กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1104 ใครเป็นคนขโมยแผ่นอักษรสีเหลือง
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1104 ใครเป็นคนขโมยแผ่นอักษรสีเหลือง
กู้ชูหน่วนและฝูกวงเองก็ลุกขึ้นยืน สีหน้าของพวกเขาไม่ค่อยสู้ดีนัก
ฝูกวงก้าวออกมาด้านหน้าด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม จับคอเสื้อของชายผู้นั้นแล้วกล่าวว่า “รีบบอกมาเร็ว ใครเป็นคนแย่งชิงแผ่นอักษรสีเหลืองไป?”
“ไม่……ไม่รู้ ข้า……ข้าเองก็ผ่านจะผ่านแท่นนักรบผู้โดดเดี่ยวมา เห็นเผ่าเพลิงฟ้ากำลังต่อสู้อยู่กับกองทัพอี้ แต่ก็แอบได้ยินพวกเขาพูดคุยกันว่าแผ่นอักษรสีเหลืองถูกขโมยไปแล้ว กองทัพอี้โทษว่าเผ่าเพลิงฟ้าเล่นตุกติก เผ่าเพลิงฟ้ากล่าวหาว่ากองทัพอี้ร่วมมือกับคนภายนอก ดังนั้น……ดังนั้นการต่อสู้ของพวกเขาจึงดุเดือดขึ้น”
“ด้วยเหตุนี้เพียงอย่างเดียว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ใช่การปลุกปั่นเพื่อแย่งชิงแผ่นอักษรสีเหลือง จากนั้นโยนความผิดให้กับอีกฝ่าย”
“เรื่องนี้……ข้าเป็นเพียงสามัญชนทั่วไปคนหนึ่ง ข้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้”
กู้ชูหน่วน “ปล่อยเขา”
“ขอรับ”
“พี่ชาย ผู้บาดเจ็บล้มตายในสนามรบตรงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“น่าสลดใจ พื้นดินสั่นสะเทือน กองกำลังนับหมื่นนายของทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน”
“ฝูกวง ไปกันเถิด”
กู้ชูหน่วนพยักหน้า จากนั้นก็เดินออกไป ควบม้าไปด้านหน้า ฝูกวงขี่ม้าตามนางไปด้านหลัง
“ลั่วอิ่ง”
“นายท่าน”
“นำตราคำสั่งของข้าออกมา ระดมกองทัพ หยุดการต่อสู้ระหว่างกองทัพอี้และเผ่าเพลิงฟ้า หากพวกเขาไม่ยอมถอย บอกพวกเขาว่าทั้งหมดเป็นความปรารถนาของข้า ข้าจะขับไล่นายท่านของพวกเขาให้ไปอยู่ในตำหนักเย็น และไม่ปล่อยออกมาจนชั่วชีวิต หากพวกเขาคิดจะเป็นศัตรูกับรัฐปิง เช่นนั้นก็ลองดู”
“ขอรับ”
ด้วยเงาวูบวาบ ลั่วอิ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ฝูกวงกล่าวออกมาว่า “นายท่าน ท่านกำลังไปผิดทาง แท่นนักรบผู้โดดเดี่ยวน่าจะอยู่ทางด้านโน้น”
“ไม่ได้ไปแท่นนักรบผู้โดดเดี่ยว ข้าจะไปทางทิศใต้”
“นายท่าน พวกเราไม่ได้ตามหาแผ่นอักษรสีเหลืองอยู่งั้นหรือ?”
