กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1080 ทำลายค่ายกล
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1080 ทำลายค่ายกล
“ไม่มียารักษา ข้าได้ทำลายยารักษาไปตั้งแต่แรกแล้ว ที่ข้าสร้างแสงพวกนั้นขึ้นมาก็เพื่อจะสังหารนาง แล้วข้าจะทิ้งหางไว้ให้ตัวเองได้ยังไง ฟ่อ……”
เมื่อเสียงของนางเงียบลง ดอกดาตูราจำนวนมากก็ผลิบานขึ้นมาบนร่างกายของนาง ดอกดาตูราเปิดปากที่เต็มไปด้วยเลือดของนาง กัดกินเนื้อและเลือดของนาง
หลังจากดูดเลือดมนุษย์เข้าไป พลังของดอกดาตูราเพิ่มมากขึ้น และเสพติดการกินเนื้อและเลือดของฮวาอิ่ง
เลือดสาดกระเซ็น แค่เห็นก็รู้สึกสยองขวัญ
ฮวาอิ่งพยายามดิ้นรน แต่ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของค่ายกลแสงได้ ทำได้เพียงอดทนกับความเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้ามาในหัวใจของนาง
“เอาดอกไม้บ้านี่ออกไปจากร่างกายของข้าเดี๋ยวนี้”
“ได้ เอายามาให้ข้าก่อน”
“ฝันไปเถอะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็เพลิดเพลินกับเนื้อและเลือดบนร่างกายของเจ้าที่ค่อย ๆ ถูกกลืนกินไปทีละน้อย พูดถึงวิชาชั่วร้าย ข้าซือม่อเฟยเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า ไม่มีใครดีกว่าข้าอีกแล้ว”
“ไม่ว่าจะเป็นเงาของเจ้าก็ดี หรือเป็นร่างวิญญาณชั่วร้ายของเจ้าก็ดี ก็ไม่สนว่าเจ้าจะฝึกฝนวิชาชั่วร้ายมานานแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าซือม่อเฟย มันก็มีค่าพอ ข้าเป็นผู้นำของเผ่าปีศาจ ชื่อเสียงของข้าไม่มีใครอาจเทียบเคียงได้”
“อ่า ใช่แล้ว ลืมบอกเจ้าไป เจ้าอาจจะมีวิธีการทรมานคนอื่นเป็นพันวิธี แต่ข้าเองก็มีวิธีของข้าเช่นกัน ไม่เชื่อก็มาลองดูกัน”
ฮวาอิ่งจ้องมองจอมมารด้วยแววตาอันชั่วร้าย เกลียดแค้นจนอยากจะฉีกร่างของเขาให้เป็นหมื่นชิ้น
จอมมารลูบผมที่หลังหูของเขา และพูดด้วยรอยยิ้มอันบางเบาว่า “ถูกดาบแทงทะลุถึงหัวใจแต่ยังไม่ตาย ไม่รู้ว่ามันเป็นโชคดีของเจ้าหรือเปล่า ฮ่าฮ่าฮ่า”
“เส่าอี๋……เส่าอี๋……”
ในเวลานั้น เหวินเฉิงเทียนที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลแสงแห่งการทำลาย
เยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋ผงะขึ้นมาทันที
โดยเฉพาะเหวินเส่าอี๋ เขาไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เขาได้ยิน
“เส่าอี๋ นี่มันค่ายกลอะไรกัน แสงพวกนี้ทำให้ข้าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เจ้ารีบช่วยข้าทำลายมันเร็ว”
“ท่านพ่อ……”
เป็นไปได้อย่างไร……
ท่านพ่อตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?
เหตุใดถึงยังพูดออกมาได้?
เหวินเส่าอี๋คิดอย่างจริงจังและมองไปที่พ่อของเขา หรือว่าท่านพ่อจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เขาก็มองไม่เห็น
แต่เสียงนี้ ลมหายใจนี้ นี่คือพ่อของเขาอย่างแน่นอน
เยี่ยจิ่งหานเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เหตุใดคนตายถึงฟื้นคืนชีพกลับมาได้
“เส่าอี๋ เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่? เจ้ารีบทำลายค่ายกลนี้แล้ว จากนั้นก็ช่วยข้าแก้แค้นให้กับเหล่าพี่น้องของเผ่าเพลิงฟ้าที่จากไป พวกเขาแต่ละคนตายไปอย่างน่าอนาถ”
เสียงที่คุ้นเคยยังคงเติมเต็มหัวใจที่ยุ่งเหยิงของเหวินเส่าอี๋
นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา
มันคือความจริง
พ่อของเขากำลังพูดอยู่จริง ๆ
เพราะหัวใจของเหวินเส่าอี๋หวั่นไหว
ทำให้ความแข็งแกร่งของค่ายกลสั่นคลอน
จอมมารขมวดคิ้ว “เหวินเส่าอี๋ พ่อของเจ้าตายไปแล้ว นั่นคือหนอนกู่ที่สร้างปัญหาให้เจ้า มันเรียนแบบเสียงของพ่อเจ้าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าอย่าหลงกลมันเป็นอันขาด”
เยี่ยจิ่งหานได้ยินเช่นนั้น เขาก็ดึงความสนใจกลับมาและเพิ่มพลังให้กับค่ายกลทันที
เหวินเส่าอี๋เองก็คืนสติขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เสียงที่คุ้นเคยของเหวินเฉิงเทียนยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถสงบใจลงได้
“พ่อผิดเอง พ่อต้องขอโทษเจ้า พ่อไม่สามารถชดใช้เรื่องการตายของแม่เจ้าได้ ไม่ได้สั่งสอนเลี้ยงดูเจ้าให้ดี ทิ้งภาระไว้ให้เจ้า โชคดีที่เข้าแข็งแกร่ง พ่อภูมิใจในตัวเจ้ามาก”
คำพูดนี้……
เหตุใดถึงได้คุ้นเคยถึงเพียงนี้?
