กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1120 ชิงยันต์
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1120 ชิงยันต์
ในเวลานี้หัวใจของเขาว่างเปล่า
เขาคิดว่าการสังหารเซี่ยวอวี่เซวียนและกู้ชูหน่วนจะทำให้เขามีความสุข
แต่เหตุใดเขาถึงรู้สึกทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้
แค่หายใจก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด
ไม่รู้ว่าระหว่างทางที่ผ่านมา เขาล้มลุกคลุกคลานไปกี่ครั้ง
ไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องเสียน้ำตาไปมากแค่ไหน
แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ มีเพียงภาพความทรงจำในช่วงเวลาที่เขาอยู่กับกู้ชูหน่วนในอดีตเท่านั้นที่ท่วมท้นเข้ามาในความคิดของเขา
ยิ่งอยากลืมมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งฝังลึกมากเท่านั้น
อีกด้านหนึ่ง อี้หยุนเฟยจ้องมองแผ่นอักษรสีเหลืองในมือของเขา หลับตาลงอย่างสิ้นหวัง
ผู้อาวุโสอวี๋เต้นไม่เป็นจังหวะ “นายท่านน้อย ท่านคงไม่ได้คิดที่จะมอบแผ่นอักษรสีเหลืองให้พวกเขาใช่หรือไม่ หากไม่มีแผ่นอักษรสีเหลือง ท่านอาจจะต้องตาย”
“ไม่มีนาง ข้าก็ไม่ต่างอะไรจากตายทั้งเป็น
ท่านปู่อาวุโส ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงข้า ชีวิตของข้าหยุนเฟย เกรงว่าคงไม่อาจตอบแทนพวกท่านได้”
อี้หยุนเฟยมองไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความอาลัยอาวรณ์
พวกเขารู้จักกันได้เพียงไม่นาน แต่เขา……เขารักนางสุดหัวใจ
แม้แต่……
แม้แต่ข้างกายของนางมีผู้ชายรายล้อมมากมายถึงเพียงนี้ เขาก็ยังเต็มใจที่จะเป็นหนังในวังหลังของนาง
อี้หยุนเฟยเดินเข้าไปหาเยี่ยจิ่งหานทีละก้าวพร้อมกับส่งแผ่นอักษรสีเหลืองในมือของเขาให้กับเยี่ยจิ่งหาน
“นายท่านน้อย ได้โปรดไตร่ตรองให้ดี หากท่านเป็นอะไรไป เช่นนั้นรัฐอี้จะต้องล่มสลาย”
“คุณชายเยี่ย เจ้าสามารถรักษานางได้หรือไม่?”
เยี่ยจิ่งหานพยักหน้า “ได้ เพียงแต่……”
หากอาหน่วนรู้ว่าเขาใช้แผ่นอักษรสีเหลืองในมือของเซี่ยวอวี่เซวียนเพื่อช่วยชีวิตนาง เกรงว่าชีวิตนี้นางคงไม่มีวันให้อภัยเขาเป็นอันขาด
อี้หยุนเฟยยิ้มอย่างอ้างว้าง
“เจ้าวางใจ พวกเจ้าไม่ได้เป็นคนแย่งแผ่นอักษรสีเหลืองมาจากข้า ข้าเป็นคนเต็มใจที่จะมอบมันให้กับพวกเจ้าเพื่อช่วยชีวิตนาง”
หัวใจของพวกผู้อาวุโสอวี๋เกือบจะแหลกสลาย
“ฝ่าบาททรงมอบแผ่นอักษรสีเหลืองให้กับนายท่านน้อยแล้ว นายท่านน้อยไร้ซึ่งประสบการณ์ พวกข้าไม่อาจปล่อยให้เขาทำตัดสินใจอย่างเลอะเลือน คุณชายเยี่ย โปรดคืนแผ่นอักษรสีเหลืองมาให้พวกเรา ไม่เช่นนั้นอย่าข้าว่าข้าไม่เตือน”
จอมมารกวาดสายตาไปยังพวกของเยี่ยจิ่งหาน ไม่อยากเก็บเศษเสี้ยวของวิญญาณที่เหลืออยู่ของกู้ชูหน่วน เขย่งปลายเท้า จากนั้นก็ไล่ตามเหวินเส่าอี๋ไป
เขาเพียงทิ้งไว้หนึ่งประโยคว่า “ที่นี่ยกให้เป็นหน้าที่ของเจ้า ข้าจะไปนำดวงวิญญาณอีกห้าดวงที่เหลือกลับคืนมา”
คำพูดของเขามีความหมายชัดเจน
เขาต้องการชุบชีวิตกู้ชูหน่วนกลับคืนมา
