กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 1123 ฆ่ารอบด้าน
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1123 ฆ่ารอบด้าน
ไม่รู้ว่าผ่านไปแค่ไหน ร่างกายของกู้ชูหน่วนถูกทำให้สั่นสะท้าน พร้อมกับค่อย ๆ ฟื้นคืนสติกลับมา
เวลานี้นางเป็นแค่เพียงดวงวิญญาณ ไม่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน บางครั้งเหม่อลอย ตนเองหลับใหลไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด และก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
กาขังวิญญาณเต็มไปด้วยความมืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น
รู้สึกได้เพียงลาง ๆ ว่ามีการต่อสู้อันดุเดือดเกิดขึ้นด้านนอก พร้อมกับเสียงกรีดร้องอันแผ่วเบา
“เยี่ยจิ่งหาน เจ้าบ้าไปแล้วงั้นหรือ ก่อนหน้านี้ก็คุยกันแล้วไม่ใช่หรือไง ใช้เลือดและเนื้อของข้าแทนแผ่นอักษรสีเหลือง ฉีกขาดรอยแยกแห่งห้วงอากาศ ต่อให้เจ้าเข้ามาใจกลางของค่ายกลแล้วมันยังไง พี่หญิงฟื้นขึ้นมา ข้าควรอธิบายให้นางฟังอย่างไร”
“ทุกครั้งที่นางตกอยู่ในอันตราย ข้าไม่เคยอยู่ข้างกายของนางเลยสักครั้ง และไม่เคยทำอะไรให้นาง รวมถึงตอนที่นางกลืนกินเลือดและเนื้อของตนเอง เจ้าก็เป็นคนพลิกชะตาสวรรค์ ใช้วิชาคืนชีพบุปผาผลิบานเพื่อช่วยชีวิตนาง ครั้งนี้ได้โปรดให้ข้าทำอะไรเพื่อนางบ้างเถิด”
ทันใดนั้น กู้ชูหน่วนก็ได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาต้องการฉีกขาดรอยแยกแห่งห้วงอากาศ?
ค่ายกลหลอมรวมเลือดเนื้อสามารถใช้แทนแผ่นอักษรสีเหลืองได้?
เช่นนั้นกระจกหงส์เล่า? กระจกหงส์ถูกทำลายไปแล้วไม่ใช่หรือ?
ไม่มีกระจกหงส์ เช่นนั้นจะเปิดรอยแยกแห่งห้วงอากาศได้อย่างไร?
กู้ชูหน่วนพยายามอย่างสุดกำลัง คิดจะปืนขึ้นไปด้านบนของกาขังวิญญาณเพื่อหยุดการกระทำของเยี่ยจิ่งหานไว้
แต่ด้านในของกาขังวิญญาณนั้นว่างเปล่า นางไม่มีโอกาสที่จะปีนป่ายขึ้นไป
ต่อให้ปีนขึ้นไปได้ ฝาของกาขังวิญญาณก็เปิดไม่ออกอยู่ดี
บ้าที่สุด
กาขังวิญญาณถูกนางทำลายจนสิ้นซาก แต่เยี่ยจิ่งหานและซือม่อเฟย พวกเขาไปหากาขังวิญญาณใบนี้มาจากที่ไหน
“หากต้องการฉีกรอยแยกแห่งห้วงอากาศ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน”
มีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
การเคลื่อนไหวของกู้ชูหน่วนหยุดชะงัก
มันคือเสียงของเหวินเส่าอี๋
เขาเองก็มางั้นหรือ
นางเสียชีวิตลงต่อหน้าของเหวินเส่าอี๋ และนางก็ยังนำดวงวิญญาณทั้งหมดของนางมอบให้กับเขา เขายังไม่หายโกรธอีกงั้นหรือ?
