู่ปู้วั่งกระโดดพรวดดุจสายฟ้า กระแทกหนังสือลงบนโต๊ะอย่างแรง
ซ่งชูอีเอนตัวลงบนที่พักมืออย่างเบื่อหน่าย เท้าคางกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อนพิสูจน์ว่าเจ้าไร้มารยาทจริงๆ หรอก ในฐานะที่เป็นอาจารย์ข้าเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องคิดว่าตัวเองต่ำต้อยหรอกพ่อหนุ่ม”
“อ๊า…” หลงกู่ปู้วั่งคำราม สาวเท้ายาวๆ ออกไป เขาเกรงว่าหากเขาเห็นใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มของซ่งชูอีนานกว่านี้ อาจทนไม่ไหวพุ่งเข้าไปซัดนางสักหมัด ไป๋เริ่นที่ตาปรือกำลังจะหลับตกใจจนลืมตาโพลง จากนั้นก็กระโดดตามออกไปอย่างมีความสุข คล้ายกับนึกว่ามีอะไรสนุกๆ เล่น
เมื่อครู่ตอนที่ซ่งชูอีถามถึงหมิ่นฉือ จี๋อวี่ก็รู้สึกได้ว่านางอารมณ์ไม่ดี หลงกู่ปู้วั่งยังมากดมีดซ้ำที่เดิมทำให้นางได้ระบายอารมณ์พอดี จะโทษใครได้เล่า?
จี๋อวี่แอบถอนหายใจในใจ แกว่งเท้าหาเสี้ยนแท้ๆ
ภายในห้องเงียบสงบลง ซ่งชูอีเล่นกับตัวหมากในชาม จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ
คิดไม่ถึงว่าวางแผนครั้งแรก ท้ายที่สุดก็ต้องดำเนินการร่วมกับเขา ทำให้นางขาดความสนใจในเรื่องนี้ฉับพลัน อีกทั้งยังมีความรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ทว่าเป็นการคนต้องมีความเสมอต้นเสมอปลาย ซ่งชูอีเช่นนางก็มิได้เป็นคนจิตใจคับแคบ ก็คิดเสียว่าเป็นการให้โอกาสเขาได้ลุกขึ้นยืนสักครั้งจะเป็นอะไรไป?
ลุกขึ้นได้ก็ล้มลงไปได้ ความเป็นไปเช่นนี้น่าตื่นเต้นจะตาย!
คิดดังนี้ ซ่งชูอีก็มีความสุขอีกครั้ง ลูบคลำตัวหมาก ฝึกกับตัวเองต่อด้วยความกะตือรือร้น
จี๋อวี่มองดูการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนของนาง มันเร็วกว่าการเปลี่ยนแปลงของแสงแดดในเดือนหกเสียอีก เขารู้สึกไร้คำพูดไปชั่วขณะ
สองเค่อผ่านไป
จี๋อวี่เห็นว่าซ่งชูอีเดินหมากกับตัวเองจนลืมสิ้นทุกอย่าง อดเอ่ยถามมิได้ “ท่าน เล่นกับตัวเองเช่นนี้สนุกหรือ?”
“อืม…” ซ่งชูอีพึมพำ คีบตัวหมากสีดำอยู่ในมือกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าจะวางไว้ตรงไหน สักพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “แน่นอน”
ผู้คนส่วนใหญ่ที่เพิ่งหัดเดินหมากกับตัวเองจะไม่รู้ว่าควรจะวางหมากไว้ตรงไหน เพราะคนปกติยากที่จะทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน ความคิดของฝ่ายตรงข้ามล้วนอยู่ในสมองของตน ล้วนล่วงรู้แผนการของกันและกัน จึงทำให้ขาดความสนุกในการละเล่น ทว่าสำหรับซ่งชูอีแล้ว ประโยชน์สูงสุดในการเล่นกับตัวเองก็คือสามารถฝึกฝนทักษะความคิดของตนรอบด้าน
“ท่าน ฉินกงเรียกพบขอรับ” จี้ฮ่วนรายงานอยู่ด้านนอก
ไป๋เริ่นวิ่งปราดเข้ามาอย่างรวดเร็วปานสายลมจากด้านหลังของจี้ฮ่วน คาบผ้าสีขาวชิ้นหนึ่งในปากแล้วส่งถึงมือของซ่งชูอี
ซ่งชูอีหยิบขึ้นมาดู “เสื้อตัวกลาง?”