แต่ประโยคสุดท้ายที่กู้ชูหน่วนทิ้งไว้ หากใครกล้าแย่งแผ่นอักษรสีเหลืองมาจากอี้หยุนเฟย ต่อให้นางกลายเป็นวิญญาณ นางก็ไม่มีวันปล่อยพวกเขาไป
เขาไม่อยากผิดใจกับกู้ชูหน่วน แต่เขาก็อยากได้แผ่นอักษรสีเหลืองในมือของอี้หยุนเฟย ดังนั้นจึงปล่อยให้เยี่ยจิ่งหานเป็นคนจัดการ
ตนเองเพียงแค่ไปนำดวงวิญญาณอีกห้าดวงที่เหลือกลับคืนมาก็พอ
ชิงเฟิงกล่าวออกมาด้วยความโกรธ “นายท่าน จอมมารหน้าไม่อาย ให้ข้าไล่ตามเขาไปหรือไม่ ให้เขากลับมาจัดการกับความวุ่นวายที่นี่ ส่วนพวกเราก็ไปนำดวงวิญญาณอีกห้าดวงที่เหลือกลับคืนมา”
“ไม่จำเป็น ใครอยู่ก็เหมือนกัน”
เยี่ยจิ่งหานกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “แผ่นอักษรสีเหลืองมีดวงวิญญาณเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เจ้าเองก็รู้ หากต้องการให้นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง จำเป็นต้องใช้ดวงวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งในร่างกายของเจ้าด้วย แต่หากนำดวงวิญญาณนั้นออกมา เจ้า……เจ้าก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
ผู้อาวุโสอวี๋กล่าวออกมาด้วยความโกรธ “เยี่ยจิ่งหาน เจ้าจะทำเกินไปแล้ว หากพวกเรายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเจ้าต้องการดวงวิญญาณของนายท่านน้อย เจ้าก็ต้องข้ามศพของพวกข้าไปก่อน”
ชิงเฟิงกัดฟันและมองไปยังพวกของผู้อาวุโสอวี๋
“ดวงวิญญาณบนร่างกายของเขาเดิมทีก็เป็นของพระชายาแห่งตระกูลของข้า เวลานี้พวกข้าก็แค่ต้องการมันกลับคืนมา แต่พวกเจ้ากลับคิดว่ามันเป็นของพวกเจ้าไปแล้ว”
เจี้ยงเสวี่ยพยักหน้าเห็นด้วย “หากไม่ใช่เพราะดวงวิญญาณของพระชายายังอยู่ในร่างของเขา เกรงว่าเขาคงตายไปตั้งนานแล้ว ที่เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานถึงเพียงนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะพระชายาของพวกข้าทั้งนั้น”
เพียงคำพูดไม่กี่คำ ทั้งสองฝ่ายก็ต้องการเผชิญหน้ากันอย่างเต็มกำลัง
อี้หยุนเฟยกล่าวออกมาว่า “ไม่จำเป็นต้องสู้กัน ท่านปู่อวี๋ ที่จริงไม่ว่าจะมีแผ่นอักษรสีเหลืองอยู่หรือไม่ ข้าก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว”
“นายท่านน้อย ท่านพูดอะไรออกมา? หรือว่าท่าน……” สีหน้าของผู้อาวุโสอวี๋เปลี่ยนไป ร่างกายของเขาโซเซ เขาไม่อยากจะเชื่อและก็ไม่กล้าเชื่อ
“นางได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ก็ไม่อาจรักษานางได้อย่างสมบูรณ์ จึงทำได้เพียง……ทำได้เพียงปกป้องชีวิตของนางด้วยชีวิตของข้าเท่านั้น”
“ดังนั้น……ดังนั้นดวงวิญญาณครึ่งหนึ่งที่อยู่บนร่างกายของข้ามันได้ถูกส่งออกไปอยู่บนร่างกายของนางตั้งแต่แรกแล้ว และ……และก็ไม่มีวันคืนกลับมา ข้ามีชีวิตอยู่ได้มากที่สุดก็อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น”
ฝูกวงกล่าวออกมาด้วยความตกใจ “ดังนั้น หลังจากที่นายท่านฟื้นขึ้นมา ที่นางมักจะกระอักเลือด อ่อนแรงอยู่บ่อย ๆ ทั้งหมดเป็นเพราะการตอบโต้จากครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณงั้นหรือ?”
