กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1095 สงสัย
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1095 สงสัย
“เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงไอออกมาเป็นเลือดอยู่บ่อยครั้ง? และร่างกายของเขาก็ไร้ซึ่งกำลัง?”
“เรื่องนี้……ข้าน้อยไม่รู้ บางทีพ่อมดอาจจะรู้ก็ได้”
ร่างทั้งร่างของกู้ชูหน่วนดูเหมือนจะไร้ซึ่งกำลัง
แม้ว่าอี้หยุนเฟยจะหมดสติไปแล้ว แต่คิ้วของเขายังคงขมวดอยู่อย่างนั้นด้วยความเจ็บปวด
เลือดสีดำไหลออกมาครึ่งอ่างถึงจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมาก
การเคลื่อนไหวของกู้ชูหน่วนนั้นนุ่มนวลและอ่อนโยน ราวกับนิ้วที่เปื้อนเลือดของอี้หยุนเฟยเป็นทรัพย์สมบัติที่หายาก
“เจ้าชื่ออะไร?”
“กราบทูลฝ่าบาท ข้าน้อยมีนามว่าเสี่ยวหลี่จือ”
“นำเลือดสีดำเหล่านี้ไปทิ้ง จำเอาไว้ว่าห้ามทิ้งลงน้ำเป็นอันขาด ในเลือดนี้มีพิษอยู่ จะนำไปที่ทิ้งที่ใดก็แล้วแต่ แต่ห้ามไปทิ้งตรงที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่”
“ขอรับ ข้าน้อยจะจัดการเป็นอย่างดี”
หนุ่มรับใช้เดินออกไป ในห้องเหลือเพียงแค่กู้ชูหน่วนและอี้หยุนเฟยอยู่สองคน
กู้ชูหน่วนยื่นมือออกไปเกลี่ยคิ้วที่ขมวดอยู่ของอี้หยุนเฟย
เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาอย่างไร้ที่ติของเขา หัวใจของกู้ชูหน่วนก็จมลงสู่ก้นบึ้งของเหวลึก
แม้จะมีโอกาสเพียงแค่หนึ่งส่วน และเขาอาจจะต้องตาย แต่เขาก็ยังเลือกจะช่วยนาง?
เขายอมปล่อยให้ตนเองเจ็บปวดดีกว่าที่จะปล่อยให้นางต้องลำบากใจ
เห็นได้ชัดว่าหากเขานำแผ่นอักษรสีเหลืองกลับมาไม่ได้ เขาอาจจะต้องตาย แต่เขาก็ไม่เคยขอร้องให้นางไปนำแผ่นอักษรสีเหลืองมาให้เขา
อี้หยุนเฟย เจ้าทำเพื่อข้ามากมายถึงเพียงนี้เลยงั้นหรือ
ข้าต้องทำเช่นไรถึงสามารถตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ของข้าได้?
นึกถึงช่วงเวลาที่ได้รู้จักกับอี้หยุนเฟย เขาเป็นผู้ชายที่บริสุทธิ์และไม่มีพิษภัยราวกับกระต่ายขาว ไม่หมกมุ่นกับเรื่องทางโลก และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
เวลานี้……
เขาเติบโตแล้ว
แต่สิ่งที่ต้องแลกมากับการเติบโตของเขามันยิ่งใหญ่เกินไป
ค่ำคืนนั้น กู้ชูหน่วนอยู่เป็นเพื่อนอี้หยุนเฟยในห้องหนังสือของตำหนักอี้หยุน
เมื่อถึงเข้าไปในท้องพระโรง นางถึงเดินจากออกจากตำหนักอี้หยุน
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วพระราชวัง ทุกคนต่างคิดว่าฝ่าบาทโปรดปรานหวงกุ้ยจวินเป็นอย่างมาก ทำให้คนของตำหนักอี้หยุนยกยอตนเองมากยิ่งขึ้น
เมื่อออกจากท้องพระโรงในช่วงบ่าย สาวใช้ในพระราชวังหลิงเอ๋อร์ก็กล่าวว่า “ฝ่าบาท ต้าเฟิงโห้วฟื้นแล้ว ท่านจะไปเยี่ยมเขาหน่อยหรือไม่?”