ดูลักษณะเหมือนสวมใส่มาแล้ว ขนาดประมาณนี้…คล้ายจะเป็นของหลงกู่ปู้วั่ง
“ทำดีมาก!” ซ่งชูอียื่นมือตบๆ หัวของไป๋เริ่น หยิบเนื้อดองออกมาจากแขนเสื้อโยนให้มัน
ซ่งชูอีจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพิ่งจะพ้นประตู ก็ได้ยินเสียงคำรามของหลงกู่ปู้วั่งดังมาจากห้องอาบน้ำ “เด็กๆ! เอาเสื้อมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! เป็นทาสต่ำตมก็กล้ามารังแกข้ารึ!”
“เกิดอะไรขึ้น!” ซ่งชูอีถามจี้ฮ่วนด้วยความสนอกสนใจ
จี้ฮ่วนซับเหงื่อให้หลงกู่ปู้วั่ง เอ่ยว่า “เมื่อครู่ไป๋เริ่นมาเล่นในห้องอาบน้ำ ตอนออกมาก็วิ่งไล่สาวใช้ที่นำเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ทำเอาสาวใช้ตกใจกลัวจนหนีเตลิด…”
“ไม่เชื่อฟังเอาซะเลย! ไป๋เริ่น!” ซ่งชูอีตะโกนเรียก
ไป๋เริ่นพุ่งออกมาจากในห้อง นั่งลงตรงหน้าซ่งชูอี
‘เฮ้อ! อย่างไรเสียมนุษยชาติก็ยังไม่ได้ถูกกำจัด’ จี๋อวี่เพิ่งจะคิดจบก็ได้ยินซ่งชูอีพูดกับไป๋เริ่นว่า “ในเมื่อเอาเสื้อตัวกลางมาแล้ว เหตุใดจึงไม่เอาเสื้อตัวนอกมาด้วยเล่า? ยังจะมีหน้ามากินเนื้อดองของข้าอีก หน้าไม่อายจริงๆ”
จี๋อวี่กับจี้ฮ่วนเหงื่อออกซึมหน้าผาก แอบสาบานในใจ ภายหน้าหน้าจะทำผิดต่อใครก็ได้แต่ห้ามทำผิดต่อซ่งชูอี
“ท่าน ได้เวลาออกเดินทางแล้ว” จี๋อวี่กล่าว
“อืม” ซงชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง
ไป๋เริ่นมองดูพวกเขาจากไป มันนึกว่าเรียกมันมาเพราะมีเนื้อดองเสียอีก สุดท้ายกลับไม่มีอะไรเลย และดูเหมือนว่าเจ้านายยังดุมากด้วย แม้นมันไม่เข้าใจว่าซ่งชูอีพูดอะไร แต่ก็ค้นพบว่าเมื่อคาบสิ่งของแล้วก็จะมีของให้กิน…อืม คราวนี้ต้องคาบให้เยอะหน่อยแล้ว
ไป๋เริ่นเลียปากจั๊บๆ วิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำอีกรอบ
ซ่งชูอีขึ้นรถม้าไป พลันได้ยินเสียงตกใจและเสียงคำรามดังมาจากในลาน ตามมาด้วยนกบินและสุนัขกระโดด อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้ม พึมพำกับตัวเอง “สมกับเป็นสัตว์เลี้ยงของข้าแซ่ซ่ง ฉลาดนัก”
ภายนอกหิมะยังตกอยู่ ทว่าเบากว่าเมื่อวานเล็กน้อย สายลมก็ค่อยๆ พัดเบาลง
หิมะที่สะสมตามท้องถนนมีความสูงถึงครึ่งคน บัดนี้ได้บดบังประตูส่วนใหญ่ของทั้งสองข้างทาง น้ำแข็งบนชายคาบ้านบางหลังยาวหยดถึงพื้น หิมะบนท้องถนนได้ถูกโกยออกไปนานแล้ว ผู้คนส่วนมากยังคงง่วนกับงานที่หน้าบ้านตัวเอง