เหวินเส่าอี๋เกลียดนางมากจริง ๆ
จอมมารพูดว่า “เหวินเส่าอี๋ เจ้าอยากฉีกรอยแยกแห่งห้วงมิติมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ การที่พวกข้าทำเช่นนี้ มันไม่เท่ากับว่าเป็นการช่วยเหลือเจ้างั้นหรือ?”
“จริงอยู่ว่าต้องการฉีกรอยแยกแห่งห้วงมิติ แต่ไม่ใช่เวลานี้ และ……ไม่ใช่หลังจากนี้”
“ดังนั้นที่เจ้าพวกลูกน้องมาเยอะขนาดนี้ เจ้าคิดจะมาหยุดพวกข้างั้นหรือ?”
“แล้วเจ้าคิดว่ายังไง? เข้ามา ทำลายค่ายกล อย่าปล่อยให้เยี่ยจิ่งหานทำสำเร็จเป็นอันขาด”
“บูม บูม บูม……”
เสียงการต่อสู้ดังขึ้นมา
กาขังวิญญาณสั่นสะเทือนอีกครั้ง
ร่างกายของกู้ชูหน่วนเองก็สั่นไหวจนอยากจะอาเจียนออกมา
นางพยายามทรงตัวให้มั่นคงพร้อมกับตั้งใจฟังว่าคนที่อยู่ด้านนอกกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่
ได้ยินเสียงของจอมมารพูดว่า “เยี่ยจิ่งหาน เจ้ารีบออกมาเร็วเข้า พวกเรามาสลับกัน”
เยี่ยจิ่งหาน “ไม่ทันแล้ว เจ้ารีบขวางพวกเขาไว้ ไม่อย่างนั้นค่ายกลจะต้องถูกทำลายเป็นแน่ หากวันนี้ไม่สามารถกลับไปตามหาร่างของนางที่ดินแดนเยี่ยอวี่ได้ จิตวิญญาณของอาหน่วนก็จะดับสลาย”
เหวินเส่าอี๋ “มีข้าอยู่ที่นี่ ไม่มีใครสามารถช่วยนางได้ทั้งนั้น”
จอมมาร “บัดซบ วันนี้หากใครกล้าก้าวออกมาด้านหน้าแม้เพียงก้าวเดียว ข้าจะสังหารมันให้สิ้น”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเสียงเหล่านั้นล้วนเป็นเสียงที่กู้ชูหน่วนไม่ค่อยคุ้นเคย
แม้ว่าจะถูกขังอยู่ด้านในกาขังวิญญาณ แต่กู้ชูหน่วนก็สัมผัสได้ถึงแผ่นดินที่สั่นไหว การถล่มของภูเขาว่านี่คือการต่อสู้อันดุเดือด
“เลิกต่อสู้กันได้แล้ว ข้าก็ตายไปแล้ว เหตุใดพวกเจ้ายังต้องการสู้กันเพราะข้าอีกด้วย”
“เยี่ยจิ่งหาน เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ หากเจ้าตายไป ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปตลอดกาล”
“อาม่อ รีบเปิดกาขังวิญญาณ รีบเปิดกาขังวิญญาณ”
ไม่ว่ากู้ชูหน่วนจะตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดและดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมานเพียงใด
แน่นอนว่าคนที่อยู่ด้านนอกล้วนไม่ได้ยินเสียงของนาง และสัมผัสถึงนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
และเวลานั้น นางก็ได้ยินเสียงของเหล่าผู้อาวุโสที่มีหน้าที่ปกป้องอี้หยุนเฟยตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
“เหวินเส่าอี๋ เจ้าสังหารนายท่านของพวกข้า กองทัพอี้ของข้าจะต่อสู้จนตัวตายกับพวกเจ้า สังหารพวกมัน ทำลายเผ่าเพลิงฟ้าที่น่ารังเกียจพวกนี้ให้สิ้นซาก และแก้แค้นให้กับนายท่านน้อยของพวกเรา”
“ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า……”
หัวใจของกู้ชูหน่วนรู้สึกเจ็บปวดอย่างกะทันหัน
นายท่านน้อยของพวกเขา?
