กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1031
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1031
ภายนอกถ้ำ
กองกำลังของทางเจ้าหน้าที่ต่างคุกเข่าลงร้องสรรเสริญ
อี้หยุนเฟยมองไปยังกู้ชูหน่วนอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าคือมู่หน่วน จักรพรรดินีหญิงแห่งรัฐหญิง?”
“บังอาจ เจ้ากล้าเรียกชื่อของฝ่าบาทเช่นนี้หรือ”
ซี๊ด…..
หลังจากที่ทหารองครักษ์กล่าวตำหนิเสร็จก็หันไปเห็นสายตาที่เย็นชาและแหลมคมของกู้ชูหน่วน ซึ่งทำให้เขาตัวสั่นและคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตา
“ไสหัวไป ออกไปให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กู้ชูหน่วนกุมมือที่หนาวเย็นของอี้หยุนเฟยเอาไว้และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นจักรพรรดินีไม่ดีหรือ? สามารถคอยหนุนหลังเจ้าได้ด้วย”
“แน่นอนว่าดีที่เป็นจักรพรรดินี ทว่ากระหม่อมต่างหากที่เป็นพระสวามีรองของฝ่าบาท ฝ่าบาท คนที่ฝ่าบาทควรจะปกป้องเป็นคนแรกไม่ใช่กระหม่อมหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
มือที่กุมมือของอี้หยุนเฟยอยู่ถูกดึงออก และมือเล็กๆ ของตัวเองก็ถูกเยี่ยจิ่งหานกุมเอาไว้พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มข้างหูของนาง
เยี่ยจิ่งหานในตอนนี้นั้นอ่อนโยนและบริสุทธิ์ราวกับกระต่ายสีขาวตัวน้อยที่ไร้พิษภัย และขอความเอ็นดูจากนาง
กู้ชูหน่วนพยายามสะบัด แต่ก็ไม่สามารถหลุดจากมือของเขาได้เลย
ทว่ากลับยิ่งกุมมือแน่นยิ่งขึ้น
ผู้ชายคนนี้กินยาอะไรผิดไปหรือเปล่า?
ต่อให้ต้องการเลือดของนางก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้นี่นา?
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บ กระหม่อมจะพาฝ่าบาทกลับไปพักผ่อนที่วังหลวงนะพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะพูดเยี่ยจิ่งหานก็โอบแขนและอุ้มกู้ชูหน่วนขึ้นมานั่งบนตักทันที
เจี้ยงเสวี่ยเข็นรถเข็นออกไปด้วยความเข้าใจโดยปริยายและปล่อยให้อี้หยุนเฟยและคนอื่นๆ ยืนงงอยู่ตรงนั้น
“เยี่ยจิ่งหาน เจ้าเป็นบ้าอะไรของเจ้า รีบปล่อยข้าลงไปเดี๋ยวนี้”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บและกระหม่อมก็เป็นพระสวามีของฝ่าบาท การจะดูแลปรนนิบัติฝ่าบาทก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดคำว่าพระสวามีด้วยน้ำเสียงเน้นหนักเพื่อประกาศถึงสถานะของตัวเอง
“เจ้ากินยาผิดหรืออย่างไร ข้าเดินเองได้ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ”
“เมื่อก่อนกระหม่อมดูแลฝ่าบาทไม่ดีเอง กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว และต่อจากวันนี้ไปกระหม่อมจะคอยดูแลปรนนิบัติฝ่าบาทเป็นอย่างดี และจะไม่ยอมให้ฝ่าบาทต้องโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังพ่ะย่ะค่ะ”
งง
กู้ชูหน่วนงุนงง
เจี้ยงเสวี่ยก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน
ฝูกวงและลั่วอิ่งก็ไม่ต่างกัน
เขาคือเยี่ยจิ่งหานหรือ?
นี่คือพระสวามีรองอย่างนั้นหรือ?
ตั้งแต่ที่เขาเข้าวังไปก็ไม่เคยถูกคอกับฝ่าบาทเลย เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนมาดีกับฝ่าบาทเช่นนี้?
แถมยังพูดจาไพเราะอีกด้วย?
กู้ชูหน่วนลูบแขนที่ขนลุกชูและไม่รู้ว่าเขามาไม้ไหน
เจี้ยงเสวี่ยเช็ดเหงื่อที่ไหลบนหน้าผาก
คนอื่นเรียกแทนตัวเองว่ากระหม่อมเขาไม่ได้รู้สึกอะไร
ทว่านายท่านของตัวเองเรียกแทนตัวเองว่ากระหม่อม……
เหตุใดเขาถึงรู้สึกฟังดูแปลกๆ ยังไงชอบกล
กู้ชูหน่วน “เยี่ยจิ่งหาน……”
“เรียกว่าเสี่ยวเยี่ยเยี่ย ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทชอบเรียกกระหม่อมว่าเสี่ยวเยี่ยเยี่ยไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“คนดูเยอะออกจะเยอะขนาดนี้ ข้าเป็นถึงจักรพรรดินีแห่งรัฐปิง เจ้าควรจะให้เกียรติข้าบ้าง? ดวงวิญญาณที่เจ้าต้องการวันนี้ข้าจะพยายามตามหามาให้ได้……”
“ฝ่าบาทพูดถูก ฝ่าบาทเป็นจักรพรรดินีก็ควรให้เกียรติฝ่าบาทบ้าง ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทก็แต่งตั้งกุ้ยจวินไปจำนวนมาก หากต้องเพิ่มคนในวังหลังอีกประชาชนคงพากันวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาแน่”
“……”
พูดอะไรของเขา?