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว “เหวินเส่าอี๋ฟื้นแล้วงั้นหรือ?”
เมื่อคืนวานนางเพิ่งจะตัดสินใจว่าจะฉวยโอกาสช่วงที่เหวินเส่าอี๋ยังไม่ฟื้นไปชิงแผ่นอักษรสีเหลืองกลับมา ปกป้องชีวิตของอี้หยุนเฟยไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
แต่ไม่ทันไรเหวินเส่าอี๋ก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว เกรงว่าโอกาสที่จะได้แผ่นอักษรสีเหลืองคงลดน้อยลง
“มีใครรู้เรื่องที่ต้าเฟิงโห้วฟื้นขึ้นมาแล้วบ้าง?”
“ไม่ค่อยมีผู้ใดรู้ ฝ่าบาทต้องการประกาศให้ใต้หล้าได้รู้ว่าต้าเฟิงโห้วฟื้นขึ้นและทำการเฉลิมฉลองอย่างนั้นหรือเพคะ?”
“เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เก็บไว้ให้นานที่สุด โดยเฉพาะคนของเผ่าเพลิงฟ้า ห้ามให้ใครรู้เป็นอันขาด ห้ามให้พวกเขารู้ว่าเหวินเส่าอี๋ฟื้นขึ้นมาแล้ว”
“เพคะ”
สาวใช้ไม่เข้าใจความหมายของกู้ชูหน่วน แต่ก็ยังคงปฏิบัติตามคำสั่ง
ตำหนักเว่ยหยาง
กู้ชูหน่วนเข้าไปเยี่ยมเหวินเส่าอี๋ในตำหนักเพียงคนเดียวพร้อมกับโจ๊กสมุนไพรในมือ
เหวินเส่าอี๋สวมเสื้อผ้าบาง ๆ
ยืนอยู่ด้านนอกหน้าต่างราวกับรูปปั้น ไม่เคลื่อนไหว ไม่ว่าลมหนาวจะพัดผ่านมาแรงเพียงใดเขาก็ไม่กะพริบตา และไม่รู้ว่าเขากำลังมองสิ่งใดอยู่
หรือบางทีเขาอาจมองไม่เห็นอะไรเลย จดจ่ออยู่ที่ใดที่หนึ่งและครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่ง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง กู้ชูหน่วน รู้สึกว่าแผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
แม้แต่อากาศก็แผ่ความโศกเศร้าออกมา
“เสี่ยวหูเตี๋ย ด้านนอกลมแรง เจ้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ไม่ควรปล่อยให้ลมโกรกเช่นนั้น”
พูดจบนางก็หยิบเสื้อกันลมไปคลุมร่างของเขา
เมื่อสัมผัสได้ว่านางกำลังเข้ามาใกล้ เหวินเส่าอี๋ถอยออกไปสองสามก้าว เว้นระยะห่างจากนาง ราวกับต้องการขับไล่ ไม่ให้นางเข้าใกล้
กู้ชูหน่วนผงะอยู่ครู่หนึ่ง
หรือว่าเหวินเส่าอี๋จะรู้เรื่องที่นางจะไปนำแผ่นอักษรสีเหลืองมาให้อี้หยุนเฟย?
ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น
เขาเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาไม่ใช่หรือ?