นั่นไม่ใช่อี้หยุนเฟยงั้นหรือ?
เสี่ยวหยุนเฟยตายแล้ว?
เพราะเหตุใด……เพราะเหตุใดสิ่งต่าง ๆ จึงดำเนินมาถึงจุดเลวร้ายที่สุดเช่นนี้
เพราะเหตุใดการที่นางยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องคนอื่น แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถปกป้องใครไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว
เช่นนั้นนางจะชดใช้ให้กับเฉินเฟยได้อย่างไร
เสียงของกองทัพที่บุกเข้ามา กู้ชูหน่วนฟังออกมาว่านั่นเป็นเสียงของหยางโม่
“เหวินเส่าอี๋ เจ้ามีสถานะเป็นต้าเฟิงโห้วแห่งรัฐปิง แต่เจ้ากลับเป็นผู้นำในการก่อกบฏ วางแผนและลงมือทำร้ายฝ่าบาทยังไม่พอ เวลานี้เจ้ายังคิดที่จะขัดขวางการชุบชีวิตของนาง เหล่าทหารกองแห่งรัฐปิง ฟังคำสั่งของข้า กำจัดเฟิงโห้ว ปกป้องฝ่าบาท ปกป้องให้ฝ่าบาทกลับมามีชีวิตที่แข็งแกร่งให้จงได้”
รองหัวหน้าเผ่าเพลิงฟ้ากล่าวออกมา “หยางโม่ กู้ชูหน่วนส่งต่อตำแหน่งจักรพรรดิแห่งรัฐปิงให้แก่เจ้า เจ้าไม่ยินดีที่จะรับตำแหน่งจักรพรรดิจากนางก็ไม่เป็นไร แต่เจ้ากลับพากองทัพของรัฐปิงมาเป็นศัตรูกับเผ่าเพลิงฟ้าของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ตามมาจะเป็นเช่นไร”
“ฮึ ฝ่าบาทยังทรงมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครสามารถแตะต้องราชบัลลังก์ของรัฐปิงได้ทั้งนั้น ต้องขอบคุณความไว้วางใจของฝ่าบาท ที่ส่งมอบรัฐปิงให้ข้าและเสวี่ยชินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราว ข้าจึงจำเป็นต้องปกป้องรัฐปิงของฝ่าบาทเป็นธรรมดา ปกป้องฝ่าบาท เจ้ามีใจกบฏอย่างเปิดเผย ต้องการทำลายราชวงศ์อย่างตั้งใจ วันนี้ข้าจะเป็นผู้ทำลายคนชั่วช้าอย่างพวกเจ้าแทนฝ่าบาทเอง”
“งั้นหรือ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากเจ้าพากองทัพของเจ้ากลับไป ไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องที่เกิดขึ้น ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
“รองหัวหน้าเผ่า สายตาของเจ้ามีปัญหาหรืออย่างไร ไม่เห็นหรือไงว่าเวลานี้พวกเจ้าถูกทหารของรัฐปิงล้อมไว้หมดแล้ว?”
“งั้นหรือ?”