อี้หยุนเฟยกล่าวออกมา “ใช่ ข้ากระอักเลือก นางเองก็กระอักเลือด ข้าอ่อนแรง นางเองก็อ่อนแรง แต่หลังจากที่ข้าตายไปแล้ว นางจะกลับมามีชีวิตเหมือนเดิมได้ มันไม่ได้มีผลกระทบต่อนางมากถึงเพียงนั้น”
พวกของผู้อาวุโสอวี๋โกรธมาก เขาไม่รู้ว่าจะใช้อะไรมาเปรียบเปรยอี้หยุนเฟยดี เขาทำได้เพียงพูดออกมาด้วยความโกรธว่า “นายท่านน้อย ท่านช่างเลอะเลือนยิ่งนัก ท่านรู้หรือไม่ว่า เมื่อท่านมอบครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณในร่างกายของท่านให้นางไปแล้ว ท่านก็จะหมดคุณสมบัติที่จะมีชีวิตอยู่”
“ข้ารู้ แต่ข้าก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกตั้งหลายวันเพราะการร่วมมือกันของเหล่าผู้อาวุโสไม่ใช่หรือ”
“นายท่านน้อย ท่านทำเช่นนี้แล้วพวกข้าจะมีหน้าไปพบกับจักรพรรดิและจักรพรรดินี้องค์ก่อนได้อย่างไร”
“ขอแค่น้องหญิงมีชีวิตอยู่ต่อ ขอแค่นางยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างก็คุ้มค่า”
บนอากาศ จุดแสงที่มองไม่เห็นเลือนรางปลิดปลิวอยู่ท่ามกลางสายลม
ภาพเงาของกู้ชูหน่วนปรากฏอยู่ในแสงอันเลือนรางเหล่านั้น
ดวงวิญญาณของกู้ชูหน่วนจางหายไป เหลือเพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณเท่านั้น
และเศษเสี้ยวของวิญญาณพวกนั้น ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันอย่างชัดเจน
หัวใจของนางลุกเป็นไฟ
สาเหตุที่นางไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เพราะหากนางกลับมามีชีวิตอีกครั้งก็จำเป็นต้องสังเวยชีวิตของอี้หยุนเฟย ดังนั้นนางจึงปฏิเสธ
แต่ตอนนี้……
ครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณที่อยู่ในร่างกายเขา มันมาอยู่ในร่างกายของนางแล้ว
เมื่อดวงวิญญาณเข้าไปในร่างและออกมา มันจะไม่สามารถกลับเข้าไปได้อีก หรือว่าเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้?
เหตุใดถึงได้โง่เขลาเช่นนี้
นางเป็นหนี้ท่านพี่เฉินเฟยมากเกินไป มากเกินไป……
หากอี้หยุนเฟยนางยังไม่สามารถปกป้องไว้ได้ เช่นนั้นนางจะตอบแทนให้ท่านพี่เฉินเฟยอย่างไร
กู้ชูหน่วนตะโกนอย่างสิ้นหวัง พยายามหยุดทุกอย่าง แต่กลับไม่มีใครได้ยินเสียงของนาง
จุดแสงถูกดูดด้วยแรงดูดและสติของนางเองก็หายไปอย่างสมบูรณ์
เต็มไปด้วยความสับสน เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
กู้ชูหน่วนรู้สึกเหมือนว่าตนเองถูกโยนลงไปในเครื่องซักผ้าและถูกปั่นอย่างต่อเนื่อง
และเมื่อนางเริ่มรู้สึกดีขึ้น เสียงอันแผ่วเบาก็ดังขึ้นข้างหูของนาง
“ดวงวิญญาณทั้งเจ็ดหลอมรวมกันแล้ว แต่……ร่างกายของอาหน่วนยังคงร่องลอยอยู่ดินแดนเยี่ยอวี่ ไม่สามารถเปิดห้วงอากาศออกมาได้ ดวงวิญญาณสามารถเก็บไว้ได้นานที่สุดแค่เพียงเจ็ดวัน หากภายในเจ็ดวันนี้ไม่สามารถตามหาร่างกายของนางพบ ดวงวิญญาณก็จะหายไปในห้วงอากาศ และร่างของอาหน่วนในดินแดนเยี่ยอวี่ก็จะหายไปอีกครั้ง เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”
“ขวานผานกู่อยู่ในมือของพวกเราแล้ว ข้าจะไปทำลายห้วงอากาศ ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะไม่สามารถช่วยพี่หญิงของข้ากลับมาได้”
“ทำลายห้วงอากาศ จำเป็นต้องใช้กระจกหงส์ ขวานผานกู่ แผ่นอักษรสีเหลือง รวมถึงความสำคัญของเผ่าเพลิงฟ้า เครื่องมือสองล้อ กระจกหงส์ ถูกทำลาย ส่วนแผ่นอักษรสีเหลือง เพื่อช่วยอาหน่วน มันกลายเป็นขี้เถ้าไปหมดแล้ว แม้ว่าจะได้เครื่องมือสองล้อจากเผ่าเพลิงฟ้ามาแล้ว แต่มันก็ยังไร้ประโยชน์”
“เช่นนั้นก็ตามหาศพ ในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งอันยิ่งใหญ่ หรือว่าจะไม่มีร่างที่สามารถเก็บวิญญาณของพี่หญิงได้?”
ความเงียบเข้ามาปกคลุมในห้องทันที เงียบจนน่ากลัว
กู้ชูหน่วนปวดหัวอย่างรุนแรงจนเกินจะรับได้
มันเป็นภาพหลอนอย่างนั้นหรือ?
หรือว่า……จะเป็นความจริง
หลอมรวมดวงวิญญาณทั้งเจ็ดเข้าด้วยกัน เช่นนั้นอี้หยุนเฟย?
ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?