“ทางใต้ของแท่นนักรบผู้โดดเดี่ยวมีหน้าผา กองทัพอี้อยู่ทางทิศตะวันตก ทิศเหนือเป็นเผ่าเพลิงฟ้า มีเพียงทางตะวันออกเท่านั้น มีผู้คนมากมายกำลังซุ่มโจมตีทางทิศตะวันออก รวมถึงคนของเยี่ยจิ่งหาน หากไปทางทิศตะวันออก มันก็ยากเหมือนกับปีนขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นไปไม่ได้ว่าผู้ที่ขโมยแผ่นอักษรสีเหลืองจะเข้าไปในดินแดนของพวกเขา”
“แต่หน้าผานั้นสูงถึงหลายร้อยจั้ง ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีวรยุทธ์สูงส่งเพียงใดก็ไม่อาจลงมาได้อย่างปลอดภัย”
“อ่า……นี่แหละคือความฉลาดของหัวขโมยผู้นี้”
ระหว่างที่พูดคุยกัน ทั้งสองคนไม่รู้ว่าพวกเขาอ่านภูเขามาอีกลูกแล้ว และสุดท้ายก็มาถึงด้านล่างของหน้าผาโดยไม่รู้ตัว
มองไปด้านบน หน้าผาสูงเฉียดฟ้า ไม่รู้ว่าความสูงของมันนั้นสิ้นสุดตรงไหนกันแน่
ด้านล่างของหน้าผาเต็มไปด้วยโขดหิน
บางครั้งมองเห็นโครงกระดูกบางส่วน ซึ่งสันนิษฐานว่าพวกมันทั้งหมดตกลงมาจากด้านบนและเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจ
พวกเขามองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบเบาะแสแต่อย่างใด
ฝูกวงส่ายหน้า “นายท่าน หากหาไม่พบจำเป็นต้องขยายอาณาเขตการค้นหาหรือไม่?”
หากอาณาเขตนั้นกว้างเกินไป เกรงว่าคงต้องใช้กำลังทหาร
หากเป็นเช่นนั้น กองทัพอี้และเผ่าเพลิงฟ้าก็จะรับรู้ถึงการมาถึงของพวกเขาไม่ใช่หรือ?
“ใครบอกว่าหาไม่พบ ตรงโน้น นั่นไม่ใช่หรือไง”
สายตาของฝูกวงมองไปตามสายตาของกู้ชูหน่วน แต่กลับพบว่าสิ่งที่1กำลังจับจ้องอยู่เป็นกองซากศพที่เสียชีวิตมาแล้วหลายปี
ซากศพ……
มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?
คนที่ขโมยแผ่นอักษรสีเหลืองไป คงจะไม่ใช่กองซากศพเหล่านั้น?
ไม่ใช่ ที่แห่งนี้ไม่มีสัตว์ร้ายหรืออย่างไร ผ่านมานานขนาดนี้ เหตุใดศพเหล่านั้นถึงยังกองอยู่ที่นี่ และยังกองอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ
กู้ชูหน่วนกล่าวออกมา “แม้ว่าศพจะถูกวางไว้ตามธรรมชาติ แต่พวกมันก็เพิ่งจะถูกย้ายมาที่นี่ได้ไม่นาน หากศพเหล่านั้นอยู่ที่นี่มาเป็นระยะเวลานาน อย่างน้อยกระดูกของพวกมันก็ต้องฝังลึกเข้าไปในดินถึงจะถูก”
“นายท่าน ศพพวกนั้นไม่ได้จมลงสู่พื้นดิน และดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของการเคลื่อนย้ายเหลืออยู่”
“มันก็ถูกแล้ว ซากศพเหล่านี้เพิ่งจะถูกเคลื่อนย้ายมา”
“ข้าน้อยไม่เข้าใจ แล้วมันเกี่ยวกับศพพวกนี้อย่างไร?”
