กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1097 จอมมารโกรธ
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1097 จอมมารโกรธ
“ฝ่าบาท เสี่ยวหลี่จือแห่งตำหนักอี้หยุนมาขอเข้าเฝ้า”
ขันทีน้อยที่อยู่หน้าประตูตะโกนรายงาน ขัดจังหวะการพูดคุยของพวกเขา
หัวใจของกู้ชูหน่วนแข็งทื่อทันที
นางเคยพูดกับเสี่ยวหลี่จือไว้ หากอาการบาดเจ็บของอี้หยุนเฟยกำเริบรุนแรง ให้รีบมาแจ้งนางทันที
หรือว่า……
“คือ……”
“ถวายบังคมฝ่าบาท คารวะม่อกุ้ยจวิน ขอให้ฝ่าบาทอายุยืนนาน หมื่นปี หมื่น หมื่นปี ขอให้ม่อกุ้ยจวินอายุยืนนาน พันปี พัน พันปี”
“หวงกุ้ยจวินป่วยอย่างนั้นหรือ?”
เสี่ยวหลี่จือพยักหน้า “นายท่านหมดสติล้มลงไป ก่อนจะหมดสติก็อาเจียนเป็นเลือด ร่างกายเย็นเยือก ชักอย่างต่อเนื่อง ผู้อาวุโสเจียงสั่งให้คนคอยแอบดูหวงกุ้ยจวิน กว่าข้าจะขับไล่คนของผู้อาวุโสเจียงออกไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าจึงรีบมาพบท่านทันที”
“ฝ่าบาท อาการของหวงกุ้ยจวินแย่มาก”
กู้ชูหน่วนมองไปที่ชุดผ้าฝ้ายหยาบบนร่างกายของนาง
นางไม่อยากเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่ในขณะเดียวกันนางไม่มีเวลาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงทำได้เพียงสวมเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เป็นประจำและเดินทางไปยังตำหนักอี้หยุน
เวลานั้นแววตาของจอมมารเต็มไปด้วยความเย็นชา
ลมปราณอันชั่วร้ายแผ่ซ่านไปรอบ ๆ อย่างต่อเนื่อง
ล้ม?
บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้นเลยงั้นหรือ?
นี่เป็นการเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากพี่หญิงหรือไม่?
“ม่อกุ้ยจวิน ต้องให้ข้าน้อยหาคนไปส่งท่านหรือไม่?” ฝูกวงกล่าวออกมาด้วยความหวังดี
“ข้าไม่มีข้าหรือไง? ถึงต้องให้เจ้าไปส่ง?”
“เช่นนั้นท่าน……”
“นานแค่ไหนกว่าพี่หญิงจะกลับมา? ข้า……ข้า……ข้ารอที่จะเสด็จออกเยี่ยมราษฎรกับนาง เที่ยวเล่นบนภูเขาและแม่น้ำ”
“น่า……น่าจะอีกไม่นาน”
“ข้าจะรอพี่หญิงอยู่ที่นี่ เจ้าไปบอกอี้หยุนเฟย หากเจ้าป่วยจริงก็ไม่เป็นไร แต่หากไม่……ฮึ……”
“ขอครับ”
ฝูกวงจากไปในชั่วพริบตา เขาไม่ต้องการอยู่กับจอมมารแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
เมื่อทุกคนจากไปแล้ว ในห้องตำราหลวงอันกว้างใหญ่จึงเหลือจอมมารไว้เพียงลำพัง
เขาลูบผมด้านหลังหูอย่างเกียจคร้าน
มองซ้าย มองขวา เฝ้ารออยู่เป็นเวลานี้ก็ไม่เห็นวี่แววว่ากู้ชูหน่วนจะกลับมา
เขารู้สึกโกรธอี้หยุนเฟยเป็นอย่างมาก ทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้น
นี่ก็ผ่านไปเกือบจะหนึ่งชั่วโมงแล้ว
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันผิดปกติ
หรือว่าอี้หยุนเฟยจะแสร้งทำเป็นป่วยและหลอกล่อให้พี่หญิงค้างอยู่ที่ตำหนักของเขา จากนั้นก็แอบปีนขึ้นไปบนเตียงของพี่หญิง
