กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1003
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1003
“เช่นนั้นให้ข้าน้อยออกประกาศเพื่อค้นหาหมอที่มีความสามารถในหมู่ประชาชนดีหรือไม่เพคะ”
“ไม่ต้อง มันสามารถรักษาตัวมันเองได้ การแทรกแซงมากเกินไปของมนุษย์อาจไม่ดีต่อมันเท่าไรนัก ปล่อยไว้เช่นนี้ดีแล้ว”
“เพคะ”
กู้ชูหน่วนลูบศีรษะของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์และพึมพำออกมา “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ถ้าเจ้าตื่นขึ้นมาข้าจะย่างหมูเก้าสิบเก้าตัวให้เจ้ากิน เจ้าต้องรีบฟื้นขึ้นมานะ”
ลำตัวของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์สั่นเล็กน้อยและไม่นานก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินหรือไม่
“ฝ่าบาท เยี่ยกุ้ยเหรินฟื้นแล้วเพคะ”
“ฝ่าบาท พระสวามีก็ฟื้นแล้วเพคะ”
สาวใช้ทั้งสองคนรีบกล่าวรายงานอย่างระมัดระวังและท่านอ๋องเสวี่ยก็ดูมีความสุขอย่างมาก
“ฝ่าบาท ยาอายุวัฒนะของฝ่าบาทช่างวิเศษมากพ่ะย่ะค่ะ”
กู้ชูหน่วนกล่าว “ไปกันเถอะ ไปดูเยี่ยจิ่งหานกัน”
“ฝ่าบาท พระสวามีถือเป็นหัวหน้าของวังหลัง ฝ่าบาทควรจะเสด็จไปเยี่ยมเขาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมหรือ เจ้าว่างมากหรืออย่างไร? เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้าก็ยังมายุ่ง”
“เอ่อ…..กระหม่อมเกรงว่าพระสวามีจะไม่สบายใจ เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นพระสวามีเอกของฝ่าบาท”
“ท่านอ๋องเสวี่ย ข้าเป็นจักรพรรดินีของรัฐปิงใช่หรือไม่?”
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อข้าเป็นบุคคลผู้มีอำนาจสูงสุด เช่นนั้น….ข้าพูดอะไรไปเจ้าก็ควรฟังข้าใช่หรือไม่?”
“ขอเพียงเป็นคำสั่งของฝ่าบาท กระหม่อมไม่มีทางปฏิเสธได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทต้องการให้กระหม่อมทำอะไร ฝ่าบาทตรัสสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก เช่นนั้นเจ้าก็ไปขัดส้วมซะ”
“อ๋า……”
“อ๋าอะไรของเจ้า ข้าเป็นถึงจักรพรรดินี คิดว่าข้าจะจัดการเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
“กระหม่อมไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไป จัดการขัดส้วมทุกที่ในวังหลวงให้หมด หากทำความสะอาดไม่ดี ข้าจะลงโทษให้เจ้าไปขัดส้วมทุกที่ในเมืองหลวงให้หมด”
ท่านอ๋องเสวี่ยไม่กล้าพูดอะไร
เขาอยากถามว่าเพราะอะไร
แต่…..
นี่คือคำสั่งแรกหลังจากที่ฝ่าบาทได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ หากเขาไม่ปฏิบัติตาม ต่อไปจะมีขุนนางข้าราชบริพารที่ไหนยอมปฏิบัติ
แม้ว่าท่านอ๋องเสวี่ยจะไม่อยากทำมากแค่ไหน ทว่าก็เดินทางไปทำตามคำสั่งที่ได้รับ
จากนั้นก็ได้ยินเสียงกู้ชูหน่วนบอกให้หยุด
ท่านอ๋องเสวี่ยดีใจอย่างมากและคิดว่าฝ่าบาทจะยกเลิกคำสั่ง ทว่าคิดไม่ถึงว่านางกลับกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “เจ้าต้องเป็นคนทำด้วยตัวเองเท่านั้น ห้ามให้คนอื่นช่วยเหลือ เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปทำเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
สาวใช้หลิงเอ๋อร์แทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลยสักนิด
“ฝ่า….ฝ่าบาท ท่านอ๋องเสวี่ยเป็นถึงท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และยังเป็นท่านอ๋องเพียงคนเดียว การที่ฝ่าบาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็เป็นเพราะการดำเนินการของเขา ให้เขาไปขัดส้วมเช่นนั้นจะดีหรือเพคะ?”
“ข้าคิดว่าดี ส้วมยังไม่เหม็นเหมือนปากของเขา ไปกันเถอะ ไปดูอาการของเยี่ยจิ่งหานกัน”
“อ๋า…..เราไม่ไปเยี่ยมพระสวามีก่อนหรือเพคะ?”
