กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 152
นานมากแล้วที่ไม่รู้ว่าใครตะโกนว่าเป็นฉินที่ไพเราะ และดึงดูดความสนใจของทุกคนกลับคืนมา
ทุกคนต่างมองไปที่เยี่ยเฟิงด้วยความประหลาดใจ
ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม และดีดฉินได้ไพเราะเช่นนี้
ผู้คนในสำนักศึกษาต่างกระซิบกระซาบ
“เมื่อเปรียบเทียบการดีดฉินของเยี่ยเฟิงกับท่านอาารย์ซั่งกวน พูดได้ว่ากินกันไม่ลง”
“ไม่จริง ข้าไม่เคยได้ยินใครดีดฉินได้กินใจผู้คนมากขนาดนี้มาก่อน เมื่อได้ยินก็ทำให้ข้าใจสลาย ทำไมเสียงฉินของเขาถึงได้เศร้าเช่นนี้”
“ข้าคิดว่าคุณหนูรองตระกูลกู้ดีดฉินได้ไพเราะมาก แต่มื่อเทียบกับเยี่ยเฟิงแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับเหว น่าเสียดายที่ในการชุมนุมแข่งขันวิชาการไม่มีการแข่งขันดีดฉิน ไม่เช่นนั้นเยี่ยเฟิงจะต้องชนะอย่างแน่นอน”
สีหน้าของกู้ชูหน่วนหม่นหมอง
นางถูกตัดสิทธิ์จากการชุมนุมแข่งขันวิชาการ เดิมทีนางต้องการสร้างชื่อเสียงในเมืองหลวงให้ตัวเอง ไม่คิดเลยว่าจะถูกเยี่ยเฟิงบดขยี้
เขาเป็นแค่ปัญญาชนที่ยากจน ทำไมถึงดีดฉินได้ไพเราะเช่นนั้น?
แต่ก่อนไม่ว่านางจะยืนอยู่ที่ใด นางก็จะเจิดจรัสที่สุด แต่ตอนนี้นางถูกเปรียบเทียบครั้งแล้วครั้งเล่า
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าการมีอยู่ของนางจะหายไป
อาจารย์หรงมองไปที่เยี่ยเฟิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เล่นหมากรุก ประดิษฐ์ตัวอักษร หรือวาดภาพ เขาก็เป็นเลิศในทุกด้าน และเมื่อเทียบกับอาจารย์แล้ว เขาเก่งกว่ามาก เกรงว่าในสำนักศึกษาจะมีเพียงอาจารย์ซั่งกวนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะสอนเขา ส่วนคนอื่น
อาจารย์ซั่งกวนก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นมีรอยยิ้มจาง ๆ และมองไปที่เยี่ยเฟิง อย่างพินิจพิจารณา
เยี่ยเฟิงกลับมานั่งที่เดิม กู้ชูหน่วนยกนิ้วให้และชมว่า “ดีดฉินได้ไพเราะยิ่งนัก”
เยี่ยเฟิงยกเปลือกตาขึ้นและไม่ได้ตอบกลับ
อาจารย์ซั่งกวนยิ้มและกล่าวว่า “เยี่ยเฟิงดีดฉินได้ดียิ่งนัก ท่วงทำนองงดงาม ซาบซึ้งกินใจ ความโศกเศร้าในชีวิต การหมดหนทาง ความอ้างว้าง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความหวัง จนสามารถดีดฉินได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เลวเลย”
“คนต่อไป กู้ชูหน่วน” อาจารย์ซั่งกวนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเหลือบไปมองกู้ชูหน่วน
กู้ชูหน่วนยกมือขึ้น “ท่านอาจารย์ ได้เวลาเลิกเรียนแล้ว แม้ว่าท่านจะเป็นอาจารย์ผู้สูงส่ง แต่ก็ไม่สามารถใช้เวลาเรียนโดยไม่มีเหตุผลได้ และนักเรียนก็ปฏิเสธที่จะดีดฉินอย่างหนักแน่น”
อาจารย์ซั่งกวนและคนอื่น ๆ เหลือบมองขึ้นไปบนฟ้า และพบว่าพระอาทิตย์ตกดินค่อย ๆ ลับขอบฟ้าไปแล้ว
เมื่อครู่ถูกพระพันปีและเทพแห่งสงครามทำให้เสียเวลา และถูกเสียงฉินของเยี่ยเฟิงดึงดูดความสนใจ และแม้แต่เวลาเลิกเรียนก็ไม่ได้สนใจ
หลี่หยางที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะ “คุณหนูสามตระกูลกู้ คงไม่ใช่เพราะเจ้าดีดฉินไม่เป็นใช่หรือไม่ ถึงได้โวยวายให้เลิกเรียน”
“ทำไม เจ้าสงสัยพี่ใหญ่ของพวกเรางั้นหรือ?” หลิ่วเยว์กล่าวอย่างโกรธเคือง
“เช่นนั้นก็ให้นางดีดสิ”
กู้ชูหน่วนยิ้มและกล่าวว่า “ได้สิ เมื่อครู่เทพแห่งสงครามบอกว่าห้ามกลับจวนมืดค่ำ และข้ายังต้องวิ่งรอบสำนักศึกษาอีกสี่สิบรอบ หากชักช้าต่อไป ข้าคงจะกลับไปไม่ทันก่อนมืด หรือไม่เช่นนั้นขาทั้งสองข้างของเจ้าก็ต้องถูกกระทืบแล้วส่งไปให้เทพแห่งสงคราม และข้าจะดีดฉินให้เจ้าฟัง”
ใบหน้าของหลี่หยางถอดสี
ในตอนนี้คำพูดของเทพแห่งสงครามยังคงดังก้องอยู่ในหูของนาง
เขาเชื่อว่าหากกู้ชูหน่วนกลับไปไม่ทัน เทพแห่งสงครามจะต้องกระทืบขาของเขาอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องพูดแล้ว?เช่นนั้นก็ไม่มีใครคัดค้าน?ท่านอาจารย์ เลิกเรียนได้แล้วหรือไม่?”
“เลิกเรียน วันพรุ่งนี้เมื่อเข้าเรียน คุณหนูสามตระกูลกู้มาดีดฉินต่อ วันนี้สี่สิบรอบ ข้าจะควบคุมด้วยตนเอง”
กู้ชูหน่วนเดินเซ
นางแทบอยากจะด่าทอบรรพบุรุษทั้งสิบแปดชั่วโคตรของซั่งกวนฉู่
หลังจากวิ่งรอบสำนักศึกษาครบสี่สิบรอบแล้ว กู้ชูหน่วนก็เหงื่อท่วมตัว และเหนื่อยมากจนหายใจหอบ
ในเตากลั่นยาอายุวัฒนะของสำนักศึกษา ก่อนหน้านี้กู้ชูหน่วนเคยรวบรวมสมุนไพรมากกว่าสามสิบตัว เพื่อนำมาทำเป็นเม็ดยา