กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1016
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1016
ค้นหาอยู่นาน ที่แท้หนึ่งในดวงวิญญาณนั้นกลับอยู่ข้างเตียงของนาง เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก
น้ำเสียงของเหวินเส่าอี๋ตื่นเต้นเล็กน้อย “เป็นอย่างไรบ้าง หาเจอหรือไม่?”
“เจ้ารอข้าประเดี๋ยว”
กู้ชูหน่วนผลักประตูออกไปและไม่นานก็กลับมายังตำหนักเฟิ่งหลวน
นางถือเต้าหู้อันหนึ่งอยู่ในมือและแกว่งไปมาตรงหน้าของเหวินเส่าอี๋
“ลองสัมผัสดูว่าใช่ดวงวิญญาณนี้หรือไม่?”
“ใช่ ใช่ดวงวิญญาณของนาง”
เหวินเส่าอี๋ยื่นมือออกไปคิดจะคว้าไว้ ทว่าประตูของตำหนักเฟิ่งหลวนก็ถูกฝ่ามือหนึ่งมาถล่มใส่
เยี่ยจิ่งหานนั่งอยู่บนรถเข็นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก และยกมือขวาขึ้นมาเพื่อคิดจะดูดน้ำเต้านี้ไป
เหวินเส่าอี๋จะปล่อยให้เขาได้ทำตามความต้องการอย่างนั้นหรือ ขณะเดียวกันเขาก็ยกมือขึ้นและแย่งชิงดวงวิญญาณ
ทันใดนั้นก็เกิดลมพายุกระหน่ำกระโชกแรง ประตูสั่นและเหวี่ยงไปมาเสียงดังและพร้อมจะถูกทำลายลงทุกขณะ ต้นมะเดื่ออายุกว่าร้อยปีที่หน้าประตูก็พลิ้วไหวไม่หยุด จากนั้นลำต้นที่แข็งแกร่งก็ถูกลมพายุซัดจนหักลง
ทหารองครักษ์ต่างเพิ่มความระวังและต่างยืนไม่ตรง
“คนตาบอดอย่างเจ้าคิดจะเอาดวงวิญญาณของอาหน่วนไปอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ”
“คนพิการอย่างเจ้าคิดจะมาแย่งชิงดวงวิญญาณของนางจากข้าอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ”
“ตู้ม ตู้ม ตู้ม…..”
“ปัง……”
ต้นมะเดื่อยักษ์ร้อยปีถูกลมพัดจนถอนรากถอนโคนลอยออกไป และทหารองครักษ์หลายคนก็ถูกลมพัดไปด้วยเช่นกัน
กู้ชูหน่วนยืนเซและหากไม่ได้จับเสาเอาไว้นางก็คงถูกลมพัดไปอย่างแน่นอน
“หยุดเดี๋ยวนี้ มีอะไรก็พูดกันดีๆ”
เยี่ยจิ่งหานไม่เพียงหยุดลง ทว่ากลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อหวังจะทำให้เหวินเส่าอี๋กระเด็นออกไปและได้น้ำเต้ามาครอบครอง
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง เยี่ยจิ่งหานก็โมโหขึ้นมา
“ใครเป็นคนบอกข้าว่าจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อตามหาดวงวิญญาณของอาหน่วนให้เจอ? เจ้าช่วยข้าตามหาอย่างนี้หรือ?”