สิ่งที่เขาต้องการพูดคือเรื่องนี้หรือ?
เยี่ยจิ่งหายกอดนางแน่นและขณะเดียวกันก็ประกาศอธิปไตยตักเตือนอี้หยุนเฟยอยู่เป็นขณะ
กู้ชูหน่วนพยายามสะบัดออกแต่ก็ไม่เป็นผล
หากยังฝืนต่อไปเช่นนี้ คาดว่าคงต้องเกิดการต่อสู้ลงไม้ลงมือกับเยี่ยจิ่งหานแน่
ร่างกายของนางได้รับบาดเจ็บ และนางก็ไม่อยากสู้กับเยี่ยจิ่งหาน
ทำให้นางทำได้เพียงตะโกนออกไป “ฝูกวง คอยคุ้มกันคุณชายอี้และพาเขากลับมาที่วังหลวงด้วย”
เยี่ยจิ่งหานกล่าวอย่างเย็นชา “วังหลวงเป็นสถานที่สำคัญ คนอื่นไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า”
“คอยดูแลคุณชายอี้ดีๆ และส่งเขามาถึงวังหลวงอย่างปลอดภัย”
“ฝูกวงรับทราบขอรับ”
อี้หยุนเฟยจ้องมองดูความสนิทสนมระหว่างพวกเขาทั้งสองและในใจก็รู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา
คนที่เขาเกลียดที่สุดกลับกลายเป็นภรรยาของคนอื่น
แถมยังต้องคอยแบ่งปันภรรยากับผู้ชายอีกหลายคน
เขาเป็นคนรักเดียวใจเดียวมาโดยตลอด
และรังเกียจการมีภรรยาหรือสามีหลายคนมากที่สุด
แต่ตอนนี้……
เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
เมื่อมองไปที่พวกเขาที่ดูเหมาะสมและสนิทสนมกันขนาดนี้
เมื่ออยู่ด้วยกันกับพวกเขา เขาเองเหมือนเป็นคนนอก
คนนอกที่ไม่สำคัญอะไรเลย
“คุณชายอี้ ข้าน้อยคุ้มกันท่านกลับวังไปก่อนดีกว่าขอรับ รอให้ข้าน้อยส่งท่านกลับไปพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว นายท่านก็จะมาหาท่านเองขอรับ”
“ไม่ต้อง ข้ายังมีเพื่อนที่รอข้าอยู่ เจ้าบอกนางว่าตอนนี้ข้ายังรับสถานะตัวตนของนางไม่ได้ และไม่อยากกลับวังไปกับนาง”
อี้หยุนเฟยจ้องมองแผ่นหลังที่จากไปของพวกเขาอย่างไม่ละสายตาและจากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
ฝูกวงคิดจะตามไป ทว่าอี้หยุนเฟยกลับกล่าวอย่างเย็นชา “อย่าตามข้ามา ไม่เช่นนั้นข้าจะตายให้เจ้าดู”
“คุณชายอี้…..เฮ้อ…..”
ฝูกวงรู้สึกทำตัวไม่ถูก
เขาไม่เพียงมีหน้าตาเหมือนกับประมุขชิง
ทว่ากลับมีนิสัยที่เหมือนกันอย่างมาก
เป็นคนหัวดื้อหัวรั้นเหมือนๆ กัน
ในห้องบรรทมอันโอ่อ่าและเงียบสงบในวังหลวง
เยี่ยจิ่งหานคอยหยิบผลไม้ให้กู้ชูหน่วนกิน
คอยหยิบน้ำแกงบำรุงเลือดให้นาง
และคอยสั่งนางกำนัลให้เตรียมสำรับอาหารให้นางกิน
ยาสมุนไพรราคาแพงจำนวนมากถูกส่งเข้ามาให้กู้ชูหน่วนอย่างไม่ขาดสาย
ทำให้กู้ชูหน่วนทำได้เพียงจ้องมองสิ่งของมีค่าเหล่านี้ด้วยความงุนงง
“เหตุใดถึงไม่กิน หรือว่าไม่ถูกปากเจ้า งั้นข้าสั่งให้คนไปทำมาใหม่”
“ล้วนเป็นวัตถุดิบคุณภาพสูงทั้งสิ้น ต้องใช้เงินจำนวนมากเท่าไรกัน เยี่ยจิ่งหาน ท้องพระคลังไม่ได้มีเงินให้เจ้าคอยถลุงเล่นหรอกนะ”
“วางใจได้ ไม่ได้ใช้เงินของเจ้า”
“สำรับอาหารโต๊ะนี้อย่างน้อยต้องใช้เงินกว่าหนึ่งพันตำลึง หรือไม่เช่นนั้นเจ้าเปลี่ยนเป็นเงินสด?”