เมื่อคิดเช่นนี้ จอมมารก็เก็บความคิดของเขาและมุ่งหน้าไปยังตำหนักอี้หยุนด้วยความโกรธ
เขาเดินวนไปวนมา วนเวียนอยู่เช่นนั้นจนเกือบจะเวียนหัว แต่ก็หาตำหนักอี้หยุนไม่พบ
ในพระราชวังมีองครักษ์อยู่มากมาย
ตอนแรกเขาก็ไม่อยากถาม
เวลานี้อยากจะถามทางใครสักคน แต่กลับไม่เห็นเงาของใครเหลืออยู่เลย
“ได้ยินไหมว่าฝ่าบาทเสด็จไปหาหวงกุ้ยจวินอีกแล้ว ได้ข่าวมาว่าวังหลังมีคนอยู่มากมาย แต่ฝ่าบาทเสด็จไปหาหวงกุ้ยจวินเพียงผู้เดียว ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง”
“ไม่น่าจะใช่ นอกจากเวลาที่ฝ่าบาทอยู่ในราชสำนัก เวลาส่วนใหญ่ก็มักจะประทับอยู่ที่ตำหนักอี้หยุน แทบจะไม่เสด็จไปตำหนักเว่ยหยางเลยด้วยซ้ำ”
“ร่างกายของหวงกุ้ยจวินอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย บางทีฝ่าบาทอาจจะทรงเห็นใจ เมตตาและสงสาร จึงต้องไปดูแลหวงกุ้ยจวินอยู่บ่อยครั้ง”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ร่างกายของหวงกุ้ยจวินอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย เช่นนั้นต้าเฟิงโห้ว เสี่ยวเฟิงโห้ว ม่อกุ้ยจวิน พวกเขาเองก็บาดเจ็บสาหัสและหมดสติ เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ไปประทับอยู่ตำหนักของพวกเขาบ้าง”
“ข้ายังได้ยินมาอีกว่า ฝ่าบาทมีความคิดที่จะปลดตำแหน่งต้าเฟิงโห้วและเสี่ยวเฟิ่งโห้ว และแต่งตั้งหวงกุ้ยจวินขึ้นมาแทนที่”
“คงไม่ใช่ ต้าเฟิงโห้วเป็นถึงหัวหน้าเผ่าเพลิงฟ้า ได้ยินมาว่าเผ่าเพลิงฟ้านั้นแข็งแกร่งมาก ในเผ่ามียอดฝีมืออยู่มากมาย หลายประเทศไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปยุยงพวกเขา”
“จริงอยู่ว่ากองกำลังของต้าเฟิงโห้วนั้นแข็งแกร่ง แต่หวงกุ้ยจวินเองก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน หวงกุ้ยจวินเป็นถึงกษัตริย์ผู้สืบทอดของรัฐอี้แต่เพียงผู้เดียว เดิมทีเขามีสิทธิ์ที่จะมานั่งบนบัลลังก์มังกรแห่งจักรพรรดิอยู่แล้ว เพื่อฝ่าบาทของพวกเรา เขาไม่สามารถปล่อยตำแหน่งจักรพรรดิให้หลุดมือไปได้ และยังมอบอำนาจในการปกครองรัฐอี้ให้กับฝ่าบาทของพวกเรา ด้วยความทุ่มเทถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทจะไม่รักเขา เอ็นดูเขา และแต่งตั้งเขาเป็นเฟิงโห้วได้อย่างไร”
“ความแข็งแกร่งของต้าเฟิงโห้วนั้นไม่ธรรมดา ความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฟิงโห้วเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน แต่ความแข็งแกร่งของหวงกุ้ยจวินกลับอยู่เหนือกว่า หากเป็นเช่นนี้ ในวังหลังคงมีเพียงแค่ม่อกุ้ยจวินผู้เดียวเท่านั้นที่ไร้ซึ่งกำลัง ถึงว่าฝ่าบาทถึงได้ไปหาม่อกุ้ยจวินเพียงน้อยครั้ง”
จอมมารได้ยินเช่นนี้ก็โกรธขึ้นมาทันที
ใครบอกว่าเขาไร้ซึ่งพลังและความแข็งแกร่ง?