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นจนถึงพระราชวังฉิน
สาวใช้สองนางนำซ่งชูอีไปยังเรือนอุ่นหลังหนึ่ง
คราวนี้คนรับใช้ในวังมิได้ตะโกนออกไป ได้แต่กล่าวกับด้านในของประตูที่ปิดสนิทด้วยความนอบน้อม “ฝ่าบาท
ราชทูตเว่ย์มาถึงแล้วพะย่ะค่ะ”
“อืม” เสียงนิ่งเรียบดังขึ้นจากภายในห้อง
“เชิญท่านราชทูต” คนรับใช้เปิดประตูออก
ซ่งชูอีก้าวเข้าประตูไป พลันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นปะทะใบหน้า
เรือนอุ่นไม่นับว่าใหญ่มาก ขนาดกว้างยาวเพียงราวๆ สองจั้ง ภายในห้องมีกองสมุดไผ่มากมาย องค์จวินในชุดจีนสีดำกำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนผืนผ้าไหมที่หน้าโต๊ะตัวใหญ่ เมื่อเขาได้เสียงฝีเท้า ซ่งชูอีไม่ทันได้เอ่ยปากเขาก็กล่าวขึ้นโดยมิได้เงยหน้า “นั่ง”
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอียังคงถวายคำนับอย่างเป็นทางการ ก่อนคุกเข่าลงบนเบาะข้างๆ ตามรับสั่ง
อิ๋งซื่อกำลังเขียนอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจนางอยู่ครู่ใหญ่
ซ่งชูอีจึงเริ่มมองสำรวจการตกแต่งภายในห้องด้วยความเบื่อหน่าย สำรวจรอบหนึ่ง สายตาก็มาหยุดอยู่ที่อิ๋งซื่อ จุ๊ปาก อุทานอยู่ในใจ ช่างน่ามองเหลือเกิน!
ที่จริงแล้วซ่งชูอีไม่เคยคิดเรื่องออกเรือนเลย และไม่คิดที่จะขังตัวเองไว้ในลานหลังบ้านของใครสักคน นอกเสียจากว่าคนนั้นจะมีใต้หล้าเป็นลานหลังบ้าน นางคิดเพียงแค่หากวันหน้าสามารถเข้ารัฐฉินได้ก็ไม่มีสิ่งใดน่ายินดีไปกว่านี้อีกแล้ว! ไม่แน่ว่านอกเหนือจากการถกเถียงเรื่องต่างๆ ของรัฐ นางยังสามารถฉวยโอกาสนี้สัมผัสความเป็นชาย เห็นร่างเปลือยเปล่าครึ่งหนึ่งบ้างอะไรบ้าง…
อิ๋งซื่อวางปากกาพู่กันลง เงยหน้าก็เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าของซ่งชูอี เอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ท่านราชทูตมีเรื่องน่ายินดีใด รังเกียจที่จะจะแบ่งปันกับกว่าเหรินหรือไม่”
“แค่ก” ซ่งชูอีคิดไม่ถึงว่าอิ๋งซื่อจะเอ่ยเช่นนี้ทันทีที่อ้าปาก มันไม่ง่ายเลยจริงๆ จึงได้แต่ยิ้มแห้ง “กระหม่อมเพียงแค่ถูกครอบงำด้วยพลังของฝ่าบาท ไม่มีเรื่องอื่น ไม่มีเรื่องอื่น”
………………………