กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 209
เจ้า……พวกเจ้ากล้า……..”เจียงซวี่ค่อนข้างไม่มั่นใจ
กู้ชูหน่วนหัวเราะคิกคักตอบขึ้นว่า“เจ้าลองดูสิว่าข้ากล้าหรือไม่ ด้านนอกคล้ายดั่งว่ามีคนเข้ามา ท่านพี่เฉินเฟย ในเมื่อเขาอยากเป็นคนคอยปรนนิบัติขนาดนั้น พวกเรามาทำให้เขาพอใจเติมเต็มให้ก่อนดีกว่า”
“ตึกๆๆ…”
เสียงฝีเท้าที่อยู่ไกลๆดังใกล้เข้ามา เจียงซวี่รู้ว่าคนเหล่านั้นมาหามเยี่ยเฟิง
เดิมมีความกระวนกระวายใจอยู่แล้ว พอมีเสียงฝีเท้าดังมา เจียงซวี่ยิ่งเป็นหนักขึ้น
เขากล่าวอย่างร้อนรนว่า“ถ้าต้องการออกจากเผ่าปีศาจอย่างรวดเร็ว สามารถทำได้เพียงใช้กระเช้าลอยไหลในกรงเลื่อนเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวิธีที่รวดเร็วแล้ว แต่ป้อมปราการจะเปลี่ยนกะเวรยามทุก ๆ สี่ชั่วยาม และหลังจากครึ่งชั่วยามมันเป็นเวลาเปลี่ยนกะ ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจลองถือโอกาสตอนที่พวกเขาเปลี่ยนกะเวรยามกันหลบหนีออกไปดูก็ได้”
“ป้อมปราการมีผู้มีฝีมือสูงกี่คนกัน?”
“หอปราการแต่ละแห่งมีผู้มีฝีมือสูงระดับสองหนึ่งคน มีบางส่วนมีผู้มีฝีมือสูงระดับสาม และผู้มีฝีมือสูงระดับแรกอย่างน้อยสามคน นอกจากนี้ ยังมีผู้มีฝีมือสูงที่ไม่มีใครเทียบได้ซึ่งมีศิลปะการต่อสู้ระดับสูงด้วย เช่นเดียวกับนักธนู”เจียงซวี่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
สุดยอดของศิลปะการต่อสู้คือผู้มีฝีมืออันดับหนึ่ง และจากลำดับที่หนึ่งมีลำดับที่หกขึ้น รวมเป็นเจ็ดลำดับ
สามารถเป็นลำดับที่หนึ่งได้ แน่นอนว่าจะต้องเก่งมาก
และยิ่งไปกว่านั้น มีผู้มีฝีมือสูงอันดับสองและอันดับสามมากมาย แม้พวกเขาจะมีปีกก็ยากที่จะโบยบิน
“ยังมีอีก”
“ยังมีอะไร?”
“ตัวอย่างเช่น สัญญาณคำสั่งลับหรืออะไรทำนองนั้น”
“สัญญาณคำสั่งลับเปลี่ยนทุกชั่วยาม ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสัญญาณคำสั่งลับคืออะไร”
“เจ้าคือปรมาจารย์ แม้ว่าเจ้าจะไม่รู้ทั้งหมด ก็น่าจะรู้อยู่ไม่น้อยไหม”
“ข้าไม่รู้”
“ไอ๋หยา….เดิมทีอยากจะปล่อยเจ้า ทำไมเจ้าไม่ให้ความร่วมมือล่ะ ดูเหมือนข้าทำได้เพียงให้พวกเขาพาตัวเจ้าไป รอดู อีกไม่นานพวกเขาก็มาถึงแล้ว”
เจียงซวี่โมโหอย่างมาก
“ข้ารู้สัญญาณคำสั่งลับอยู่บ้าง หากข้าบอกแก่พวกเจ้า ผู้นำกองธงต้องรู้อย่างแน่นอนว่าข้าเปิดเผย พอถึงเวลานั้นเขาไม่ปล่อยข้าแบบนี้อย่างแน่นอน”
