กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1033
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1033
กู้ชูหน่วนส่งสายตาเพื่อให้ฝูกวงพาซือม่อเฟยออกไป
ภายในหอดาบ กู้ชูหน่วนนั่งอยู่ข้างนอกประตูด้วยความโกรธที่เดือดพล่าน
เยี่ยจิ่งหานนั่งอยู่ข้างในด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“สนุกมากนักหรือ?”
“หนึ่งแสนตำลึงพอไหมสำหรับค่าซ่อมแซม?”
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้วเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาดไป
“จุดไฟเผาวังหลวงและยังจ่ายเงินค่าซ่อมแซม เยี่ยจิ่งหาน เจ้าบ้าไปแล้วหรือว่าข้าประสาทหลอนไปเอง?”
“ไม่มีใครมีปัญหาอะไรเลย”
“ไม่พอ เงินหนึ่งแสนตำลึงไม่เพียงพอที่จะซ่อมตำหนักเฟิ่งหลวนด้วยซ้ำ”
“ทองคำหนึ่งแสนตำลึง”
เจี้ยงเสวี่ยตกใจจนหน้าถอดสี
“นายท่าน เราไม่มีเงินทองมากมายเช่นนั้น ความเสียหายของเรือนม่อโรว ตำหนักเฟิ่งหลวนและห้องตำราหลวงไม่ได้กว้างขวางเช่นนั้น….”
“งั้นก็ทำให้เสียหายเยอะกว่าเดิม”
เจี้ยงเสวี่ยตกใจ “อ๋า……”
แววตาที่อบอุ่นของเยี่ยจิ่งหานจ้องมองไปที่กู้ชูหน่วนและยิ้มออกมา “ฝ่าบาท ทองคำหนึ่งแสนตำลึง ฝ่าบาทพอใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“พอใจแน่นอน”
นางไม่ได้โง่
ทองคำตั้งหนึ่งแสนตำลึง มันสามารถสร้างห้องตำราหลวง เรือนม่อโรวและตำหนักเฟิ่งหลวนได้อีกตั้งกี่หลัง
“ออกคำสั่งไปว่าคืนนี้ฝ่าบาทจะบรรทมที่หอดาบ”
“เดี๋ยวก่อน ข้าพูดตั้งแต่ตอนไหนว่าข้าจะนอนที่หอดาบ?”
“ฝ่าบาทรับทองคำหนึ่งแสนตำลึงไปเมื่อสักครู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
“ข้ารับทองคำหนึ่งแสนตำลึง แต่ข้าไม่ได้ตกลงที่จะ…..”
จากนั้นกู้ชูหน่วนจะตระหนักขึ้นมาได้
ที่แท้เยี่ยจิ่งหานก็วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น
เขาอยากให้นางอยู่กับเขาเพื่ออะไร?
เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างกำลังจ้องมองนาง
เยี่ยจิ่งหานก็ใช้สายตาอันยั่วเย้าจ้องมองไปที่นาง จากนั้นกู้ชูหน่วนก็กัดฟันกรอด “คืนนี้ข้าจะนอนพักที่หอดาบ”
เพื่อทองคำหนึ่งแสนตำลึง นางยอมก็ได้
อยู่กับเขาก็ได้ ไม่แน่อาจจะได้ทองคำอีกหนึ่งแสนตำลึงก็เป็นได้
“พ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาองครักษ์ต่างออกไป ทว่าเจี้ยงเสวี่ยกลับไม่มีทีท่าจะออกไป
พระชายาของตัวเองเป็นคนยังไงเขารู้อยู่แก่ใจดี
ที่พระชายายอมอยู่ที่หอดาบก็เพราะนางยังต้องการหลอกเงินของนายท่าน
ปล่อยให้นางหลอกเอาเงินจากนายท่านไปเช่นนั้นต่อไป พวกเขาต้องไปเป็นขอทานแน่
เยี่ยจิ่งหานหรี่ตาลงอย่างเย็นชา “ยังไม่รีบออกไปอีก”
เจี้ยงเสวี่ยเหมือนต้องการพูดอะไร ทว่าสุดท้ายกลับเรียกที่จะปิดปากและกล่าวเพียง “ขอรับ…..”
ภายในหอดาบอันกว้างใหญ่และมีเพียงกู้ชูหน่วนและเยี่ยจิ่งหาน อีกทั้งทั้งสองยังนั่งอยู่บนรถเข็น ซึ่งดูแล้วประหลาดตามาก
“เจ็บขาไหม?”
“อ๋า……?”
“ไม่ว่าจะยุ่งมากแค่ไหน แต่ต้องดูแลร่างกายของตัวเองให้ดีที่สุด”
เยี่ยจิ่งหานยกขาของนางขึ้นมาอย่างอ่อนโยนและวางไว้ที่บนตักของเขา จากนั้นก็ค่อยๆ นวดข้อเท้าที่ได้รับบาดเจ็บของนาง ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนกับการถือสมบัติที่กลัวว่าใครจะใช้กำลังทำร้ายนาง
ภายใต้แสงเทียน ความเย็นชาและความเข้มงวดในอดีตของเยี่ยจิ่งหานได้มลายหายสิ้นไปจนหมด และชั้นของแสงที่นุ่มนวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่มีขอบคมของเขา
“โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไร อีกสองวันก็จะหายเป็นปกติ”
ใบหน้าของเขาสมบูรณ์แบบอย่างมาก และแทบไม่มีที่ติอะไรเลยสักนิดเดียว
กู้ชูหน่วนพยายามมองไปทางอื่น เพราะกลัวว่าตัวเองจะเคลิบเคลิ้มไป
นางคิดจะดึงขากลับไป ทว่าเยี่ยจิ่งหานกลับกอดขาของนางเอาไว้แน่น
“ข้างในยังมีรอยฟกช้ำของเลือด ข้าจะช่วยนวดให้คลาย”
“ไม่ต้องแล้ว ข้านวดเองได้”
“ฝ่าบาทกลัวว่ากระหม่อมจะทำให้ฝ่าบาทเจ็บหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“……”
แววตาของเยี่ยจิ่งหานจับจ้องไปที่ข้อเท้าที่บวมของนางด้วยความสงสารและเป็นห่วง แม้ว่าความรู้สึกนั้นจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่ากู้ชูหน่วนกลับมองเห็นด้วยตาเปล่า
ค่ำคืนที่มืดมิดและเงียบสงัด
ทั้งสองต่างเงียบไม่พูดอะไรและต่างก็คิดอะไรในใจ
จนถึงตอนที่เยี่ยจิ่งหานสวมรองเท้าให้นางและวางเท้านางลง จากนั้นความเงียบก็มลายหายไป
“ฝ่าบาท ดึกมากแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ”
“เยี่ยจิ่งหาน เรา…..”
“เรียกข้าว่าเสี่ยวเยี่ยเยี่ย”
“อ๋า…..เสี่ยว…..เสี่ยวเยี่ยเยี่ย…..ผู้หญิงผู้ชายอยู่ด้วยกันสองคน เราแยกกันนอนจะดีกว่าไหม?”
ยิ้มให้นางทำไม?
เขาไม่รู้หรือว่ารอยยิ้มของเขามีเสน่ห์มากแค่ไหน?
“ฝ่าบาทลืมไปแล้วหรือว่ากระหม่อมคือพระสวามีรองของฝ่าบาท”
“เฮอะๆ…..มันก็แค่……การถูกบังคับให้แต่งงานก็เท่านั้นเองไม่ใช่ไหรือ?”