“แคก แคก……”
แค่เคลื่อนไหว เหวินเส่าอี๋ก็ไอออกมาเป็นเลือด ชุดสีขาวถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงฉาน
กู้ชูหน่วนก้าวไปด้านหน้าเพื่อตรวจชีพจรให้เขา แต่เหวินเส่าอี๋ก็เว้นระยะห่างจากนางอีกครั้ง
“เสี่ยวหูเตี๋ย เจ้าโกรธที่ข้าเพิ่งมาหาเจ้าอย่างนั้นหรือ? ข้ารู้ว่าเจ้าบาดเจ็บสาหัส จากจึงไปยังครัวหลวงเพื่อทำโจ๊กสมุนไพรมาให้เจ้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่ออาการบาดเจ็บของเจ้า”
เหวินเส่าอี๋กล่าวออกมาด้วยท่าทางอันเยือกเย็น เสียงแหบแห้ง “เจ้าทำมันด้วยตนเองงั้นหรือ?”
“ใช่ ด้านในมีสมุนไพรล้ำค่ามากมาย ทุกขั้นตอนทำอย่าพิถีพิถัน และเพิ่มตัวยาเข้าไปมากมาย โจ๊กถ้วยนี้จึงเปี่ยมล้นไปด้วยสารอาหาร หากให้ผู้อื่นมาทำแทน ข้าคงไม่สบายใจ”
“มา ลองชิมดู นานแล้วที่ข้าไม่ได้ป้อนโจ๊กให้ใครเช่นนี้”
ท่าทางของเหวินเส่าอี๋นั้นเยือกเย็น แสดงออกไปการปฏิเสธอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากท่าทางอันสง่างามและเรียบง่ายก่อนหน้านี้ของเขา
เขาถามออกมาอย่างจริงจัง “เจ้ากลั่นยาเป็นได้อย่างไร?”
“กลั่นยา? ข้าเองก็ไม่รู้ บางทีอาจจะเรียนรู้มาจากความฝัน เหตุใดจู่ ๆ เจ้าจึงสนใจเรื่องการกลั่นยา?”
กู้ชูหน่วนคิดว่าจะตอบคำถามของเขาเพียงแค่สองสามคำ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามออกมาโดยตรง
“กระดูก……กระดูกของพ่อข้าอยู่ที่ใด”
“ถูกพัดไปกับสายฝัน และหายไปจากโลกใบนี้”
เหวินเส่าอี๋เงียบไม่พูดอะไร เพียงมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความงุนงง
สายลมในยามค่ำคืน
มันทำให้เสื้อผ้าของเขาสั่นราวกับว่าเขาเป็นเทวดาที่โบยบินลงมาจากสรวงสวรรค์
“ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยดวงดาว ทุกดวงส่องประกายด้วยตัวเอง ได้ยินมาว่าหลังจากที่มนุษย์ตายไป ดวงวิญญาณก็จะกลายเป็นดวงดาว เจ้าว่าดาวดวงไหนคือพ่อของเจ้า”
นัยน์ตาของเหวินเส่าอี๋
มีเพียงความมืดเท่านั้น
เช่นเดียวกับหัวใจของเขา มันมีเพียงความมืด ไร้ซึ่งแสงสว่าง
นางเป็นใครกันแน่?
มู่หน่วน?
หรือว่ากู้ชูหน่วน?
หากนางเป็นกู้ชูหน่วน ดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ของนางจะกลับมาเกิดใหม่ยังดินแดนวิญญาณเยือกแข็งได้อย่างไร? แล้วเหตุใดจึงไม่สังหารเขา แต่กลับมาแต่งงานกับเขาแทน?
แต่หากนางไม่ใช่กู้ชูหน่วน เหตุใดการกระทำของนางจึงเหมือนกู้ชูหน่วนทุกอย่าง ทุกสิ่งที่กู้ชูหน่วนสามารถทำได้ นางเองก็ทำได้
และ……
ฮวาอิ่งเรียกนางว่ากู้ชูหน่วน
เยี่ยจิ่งหานปกป้องนางด้วยชีวิต และทัศนคติของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“นั่นไง ดวงที่สว่างที่สุดทางทิศตะวันออก ส่องแสงระยิบระยับ ข้าว่าดาวดวงนั้นน่าจะเป็นพ่อของเจ้า”
“พ่อของเจ้ากำลังปกป้องเจ้าจากบนท้องฟ้า อยู่เป็นเพื่อนเจ้า เมื่อเจ้ายิ้ม เขาก็ดูสดใส เมื่อเจ้าทุกข์ หัวใจของเขาก็แหลกสลาย นั่นคือดวงดาวที่คอยอธิษฐานและอวยพรให้เจ้าอยู่ตลอด”
“เจ้าพูดกับเยี่ยจิ่งหานเช่นนี้ด้วยหรือไม่?”