มันคือคำพูดที่พ่อของเขาเคยพูดกับเขาก่อนหน้านี้
“เจ้าต้องลืมผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่ในฐานะที่นางเป็นภรรยาของเยี่ยจิ่งหาน แต่ในฐานะที่นางเป็นผู้นำของเผ่าหยก เจ้ากับนางไม่มีวันเป็นไปได้ พวกเจ้าถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกันอย่างแท้จริง”
เหวินเส่าอี๋มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง
เขาพยายามควบคุมตนเองไม่ให้ได้ยินเสียงเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม เสียงเหล่านั้นได้แทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณส่วนลึกของเขา กระตุ้นความทรงจำอันเจ็บปวดที่เขาเก็บงำไว้
และเสียงของจอมมารกับเยี่ยจิ่งหานที่ดังขึ้นก็ค่อย ๆ คลุมเครือ
“เหวินเส่าอี๋ เจ้าตื่นได้แล้ว นั่นไม่ใช่พ่อของเจ้า”
“เส่าอี๋……พ่อขอโทษ เจ้าจะต้องมีความสุข เส่าอี๋……”
“พัฟ……”
ภายใต้ความวุ่นวาย เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดตรงท้องของเขา
เหวินเส่าอี๋ก้มศีรษะลง
แม้ตาจะมองไม่เห็น แต่เขาสัมผัสได้ถึงอาวุธของเหวินเฉิงเทียนที่ทิ่มแทงมายังท้องของเขา และดึงออกไปอย่างบ้าคลั่ง
และในตอนนั้นเอง ค่ายกลแสงถูกทำลายและฮวาอิ่งก็หลุดออกมา
“เส่าอี๋ อย่าหาว่าพ่อใจร้าย ข้าอยู่ในหลุมคนเดียวมันช่างเงียบเหงา เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนพ่อด้วยเถิด”
“หนอนกู่เฮงซวย จัดการกับเหวินเส่าอี๋อย่างเดียวไม่พอ ยังมาทำให้ข้าเสียเรื่องอีก เพื่อปกป้องพี่หญิงของข้า ดาตูรา กลืนกินมัน ข้าต้องการให้มันหายไปจากโลกใบนี้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า……ข้าบอกแล้ว ข้าอยู่ในระดับมนุษย์ เป็นผู้คงกระพัน บนโลกใบนี้ไม่มีใครทำอะไรข้าได้ ฮ่าฮ่าฮ่า……”
“บูม……”
“ปัง……”
“ควับ……”
“ลูกรัก ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้”
“รอให้ข้าดูดซับพลังของพวกเจ้ามาก่อน แล้วข้าจะจัดการกับเจ้าเด็กเหลือขอนั่นอย่างสาสม”
หูของเหวินเส่าอี๋เต็มไปด้วยเสียงของการพูดคุยและการต่อสู้
ไม่ต้องบอกก็รู้ พวกเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
พลังในร่างกายถูกดูดออกไปอย่างต่อเนื่อง
ในเวลานี้ เขาไร้ซึ่งอำนาจในการป้องกัน จึงไม่ต้องพูดถึงอำนาจในการตอบโต้
การต่อสู้ครั้งนี้ คือเขาที่เป็นตัวถ่วง
มันไม่ใช่เพียงการทำร้ายเยี่ยจิ่งหาน ซือม่อเฟย มู่หน่วน แต่มันเป็นการทำร้ายประชาชนทั้งใต้หล้า
พราก……
น้ำตาแห่งความเสียใจไหลลงมา
เหวินเส่าอี๋อดทนต่อความเจ็บปวดจากการสูญเสียพลังของเขาอย่างต่อเนื่อง
ใต้ป่าไผ่
หัวใจของกู้ชูหน่วนที่เห็นฉากดังกล่าวกำลังแหลกสลาย
เหวินเส่าอี๋ถูกแทงและล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
เยี่ยจิ่งหานถูกโจมตีหลายสิบครั้งและล้มลงจมกองเลือด
แม้แต่อาม่อเองก็กระเด็นออกไปพร้อมกระอักเลือด
แต่ในขณะนั้น ฮวาอิ่งกลับดูดพลังของเยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋อย่างสบายใจ
มือของนางกวัดแกว่งราวกับมีดที่ฟันมาบนร่างกายของจอมมาร
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาทั้งสามจะตายด้วยน้ำมือของฮวาอิ่ง