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกงั้นหรือ? โจรขโมยแผ่นอักษรสีเหลืองต้องการให้พวกเราเข้าใจว่าพวกเขาตกลงมาจากหน้าผา และตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
ฝูกวงเข้าใจขึ้นมาทันที “นี่เรียกว่าแผนร้ายถูกเปิดโปง”
“ช่างมีความคิดที่กว้างไกลยิ่งนัก”
ด้านล่างของหน้าผาแทบจะไม่มีรอยเท้าอยู่เลย หากพวกเขาไม่ละเอียด เกรงว่าพวกเขาก็คงหาร่องรอยเหล่านี้ไปพบ
ใบหน้าของฝูกวงเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด “นายท่าน วรยุทธ์ของโจรขโมยแผ่นอักษรสีเหลืองคนไม่ด้อยไปกว่าลั่วอิ่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหวินเส่าอี๋จะหนีออกมาจากพระราชวัง และมาถึงชานฉุ่ยแห่งนี้ก่อนพวกเรา”
เขามีวรยุทธ์สูงส่ง แต่เมื่อเทียบกับลั่วอิ่งแล้วยังห่างชั้นกันอีกไกล
ทั่วทั้งใต้หล้าผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนี้คงมีแค่จอมมาร เยี่ยจิ่งหาน และเหวินเส่าอี๋
แต่วรยุทธ์ของจอมมารนั้นถูกทำลาย ไม่มีทางเป็นเขาอย่างแน่นอน
เยี่ยจิ่งหานเองก็ยังคงหมดสติ ไม่มีทางเป็นเขาเช่นกัน
เมื่อลองคิดไปคิดมา ความเป็นไปได้ก็มีเพียงเหวินเส่าอี๋ผู้เดียวเท่านั้น
กู้ชูหน่วนส่ายหน้า “แม้ว่ารอยเท้าจะตื้นมาก แต่ก็สามารถมองเห็นขนาดของรอยเท้าได้ เท้าของเสี่ยวหูเตี๋ยไม่ได้ใหญ่ถึงเพียงนี้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ไม่น่าว่าอาจจะยังมีผู้ที่มีวรยุทธ์สูงกว่าพวกเขาอยู่ก็เป็นได้”
“นอกจากนี้ หากเผ่าเพลิงฟ้าได้มันไป เผ่าเพลิงฟ้าก็ไม่มีทางโกรธและเปิดศึกกับกองทัพอี้รุนแรงถึงเพียงนี้”
“ฝูกวง เจ้าลบรอยเท้าให้เกลี้ยง อย่าทิ้งร่องรอยเด็ดขาด”
“ขอรับ”
ทั้งสองคนตามรอยเท้าไปทางทิศใต้เป็นเวลาสองวันสองคืน แต่ก็ไม่พบร่องรอยที่แน่ชัด และยังพาตัวเองเข้ามาในป่าเขาอันลึกลับ
มีหมู่บ้านมากมายบนภูเขาและป่าไม้ที่ลึกลับพวกนี้ ไม่รู้ว่าพวกเขามาอาศัยอยู่ที่นี่เพื่อต้องการตัดขาดจากโลกภายนอกหรือหลีกเลี่ยงสงครามกันแน่
หมู่บ้านมีสภาพไม่ดีนัก มีคนมากมายป่วยและติดเชื้อ
นางกระวนกระวายที่จะติดตามที่อยู่ของแผ่นอักษรสีเหลือง ตอนแรกคิดว่าจะพากำลังเข้าไปค้นหาด้านในก่อน จากนั้นค่อยส่งคนพวกนี้ไปรักษา
แต่โรคระบาดร้ายแรง หากปล่อยเช่นนี้ต่อไป นางเกรงว่าอาจจะมีคนต้องตายไปมากกว่านี้ นางจึงทำได้เพียงอยู่ที่นี่และรักษาพวกเขาด้วยตนเอง
เท่านั้นยังไม่พอ นางยังมอบอาการ เงิน และเครื่องนุ่งห่มในวงแหวนอวกาศให้พวกเขาด้วย
ในตอนที่กำลังจะจากไป ผู้ใหญ่บ้านก็รีบตามออกมา