อย่างน้อยเขาก็เป็นหัวหน้าเผ่าปีศาจ ปีศาจทั่วทั้งใต้หล้าพร้อมรับฟังคำบัญชาจากเขา
เขาไม่ได้โอ้อวด แต่ทั้งดีและชั่ว มีฝ่ายไหนบ้างที่ไม่เกรงกลัวเขา
ต่อให้เป็นเยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋ก็ยังต้องชั่งน้ำหนักของตนเองเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขา
มันก็แค่รัฐอี้เล็ก ๆ กับชีวิตดวงน้อย ๆ ไม่ใช่หรือไง
ขอแค่พี่หญิงต้องการ เผ่าปีศาจและชีวิตของเขา นางต้องการเมื่อไหร่ก็เชิญมาเอาไปได้เลย
หลังจากนั้น……
พี่หญิงไม่ค่อยมาเยี่ยมเยียนเขา?
พวกเขาตาบอดหรืออย่างไร?
ความรู้สึกที่พี่หญิงมีต่อเขากว้างใหญ่ดั่งทะเล สัญญาว่าจะแต่งงานกับข้าหากเขาสามารถปลูกดอกพุดซ้อนขึ้นมาได้ ไม่ ให้ข้าแต่งงานด้วย เช่นนั้นนางจะไม่มาเยี่ยมเยียนข้าได้อย่างไร
“ที่จริง……ม่อกุ้ยจวินเองก็ดีไม่แพ้กัน แม้ว่ามีเรื่องพวกนี้เขาจะสู้ไม่ได้ แต่หน้าตาของเขางดงาม และเป็นที่พอพระทัยของฝ่าบาท ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้แต่งตั้งเขาเป็นหวงกุ้ยจวินก็ได้”
หนุ่มรับใช้คนหนึ่งที่หน้าตางดงามชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง บ่งบอกว่าสมองของจอมมารนั้นไม่ค่อยดี
จอมมารเล่นกับผมที่เรียบและดำราวกับหมึกของเขาอย่างเฉื่อยชา จ้องมองไปที่หนึ่งรับใช้พร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปาก
ถือว่าเจ้ายังพอมีตาอยู่บ้าง
ด้วยสายตาของคนทั่วทั้งใต้หล้า หากมองเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา คงไม่มีใครไม่รู้สึกแปลกใจ
แต่เขาคิดอะไรผิดไปอย่างหนึ่ง
พี่หญิงบอกว่าจะแต่งงานกับเขา แต่งงานอย่างเป็นทางการ พร้อมกับยกเสลี่ยงไปรับเขา
จอมมารสับสนกับความคิดของตนเอง
สุดท้ายจะแต่งงานกับเขาหรือให้เขาแต่งงานด้วยกันแน่?
ช่างมันเถอะ ไม่ว่าจะแบบไหนก็ความหมายเหมือนกัน
พวกเขาถูกกำหนดให้เป็นสามีภรรยากัน และพวกเขาเป็นคู่แท้
“อ่า สมองของม่อกุ้ยจวินไม่ค่อยดี สมองของเจ้าเองก็ไม่ค่อยดีไม่ใช่หรือไง? ทั้งหวังหลังมีใครไม่รู้บ้างว่าอี้หวงกุ้ยจวินเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด ขอแค่ปรนนิบัติหวงกุ้ยจวินให้ดี หลังจากนี้ชีวิตของพวกเราก็ไม่ลำบากอีกต่อไป”
“เจ้าไปปรนนิบัติม่อกุ้ยจวิน ม่อกุ้ยจวินมีอะไรดี? นอกจากหน้าตา เขายังมีอะไร? อำนาจทางทหารก็สู้อี้หวงกุ้ยจวินไม่ได้ สู้ต้าเฟิงโห้วไม่ได้ สู้ไม่ได้แม้กระทั่งเสี่ยวเฟิ่งโห้ว ในความคิดของข้า พวกเราควรปรนนิบัติรับใช้หวงกุ้ยจวินและต้าเฟิงโห้วและเสี่ยวเฟิงโห้วให้ดีที่สุด ส่วนม่อกุ้ยจวินนั้น ไม่จำเป็น”
“หากวันใดวันหนึ่งฝ่าบาทตัดหางของต้าเฟิงโห้ว เสี่ยวเฟิงโห้วและหวงกุ้ยจวินปล่อยวัด อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีเงินและอำนาจ สามารถยืนหยัดต่อไปได้ และชีวิตของพวกเราก็ไม่ต้องเผชิญกับอะไรที่ยากลำบาก”