“เป็นไป…..เป็นไปได้อย่างไร……”
หัวใจของกู้ชูหน่วนสั่นสะท้าน
จู่ ๆ ลางสังหรณ์ก็ปรากฏขึ้นในหัวใจ
เป็นอย่างที่คิด การสนทนาด้านนอกนั้นได้พิสูจน์การคาดเดาของนางแล้ว
นางได้ยินเสียงของหยางโม่พูดออกมาด้วยความโกรธ “เสด็จน้อง เจ้าเป็นคนขโมยยันต์เสือไปเองงั้นหรือ ขโมยไปเพื่อช่วยเผ่าเพลิงฟ้าก่อการกบฏ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
หยางมั่นพูดออกมา “เสด็จพี่ ท่านยังไม่เข้าใจอีกอย่างนั้นหรือ นางไม่ใช่ฝ่าบาทตัวจริง นางชื่อว่ากู้ชูหน่วน เป็นผู้หญิงที่มาจากดินแดนเยี่ยอวี่ เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของนางนั้นไม่ใช่เลือดในราชวงศ์ของพวกเรา”
“เหลวไหล นางคือฝ่าบาทของพวกเรา เป็นคนในราชวงศ์ของรัฐปิง เจ้ารีบกลับมาอยู่ฝั่งข้าเดียวนี้ มาร่วมสู้เพื่อกำจัดกบฏและปกป้องฝ่าบาทไปพร้อมกับข้า”
“ราชวงศ์แห่งรัฐปิงที่ผ่านมาในอดีต ทหารทุกคนล้วนฟังคำสั่งของผู้ถือครองยันต์เสือ เวลานี้ยันต์เสืออยู่ในมือของข้า ทหารทุกคนของกองทัพแห่งรัฐปิงล้วนต้องฟังคำสั่งจากข้า และข้า……ข้าต้องการกำจัดผู้หญิงบ้าที่แสร้งทำว่าตนเองเป็นฝ่าบาทผู้นั้น จักรพรรดินีแห่งรัฐปิง จะต้องเป็นผู้ที่มาจากสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางไม่ใช่สายเลือดที่บริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิผู้ล่วงลับไปแล้ว”
“แน่นอนว่านางไม่ใช่ หากนางใช่ เหตุใดนางจึงต้องการฉีกรอยแยกแห่งห้วงมิติ กลับไปยังดินแดนเยี่ยอวี่เพื่อตามหาศพในการฟื้นคืนชีพ คนพวกนี้ล้วนต้องการครอบครองบัลลังก์แห่งรัฐปิงของพวกเรา ทุกอย่างที่ผ่านมา ทั้งหมดก็เป็นแค่การแสดงของพวกเขาเท่านั้น”
“หยางมั่น ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ ปกติเจ้าจะสร้างความวุ่นวายอย่างไรข้าไม่สนใจ แต่เวลานี้หากรัฐปิงของพวกเราไม่ลงมือ ชีวิตของพวกเขาทุกคนอาจจะต้องดับสิ้นไปด้วยเนื้อมือของเผ่าเพลิงฟ้า แม้แต่เสด็จอาเสวี่ยเองก็ไม่เว้น……เจ้า……เจ้าทำอะไรลงไป?”
หยางโม่ระเบิดความโกรธออกมาทันใด นางกล่าวออกมาอย่างไม่เชื่อ “เสด็จอาเสวี่ยอยู่ที่ไหน เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้เหตุใดเขาจึงไม่ปรากฏตัวออกมา เจ้าทำอะไรกับเสด็จอาเสวี่ย?”
“เสวี่ยชินอ๋องเลอะเลือน ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เขารู้สึกผิดอย่างแท้จริง ขอตายจากไปด้วยตัวเอง มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
“หยางมั่น เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง เขาเป็นถึงอาแท้ ๆ ของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงต้องฆ่าเขา? ทั้งหมดก็เพื่อเหวินเส่าอี๋อย่างนั้นหรือ? เจ้าได้สติเสียทีเถิด เหวินเส่าอี๋ไม่มีวันชอบเจ้าอย่างแน่นอน”
“เขาจะชอบข้าหรือไม่มันก็เป็นเรื่องของเขา ข้าแค่อยากช่วยเขาเท่านั้น หยางโม่ เห็นแก่ที่พวกเราโตมาด้วยกัน หากเจ้าถอยออกไปตอนนี้ บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาหาว่าข้าไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง”
“ฮึ……ข้าแค่ข้าหยางโม่ยังมีลมหายใจ ข้าขอสาบานว่าจะปกป้องฝ่าบาทด้วยชีวิต เจ้าคิดจะทำสิ่งได้ เจ้าก็แสดงมันออกมาได้เลย”