“ทำไมหรือ เจ้าก็อยากไปขัดส้วมด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าน้อยไม่กล้าเพคะ ข้าน้อยผิดไปแล้ว ฝ่าบาทได้โปรดให้อภัยด้วยเพคะ”
“ไปกันเถอะ”
กู้ชูหน่วนจับหลิงเอ๋อร์ลุกขึ้นและให้นางนำทาง
นิสัยของเยี่ยจิ่งหานแย่กว่าเหวินเส่าอี๋อย่างมาก
เหวินเส่าอี๋เป็นคนรูปงามและมีจิตใจดี หากพูดเกลี้ยกล่อมปลอบใจสักหน่อย ก็ยังพอจัดการได้
ทว่าเยี่ยจิ่งหาน….
เมื่อนึกถึงตอนที่เยี่ยจิ่งหานฟื้นขึ้นมาและได้รู้ว่าตัวเองถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับนาง แถมเป็นได้เพียงพระสวามีรองเท่านั้น นางแทบไม่อยากจะคิดเลยว่าเยี่ยจิ่งหานจะโมโหมากแค่ไหน
ภายในตำหนักรับรอง เยี่ยจิ่งหานจ้องมองไปที่รูปปั้นบนเตียงอย่างว่างเปล่าด้วยความงุนงง แม้แต่ตอนที่นางเดินเข้ามาและเรียกเขาอยู่หลายครั้ง เยี่ยจิ่งหานก็ไม่ตอบสนองอะไร
กู้ชูหน่วนลูบหน้าผากของเขา “คงไม่ได้เสียสติไปแล้วหรอกหรือ?”
เมื่อจับชีพจรของเขาแม้ว่ามันจะยุ่งเหยิงและมีอาการบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง แต่ไม่มีวี่แววว่าจะเสียสติไป
กู้ชูหน่วนคิดว่าเขาคงสงบก่อนเกิดพายุและอดไม่ได้ที่จะอธิบายว่า “ข้าไม่ได้ต้องการเป็นจักรพรรดินี และไม่ได้ต้องการแต่งตั้งเหวินเส่าอี๋เป็นพระสวามี อีกทั้งข้าก็ไม่ได้ต้องการแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระสวามีรอง เจ้าอย่าได้มองข้าผิดไป ใครเป็นคนก่อเรื่องขึ้น เจ้าก็ไปคิดบัญชีกับคนนั้น ข้าก็เป็นผู้ถูกกระทำด้วยเช่นกัน”
เยี่ยจิ่งหานไม่ตอบสนองใดๆ
กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างระมัดระวัง “ไม่เช่นนั้น ข้ายกเลิกตำแหน่งกุ้ยเหรินของเจ้าก็ได้?”
เยี่ยจิ่งหานยังคงไม่ตอบสนองใดๆ
กู้ชูหน่วนรู้สึกตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่นางกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อให้ความโกรธของเขาลดลง
ทว่ากลับได้ยินเยี่ยจิ่งหานเหมือนกำลังถามนางและดูเหมือนกำลังพึมพำกับตัวเอง
“เจ้าว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่เหตุใดเลือดของพวกเขาถึงหลอมรวมกันได้?”
“อ๋า…..”
อะไรกันเนี่ย?
“คนที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน เหตุใดเลือดของพวกเขาถึงหลอมรวมกันเป็นหนึ่งได้?”
“เจ้ากำลังพูดถึงใคร?”
เยี่ยจิ่งหานเงยหน้าขึ้นมองกู้ชูหน่วนและถามกู้ชูหน่วนอยู่หลายครั้ง ราวกับหากไม่ได้คำตอบเขาก็จะถามต่อไปเรื่อยๆ อย่างนั้นไม่หยุด
“ข้ารู้จักยาสมุนไพรอยู่หลายชนิด เพียงแค่ผสมเข้าด้วยกัน เลือดของผู้ที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็สามารถหลอมรวมกันได้”
“ไม่ ไม่…..”
นั่นเป็นเพียงแค่น้ำ ไม่มีการผสมยาสมุนไพรใดๆ
เขาไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของพระสนมอวี้ และไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเสด็จพ่อ
เขาไม่รู้ว่าใครเป็นบิดาให้กำเนิดเขา
แม่ของเขาคือฮวาอิ่ง เงาของอดีตหัวหน้าเผ่าอวี้ และเป็นคนที่ทำร้ายฆ่าแม่แท้ๆ ของอาหน่วน
หรือว่าพ่อแท้ๆ ของเขาจะเป็นอดีตหัวหน้าเผ่าเพลิงฟ้า
เขาเป็นพี่น้องแท้ๆ กับเหวินเส่าอี๋?
ทว่าเผ่าอวี้และเผ่าเพลิงฟ้าไม่ถูกกัน จะรวมกันได้อย่างไร?
แม่ของเหวินเส่าอี๋ก็ไม่ใช่ฮวาอิ่ง
เมื่อนึกถึงว่าตัวเองอาจเป็นคนของเผ่าเพลิงฟ้า เยี่ยจิ่งหานก็รู้สึกรับไม่ได้
“ไม่มีอะไร? หรือว่าเจ้าเจอญาติของเจ้าที่นี่?”