“เวลานี้มีขันทีและผู้รับใช้คนไหนในพระราชวังบ้างที่ไม่ปีนป่ายขึ้นไปยังตำหนักอี้หยุนเพื่อหวังความสบายในอนาคต”
“อยากพบกับความสบายมากนักใช่ไหม เช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าได้สมปรารถนา”
รอยยิ้มของจอมมารดูแข็งขึ้น
ลมปราณแห่งความตายปกคลุมหนุ่มรับใช้ที่กำลังพูดคุยกันอย่างกะทันหัน
พวกหนุ่มรับใช้รู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาว
“แปลก เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้รู้สึกหนาวขึ้นมา และ……และก็ลมปราณที่แปลกประหลาดและอันตรายพวกนี้ ข้า……จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกกลัว”
“ข้าเองก็เช่นกัน ลมพัดผิดปกติ หรือว่ามีอะไรกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่?”
จอมมารค่อย ๆ เดินออกมา มุมปากของเขาเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มอันแสนชั่วร้าย
หนุ่มรับใช้ทั้งสองตกใจจนคุกเข่าลงไปบนพื้น
“ข้า…..ข้าน้อยขอคารวะม่อกุ้ยจวิน ขอม่อกุ้ยจวินอายุยืนนาน พันปี พัน พันปี”
“เมื่อครู่พวกเจ้าพูดถึงข้าไว้อย่างไร?”
“อ่า……ข้าน้อยพูดอะไรอย่างนั้นหรือ? ข้าน้อย……ข้าน้อยไม่ได้พูดอะไรเลย ม่อกุ้ยจวินได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย ข้าน้อยจะไม่ทำอีกแล้ว ขอร้องม่อกุ้ยจวิน ได้โปรดยกโทษให้พวกข้าด้วย”
“พวกเจ้ามันน่ารำคาญเกินไป”
จอมมารดีดนิ้วออกมาหนึ่งครั้ง
นอกจากคนที่พูดแทนเขาเมื่อครู่ เขาตั้งใจที่จะระเบิดร่างของทุกคนให้กลายเป็นละอองเลือด
แต่หนุ่มรับใช้เหล่านั้นกลับไร้ซึ่งร่องรอยบาดแผล พวกเขาเพียงแค่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างสั่นเทา
แม้ว่าแววตาจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ได้มีความเคารพอยู่เลยแม้แต่น้อย
เขาลองดีดนิ้วอีกครึ่งหลัง แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงออกมาเป็นเหมือนเดิม
จอมมารเข้าใจในทันใด “อ่า……ดูเหมือนว่าข้าจะสูญเสียวรยุทธ์ไปแล้ว”
เหล่าหนุ่มรับใช้มองหน้ากัน
ไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร
“ไสหัวไป หากข้าได้ยินพวกเจ้าพูดถึงข้าเช่นนี้อีกครั้ง ข้าจะระเบิดหัวของพวกเจ้าให้เป็นจุณ”
“ขอ ขอ ขอครับ……”
“เดี๋ยวก่อน เจ้ากลับมา”
หนุ่มรับใช้คนหนึ่งหันกลับมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ม่อ……ม่อกุ้ยจวิน……”
หรือว่าเป็นเพราะเมื่อสักครู่เขาบอกว่าสมองของม่อกุ้ยจวินไม่ค่อยดี เวลานี้ม่อกุ้ยจวินจึงต้องการคิดบัญชีกับเขา?
“เจ้าชื่ออะไร?”
“กราบทูลม่อกุ้ยจวิน ข้าน้อยมีชื่อว่าชวนชวน”
“ชวนชวน? ชื่อนี้ของเจ้าช่างหยาบคายเหลือเกิน ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าใหม่ ชื่อว่า ฮวาฮวา เป็นอย่างไร?”