ความโกรธพลุ่งพล่านออกมาจากหัวใจและลามไปถึงแขนขา
นอกจากพวกเขาสามคน ยังมีเซี่ยวอวี่เซวียนอีกคนที่นางเป็นห่วงที่สุด
และเวลานี้ เซี่ยวอวี่เซวียนได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะนาง และพวกเขาสามคนต้องมาตายเพราะนางอีกงั้นหรือ
ภาพความคุ้นเคยและมิตรภาพในอดีตผุดขึ้นมาในสมองของนางอย่างไม่ขาดสาย
ยิ่งผุดขึ้นมามากเท่าไหร่ กู้ชูหน่วนก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเท่านั้น
มือทั้งสองข้างกำแน่น และสภาพที่น่าสังเวชของพวกเขาสะท้อนให้เห็นในดวงตาอันโกรธเกรี้ยวของนาง
ทันใดนั้น ดวงตาสีเข้มของกู้ชูหน่วนก็เปลี่ยนเป็นสีเลือด
ความแข็งแกร่งในร่างกายของนางระเบิดออกมา
นางใช้มือประคองตนเองขึ้นจากพื้น และบินออกไปราวกับนกพิราบ
“บูม……”
ตราประทับบนมือทั้งสองข้าของกู้ชูหน่วนกระแทกเข้ากับร่างของฮวาอิ่งอย่างรุนแรง
ฮวาอิ่งซึ่งหมกมุ่นอยู่กับการดูดซับพลังของเยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋ เมื่อรู้สึกได้ถึงอันตราย นางยกมือขึ้นเพื่อปะทะกับฝ่ามือของกู้ชูหน่วน
เมื่อฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน เสียงระเบิดดังสนั่น ต้นไผ่ในป่าโค่นตัวลง สิ่งที่ชีวิตเกือบทั้งหมดถูกทำลาย
“เป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”
ฮวาอิ่งไม่กล้าดูถูกศัตรู เนื่องจากนางเคยเห็นมหาเวทย์ดูดพลังของกู้ชูหน่วนมาแล้ว
จากนั้นพลังของฮวาอิ่งก็ไหลออกจากร่าง พลังของนางถูกมหาเวทย์ดูดพลังของกู้ชูหน่วนดึงกลับไป
มหาเวทย์ดูดพลังของนางแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายร้อยเท่า
เมื่อรู้สึกว่าพลังในร่างกายกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ฮวาอิ่งพยายามดิ้นรนเพื่อหนีไปจากการควบคุมของมหาเวทย์ดูดพลัง
แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากมันไปได้
เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความแค้นและจิตสังหารอันพลุ่งพล่านของกู้ชูหน่วน
นางตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด
นางทำได้เพียงใช้กระดิ่งเพื่อพยายามปลุกหุ่นเชิดที่นางควบคุมให้ฟื้นขึ้นมา
กู้ชูหน่วนรู้อยู่แล้วว่านางจะต้องทำเช่นนี้
นางจบตบไปที่ฝ่ามือของฮวาอิ่งเพื่อทำลายกระดิ่ง
กระดิ่งตกสู่พื้น
แต่หุ่นเชิดก็ยังพุ่งเข้ามาโจมตีกู้ชูหน่วนอย่างบ้าคลั่ง
รอยยิ้มแห่งความสำเร็จปรากฏขึ้นตรงมุมปากของฮวาอิ่ง
“ไร้ประโยชน์ ขอแค่สั่นกระดิ่งไปแล้ว พวกมันก็จะไล่ล่าเจ้าอย่างสุดชีวิต ไล่ล่าเจ้าไปจนตาย”
“แกร่ง แกร่ง แกร่ง……”
เสียงพิณดังขึ้น
และเสียงขลุ่ยเองก็ดังขึ้นมาในเวลาเดียวกัน บรรเลงพร้อมกันอย่างแผ่วเบาทำให้บรรยากาศเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ
เพื่อความสงบบังเกิด หุ่นเชิดเหล่านั้นหยุดเคลื่อนชั่วขณะ และไม่บ้าคลั่งอีกต่อไป
ฮวาอิ่งจ้องไปที่เยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋ด้วยดวงตาอันเฉียบคม
บาดเจ็บขนาดนั้นยังใช้พิณและขลุ่ยผสานกันออกมาเป็นท่วงทำนองแห่งความสงบได้
เจ้าสองคนนั้นมันฆ่าไม่ตายหรือยังไง?