กู้ชูหน่วนคิดว่าเขาจะบอกความลับอะไรกับนาง ทว่าเยี่ยจิ่งหานกลับไม่พูดอะไรออกมาอีก และจากนั้นก็หลับตาลงโดยไม่สนใจอะไรนางอีกเลย
“ข้าว่าสีหน้าของเจ้าไม่ดีเท่าไรนัก ไม่เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนอีกสักหน่อย อีกสองสามวันข้าค่อยมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง”
เขายังคงไม่ตอบสนองอะไร จากนั้นกู้ชูหน่วนก็เดินจากไปและในใจของนางก็พยายามคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยี่ยจิ่งหานกันแน่
ตำหนักเฟิ่งอี๋
ขณะที่กู้ชูหน่วนเดินเข้ามา นางคิดว่าแม้ว่าเหวินเส่าอี๋จะไม่ได้คิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับนางลับหลัง แต่เขาจะต้องบ่นนางแน่ๆ
คิดไม่ถึงเลยว่าอาการของเหวินเส่าอี๋จะเหมือนกับเยี่ยจิ่งหาน เขาเอาแต่จ้องมองเพดานอย่างเหม่อลอย
“เสี่ยวหูเตี๋ย ยินดีด้วยที่เจ้าไม่ต้องแต่งงานกับหญิงชราคนนั้นแล้ว อืม….แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นพระสวามี แต่หากเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นเราก็มาทำข้อตกลงสุภาพบุรุษขึ้นมา ข้าจะไม่แตะต้องเจ้า และเจ้าก็ห้ามแตะต้องข้า เราสองคนต่างทำตามความต้องการของตัวเอง?”
เงียบ
เงียบมากถึงขั้นที่ได้ยินเสียงลมหายใจ
“ไม่ใช่ว่าข้าต้องการแต่งตั้งเยี่ยจิ่งหานและอาม่อเป็นกุ้ยเหรินเพื่อทำให้เจ้าอับอายหรอกนะ หากเจ้าจะคิดบัญชีเจ้าก็ไปหาท่านอ๋องเสวี่ยนู่น ข้าก็เป็นผู้ถูกกระทำด้วยเช่นกัน”
“นี่ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เหตุใดถึงจดจ่อเช่นนั้น?”
กู้ชูหน่วนยื่นมือออกไปและแกว่งไปมาต่อหน้าของเขา เหวินเส่าอี๋เป็นเหมือนประติมากรรมในสายลมที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาหลายพันปีไม่เปลี่ยนแปลงจากสมัยโบราณ
“หรือเจ้าจะเสียสติไปด้วยอีกคน”
กู้ชูหน่วนกำลังจะจับชีพจรของเขา จากนั้นก็เห็นเหวินเส่าอี๋หันหน้ามามองนางโดยไม่กะพริบและถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้าว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่เหตุใดเลือดของพวกเขาถึงหลอมรวมกันได้?”
“อะไรนะ…….”
เหตุใดถึงถามเหมือนกันเช่นนี้?
“เพราะอะไร?”
“เอ่อ….อาจจะใส่ยาสมุนไพรเข้าไปทำให้เลือดสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งได้”
“หากไม่มีการใส่ยาสมุนไพรลงไปล่ะ?”
“เอ่อ…..”
“เช่นนั้นก็หมายความว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันใช่หรือไม่?”
“ก็….ก็ไม่เสมอไป แต่สามารถตรวจสอบดีเอ็นเอได้”
“ดีเอ็นเอคืออะไร?”
“เอ่อ…..ข้าก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จู่ๆ ในหัวก็ปรากฏคำนี้ขึ้นมา แต่หากเจ้าคิดจะตรวจสอบ ข้าคิดว่าข้าสามารถช่วยเจ้าได้”
เหวินเส่าอี๋และเยี่ยจิ่งหานเป็นพี่น้องกัน?
เป็นไปได้อย่างไร…..
พวกเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกันไม่ใช่หรือ จะเป็นพี่น้องกันได้อย่างไร?
หากใช่ เช่นนั้นพวกเขาจะรับได้อย่างไรกัน
เหวินเส่าอี๋รู้สึกตื่นตระหนก เขายกมือขึ้นมาจับหัวใจที่เต้นแรงและพยายามทำให้ตัวเองสงบลง
“ไม่….ไม่ได้”
เขาไม่กล้าตรวจสอบ
เขากลัวว่าเขาจะไม่เชื่อผลที่ออกมา
“ก็….ก็ได้ หากเจ้าไม่อยากตรวจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องตรวจ เจ้าเหนื่อยมากแล้ว นอนลงพักผ่อนก่อนเถอะ”
กู้ชูหน่วนคิดว่าเหวินเส่าอี๋ไม่มีทางเชื่อนางอย่างแน่นอน
ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าเหวินเส่าอี๋จะหลับตาลงอย่างง่ายดาย ราวกับเขาได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีไปหมดแล้ว
กู้ชูหน่วนรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรอีกแล้ว
พวกเขาคือพี่น้องแท้ๆ
เป็นพี่น้องแท้ๆ ต่อกัน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าพ่อแม่เดียวกัน หรือว่าพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ หรือแม่เดียวกันแต่คนละพ่อ