“ดวงวิญญาณนี้นางมอบให้ข้าแล้ว ถึงอย่างไรมันต้องเป็นของข้า”
ทั้งสองต่างไม่ยอมลดละและยิ่งต่อสู้กันอย่างดุเดือด
พวกเขาทั้งสองล้วนมีวรยุทธ์ระดับหกขั้นสูงสุด และความสามารถก็สูสีกัน
ตอนนี้คนหนึ่งมองไม่เห็นและอีกคนก็พิการ ทำให้พละกำลังความสามารถเท่าเทียมกัน กู้ชูหน่วนเกรงว่าหากพวกเขายังต่อสู้กันไปเช่นนี้จะทำให้วังหลวงต้องถล่มทลายลงมาเพราะพวกเขาแน่
“ดวงวิญญาณยังรวบรวมได้ไม่ครบเลย จะแย่งชิงกันไปเพื่ออะไร รอให้รวบรวมครบแล้วค่อยแย่งชิงกันก็ยังไม่สาย”
มีหรือที่ทั้งสองจะฟังเข้าหู
สำหรับดวงวิญญาณของกู้ชูหน่วน พวกเขาจำเป็นต้องได้มาครอบครอง
เดิมทีคิดจะใช้กำลังภายในเพื่อแย่งชิงดวงวิญญาณ ทว่ากลับกลายเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิง
แม้ว่าเหวินเส่าอี๋จะมองไม่เห็นแต่หูของเขาก็ได้ยินเป็นอย่างดี และการเคลื่อนไหวของเขาก็พลิ้วไหวคล่องแคล่วอย่างมาก หากไม่รู้ว่าเขามองไม่เห็น เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อแน่ว่าเขาตาบอด
และแม้เยี่ยจิ่งหานจะพิการ แต่เขาก็ไม่ลดละและลุกนั่งได้อย่างคล่องตัว พละกำลังของฝ่ามือก็แข็งแกร่งยิ่งกว่า แต่ละกระบวนฝ่ามือของเขาสามารถทำให้คนคนหนึ่งตายได้ง่ายๆ
เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังจะหยิบขลุ่ยและฉินออกมา สีหน้าของกู้ชูหน่วนก็เปลี่ยนไป จากนั้นก็ยื่นฝ่ามือออกมาเพื่อเปิดฝาน้ำเต้าออกและรวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อให้ดวงวิญญาณนั้นเข้าสู่ร่างกายของนาง
“ชิ้ว…..”
น้ำเต้าถูกเปิดออกและเพียงไม่กี่วินาทีดวงวิญญาณนั้นก็ได้ผนึกเข้าสู่ร่างกายของนางผ่านบริเวณหน้าผาก
เหวินเส่าอี๋และเยี่ยจิ่งหานต่างหยุดลงและมองไปยังกู้ชูหน่วน
กู้ชูหน่วนผายมือ “ดูสิเข้าไปยังร่างกายของข้าแล้ว ยังเหลืออีกสองดวง รอให้รวบรวมดวงวิญญาณสองดวงนั้นได้พวกเจ้าค่อยแย่งชิงกันอีกครั้ง”
เยี่ยจิ่งหานรู้สึกโกรธ
เสียดายที่เขาอุตส่าห์เชื่อใจนาง
ทว่านางเจอดวงวิญญาณแต่กลับมอบให้กับเหวินเส่าอี๋ในวินาทีแรก
ระหว่างเขาและเหวินเส่าอี๋ นางเข้าข้างเหวินเส่าอี๋มากกว่าเขาอย่างนั้นหรือ?
ในเมื่อเข้าสู่ร่างกายนางแล้ว เยี่ยจิ่งหานจะแย่งชิงอย่างไรก็ไร้ประโยชน์และทำได้เพียงจากไปด้วยความโมโห
เหวินเส่าอี๋ค้ำโต๊ะที่อยู่ข้างๆ เพื่อนั่งลงและผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นมา “หลังจากที่รวบรวมดวงวิญญาณทั้งเจ็ดได้แล้ว….หากไม่สามารถกลับไปยังดินแดนเยี่ยอวี่ได้ หรือยังหาร่างกายของนางไม่พบ เยี่ยจิ่งหายอาจฆ่าเจ้าก็ได้”
โดยเฉพาะครั้งนี้ที่นางเจอดวงวิญญาณแล้วมอบให้กับเขาก่อน โดยที่ไม่มอบให้เยี่ยจิ่งหาน
“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าก็จะฆ่าข้าด้วยใช่หรือไม่?”