“ตกลง”
ฟรึ่บ……
เงินหนึ่งพันตำลึงปรากฏอยู่ตรงหน้าของนางทันที
กู้ชูหน่วนหยิบตั๋วเงินขึ้นมาและตรวจสอบอยู่หลายครั้งด้วยความสงสัย
ไม่ใช่ตั๋วเงินปลอม
เป็นหนึ่งพันตำลึงจริงๆ
เจ้าหมอนี่…..ใจกว้างเช่นนี้เลยหรือ?
ให้นางง่ายๆ เช่นนี้?
“แอ่มๆ ข้าไม่ค่อยหิวเท่าไร สำรับอาหารเยอะเช่นนี้ข้ากินไม่หมดหรอก ไม่เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นเงินสดอีกได้หรือไม่?”
เงินหนึ่งพันตำลึงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านางอีก
กู้ชูหน่วนสูดหายใจหนักแน่น
เยี่ยจิ่งหายถูกผีเข้าหรืออย่างไร? หรือว่าวันนี้เขาได้รับข่าวดีอะไร เหตุใดเขาถึงอารมณ์ดีเช่นนี้?
ไม่สนใจแล้ว
หาเงินได้มากแค่ก็ยิ่งดี
“เสี่ยวเยี่ยเยี่ย เจี้ยงเสวี่ยและชิงเฟิงเป็นองครักษ์คนสนิทของเจ้า และถือเป็นคนที่เจ้าสนิทสนมมากที่สุดในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งแห่งนี้ด้วยใช่ไหม”
“ไม่ใช่ อาหน่วนต่างหากที่เป็นคนที่ข้าสนิทสนมมากที่สุด”
“นอกจากอาหน่วน พวกเขาทั้งสองคือคนที่สนิทกับเจ้ามากที่สุดใช่ไหม?”
“หืม?”
“ข้าพยายามอย่างมากกว่าจะช่วยเหลือพวกเขาทั้งสองมาได้ แถมขาของข้าก็ได้รับบาดเจ็บจนหักลง เจ้าว่าค่ายา ค่ารักษาและค่าปลอบขวัญของข้าควรคิดอย่างไรดี……?”
“หนึ่งหมื่นตำลึงพอไหม?”
กู้ชูหน่วนแทบสำลักน้ำลาย
นางพยายามคิดหาเหตุผลเพื่อจะเอาเงินจากเขา
ทว่าเขากลับตอบรับอย่างรวดเร็วและมอบเงินหนึ่งหมื่นตำลึงให้นางทันที
“ข้าเป็นจักรพรรดินี จักรพรรดินีช่วยเหลือพวกเขาทั้งสองด้วยตัวเองเช่นนี้ก็ควรจะให้ค่าตอบแทนเยอะกว่านี้สิ”
“หนึ่งแสนตำลึงพอไหม?”
“พอๆๆ พอแน่นนอน งั้นก็ขอบคุณมาก ให้เป็นเงินสดกับข้าแล้วกัน”
เยี่ยจิ่งหานหันไปส่งสายตาให้เจี้ยงเสวี่ย
เจี้ยงเสวี่ยหยิบเงินหนึ่งแสนตำลึงออกไปให้นางอย่างไม่เต็มใจ
แม้นางจะเป็นนายหญิง
ทว่าก็จะเอาเงินจากนายท่านไปแบบนี้ไม่ได้
เดิมทีที่ดินแดนเยี่ยอวี้ นายท่านก็มีเงินไม่มาก
กู้ชูหน่วนรับเงินหนึ่งแสนตำลึงไปด้วยความระมัดระวัง
เมื่อมีเงินตำลึงเหล่านี้ ทำให้ความคับข้องใจที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ก็มลายหายไป
เพียงชั่วพริบตาก็เห็นเยี่ยจิ่งหานใช้แววตาที่ลึกซึ้งจ้องมองไปที่นาง แววตาที่เย็นชาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“เจ้า…..มีเรื่องจะขอร้องข้าอย่างนั้นหรือ? นอกจากเรื่องดวงวิญญาณแล้วยังมีเรื่องอะไรพูดมาสิ”
“จะว่าไปแล้วก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง”
“? ? ?”
เยี่ยจิ่งหานเข็นรถเข็นขยับเข้าไปใกล้กู้ชูหน่วนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คืนนี้อยู่นอนพักผ่อนที่หอดาบด้วยกัน”
น้ำแกงโสมที่กู้ชูหน่วนเพิ่งกินเข้าไปแทบพุ่งออกมา
นอนพักผ่อนที่หอดาบ?
และเมื่อมองไปที่สายตาที่แปลกไปของเขา
ผู้ชายคนนี้
หรือเขาคิดจะมีอะไรกับนางจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
“พี่หญิง…..พี่หญิง ในที่สุดพี่หญิงก็กลับมา อาม่อเป็นห่วงเหลือเกิน ต่อไปอาม่อจะไม่อยู่ห่างพี่หญิงอีก คืนนี้อาม่อจะอยู่นอนกับพี่หญิงด้วย”