อะไรกัน?
กู้ชูหน่วนตอบสนองไม่ทัน
วันนี้เหวินเส่าอี๋ดูผิดปกติไปจากทุกครั้ง
“เสี่ยวเยี่ยเยี่ยยังคงหมดสติ เขาไม่มีความรู้สึกอันใดกับฮวาอิ่ง และฮวาอิ่งเองก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นแม่ของเขา”
“เสี่ยวเยี่ยเยี่ย ช่างน่ารักเสียจริง เมื่อก่อนเจ้าก็เรียกเขาเช่นนี้งั้นหรือ”
“หากเจ้าไม่ชอบให้ข้าเรียกเขาว่าเสี่ยวเยี่ยเยี่ย เช่นนั้นข้าก็จะเรียกเขาว่าเยี่ยจิ่งหาน มานี่เร็ว รีบดื่มตอนยังร้อน ข้าตื่นมาปรุงมันตั้งหลายชั่วโมง”
โจ๊กสมุนไพรถูกเปิดออก กลิ่นหอมจาง ๆ อบอวลไปทั่ว
กลิ่นสดชื่นและกระตุ้นความอยากอาหาร
แต่เหวินเส่าอี๋กลับเต็มไปด้วยรสชาติอันจืดชืด
“เจ้าไม่ชอบกลิ่นนี้อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะเปลี่ยนเป็นโจ๊กอย่างอื่นให้เจ้า รับประกันได้เลยว่ามันต้องดีต่อร่างกายของเจ้าเป็นแน่”
“และก็ดวงตาของเจ้า หากไม่มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น อีกไม่นานมันก็จะกลับมาเป็นปกติตามเดิม อีกเดี๋ยวข้าจะช่วยเปลี่ยนยาให้เจ้า”
“เจ้าอยากให้ดวงตาของข้าหายเป็นปกติจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“หากข้าไม่คิดเช่นนั้น ข้าจะยอมทุ่มเททั้งกายและใจในการรักษาเจ้าเพื่อเหตุใด?”
“ฮึ……”
“เจ้ายิ้มอะไรของเจ้า?”
“ฝ่าบาทมีงานมากมายต้องทำ เส่าอี๋ไม่อยากให้ท่านต้องมาเสียเวลา นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านกลับไปเสียเถิด”
“ข้ารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อของเจ้านั้นทำให้เจ้ารู้สึกทุกข์ทรมาน แต่ดวงวิญญาณของเข้าได้ขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์แล้ว และเขาก็หวังว่าเจ้าจะไม่ยอมแพ้”
“ฝ่าบาททรงเป็นห่วงข้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“แน่นอน”
“เช่นนั้นข้าขอของขวัญจากฝ่าบาทสักชิ้นได้หรือไม่”
หัวใจของกู้ชูหน่วนเต้นไม่เป็นจังหวะ
นอกจากแผ่นอักษรสีเหลือง นางสามารถรับปากได้ทุกอย่าง
แต่เกรงว่าสิ่งที่เขาต้องการจะเป็นแผ่นอักษรสีเหลือง
“เจ้าต้องการสิ่งใด?”
“ข้าต้องการให้ท่านเนรเทศเยี่ยจิ่งหานและเซี่ยวอวี่เซวียนออกจากรัฐปิง หรือไม่ก็สังหารพวกเขาเสีย”