“แม่นาง เวลานี้ฟ้ามืดลงแล้ว หากท่านไม่รังเกียจ คืนนี้ค้างอยู่ที่บ้านของข้าเถิด รอฟ้าสว่าง ข้าจะให้คนในหมู่บ้านพาท่านออกไปจากภูเขาลูกนี้”
“นายท่าน ท่านไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปจะส่งผลเสียกับร่างกายของท่าน พวกเราพักผ่อนที่นี่สักคืนแล้วค่อยออกเดินทางเถิด”
ตอนแรกกู้ชูหน่วนคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นใบหน้าอันอ่อนล้าและเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยของฝูกวง รอยคล้ำใต้ตาของนางถูกปกคลุมด้วยดวงตาแดงก่ำ และในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว
“ตกลง เช่นนั้นคืนนี้พักที่นี่ ขอรบกวนท่านผู้ใหญ่บ้านด้วย”
“ท่านพูดอะไรออกมา ท่านมาที่หมู่บ้านป้านชานของพวกเรา รักษาคนในหมู่บ้าน มอบอาหารและเงินทองให้แก่พวกเรา พวกเรารู้สึกขอบพระคุณเป็นอย่างมาก หากไม่มีท่าน ไม่รู้ว่าคนในหมู่บ้านของพวกเราต้องเจ็บป่วยและหิวตายไปอีกมากเพียงใด”
“แม้แต่……แม้แต่ภรรยาของข้า ท่านเองก็เป็นคนดึงนางขึ้นมาปากประตูนรก ท่านคือเทวดาผู้มาโปรดหมู่บ้านของพวกเรา”
ผู้ใหญ่บ้านกำลังจะคุกเข่าลง และกู้ชูหน่วนก็ก้าวเข้าไปพยุงเขาไว้
“ท่านผู้ใหญ่บ้าน ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย ท่านทำเช่นนี้ก็มีแต่ทำให้ข้าอายุสั้นลงไปเท่านั้น”
“แม่นาง บ้านหลังนี้ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ ภรรยาของข้าได้ทำความสะอาดไว้ให้ท่านแล้ว หากท่านต้องการสิ่งใดเพิ่ม ข้าจะนำมาให้”
กู้ชูหน่วนกวาดสายตามองไปทั่วห้อง
แม้ที่นี่จะดูโทรมไปเล็กน้อย แต่ก็สะอาดมากและมีทุกอย่างที่ควรจะมีอยู่
นางยิ้มออกมา “เท่านี้ก็ดีมากแล้ว ขอบคุณท่านผู้ใหญ่บ้านมาก”
“จะเกรงใจเพื่อเหตุใด พวกท่านนั่งลงก่อน ข้าจะไปทำอาหารมาให้ อาหารอาจจะไม่สวยหรู พวกท่านได้โปรดอย่างรังเกียจ”
ผู้ใหญ่บ้านยิ้มและเดินจากไป
คิ้วแห่งความโศกเศร้าของกู้ชูหน่วนยังไม่จางหายไป
นางเดินมาข้างหน้าต่าง มองไปยังแสงจันทร์ยามค่ำคืนที่สว่างไสว หัวใจของนางเคร่งขรึมขึ้นทุกวินาที
นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าอี้หยุนเฟยจะเป็นอย่างไรบ้าง
ร่างกายของเขายังทนได้หรือไม่
ในขณะที่นางกำลังจะปิดหน้าต่าง นางก็เห็นยันต์แผ่นหนึ่งที่แขวนอยู่ข้างหน้าต่าง
ยันต์แผ่นนี้มีสีขาว
บูม……
จิตใจของนางสั่นสะเทือน ทุกอย่างหยุดชะงัก
นางนำอักษรรูนจำนวนมากออกมาไว้บนฝ่ามือ
ยันต์แผ่นนี้มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม มีสีขาวทั้งแผ่น มีอักษรรูนสีแดงเขียนอยู่ตรงกลาง และนางก็ไม่เข้าใจความหมายของอักษรรูนเหล่านั้น
แต่ยันต์แผ่นนี้ช่างคุ้นตาเสียจริง