“หากเจ้าไม่พูดตอนนี้ ข้าก็ไร้หนทางที่จะปล่อยเจ้า เพราะฉะนั้น ยังมีเวลาสองวินาทีให้คิด หลังจากสองนาทีแล้ว ต่อให้เจ้าเปลี่ยนใจ ก็ไม่มีโอกาส”
เมื่อเทียบกับความกดดันของเจียงซวี่แล้ว กู้ชูหน่วนกับอี้เฉินเฟยนิ่งเฉยอย่างมาก พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าภัยพิบัติใกล้เข้ามาเลย พวกเขามองเจียงซวี่อย่างเหนื่อยล้า ราวกับว่ากำลังรอให้เขาตัดสินใจขั้นสุดท้ายอยู่
จิตใจของเจียงซวี่รู้สึกสิ้นหวังแล้ว
ไม่รู้จริงๆว่าทั้งสองคนนี้มีความมั่นใจมากจากที่แห่งใดกัน คิดไม่ถึงว่าจะด้านชาเช่นนี้
พวกเขาสามารถเล่นได้อย่างสบายอารมณ์ แต่ทว่าเขากลับทำไม่ได้ กล่าวอย่างร้อนใจว่า
“เหล้าองุ่นชั้นดีในจอกราตรีสุกสกาว ดวงจันทร์ส่องสว่างไสวในราชวงศ์ฮั่นและฉินเป็นสงครามที่ไม่ได้หยุดลง”
“โดดเดี่ยวอ้างว้าง ดั่งดวงเดือนมีแสงมากมีแสงหม่น”
กู้ชูหน่วนชะงักวันครู่หนึ่ง
นี่ไม่ใช่กลอนที่นางท่องตอนที่แข่งขันการชุมนุมวิชาการหรือ?
คิดไม่ถึงว่าจะถูกนำมาทำเป็นสัญญาณคำสั่งลับ อีกทั้งเป็นเรื่องราวที่ไม่สอดคล้องกันเช่นนี้ด้วย
“แล้วมีอีกไหม”
“ข้ารู้เพียงสองอันนี้ คาดว่าปรมาจารย์ทุกคนจะรู้มากสุดเพียงแค่สองอันนะ”
“เข้าออกหอคอย มีสัญญาณลับอันใดหรือไม่?”
“ไม่มี ดูคน”
“ดูคน?เช่นนั้นจัดการได้ง่าย ท่านพี่เฉินเฟยรบกวนท่านช่วยข้าปลอมตัวเป็นเขาด้วยเถิด”กู้ชูหน่วนชี้ไปทางเจียงซวี่
เจียงซวี่กล่าวด้วยความโมโหว่า“เจ้าทำเช่นนี้จะทำให้ข้าต้องมีภัย”
“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า”
“กู้ชูหน่วน เจ้าอย่าทำเกินไป”
แกร็ก
เสียงแกร็กดังขึ้น กู้ชูหน่วนก้มหน้าลง และจับที่คางเขาไว้ หยิบขวดเหล้าขึ้นกรอกลงไปในปากของเขา
สีหน้านางเปลี่ยนไวยิ่งกว่าพลิกตำราเสียอีก บนใบหน้าไร้ซึ่งความอ่อนโยนและความไร้เดียงสา มีเพียงแค่ความหนาวเหน็บเข้ากระดูก
ความหนาวเหน็บราวกับผีร้ายที่คลานออกมาจากขุมนรก ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านด้วยความกลัวได้
“ชีวิตของเยี่ยเฟิงถูกเจ้าทำลายแล้ว ข้าทำเรื่องอย่างนี้กับเจ้า ถือว่าได้รับสิ่งใด ความเจ็บปวดที่เจ้าทำกับเยี่ยเฟิง ควรตระหนักว่าเจ้านั้นจะถูกลงโทษกรรมตามสนองด้วย”
เจียงซวี่หดรูม่านตาลง อยากจะพูดแต่ทว่าถูกเหล้าอุดตันที่คอ เลยทำได้เพียงกลืนลงไป
ไม่ง่ายที่จะดื่มลงหมด เจียงซวี่กล่าวว่า“เจ้าเคยกล่าวไว้ว่าจะปล่อยข้า”
“ข้าบอกจะพิจารณา ตอนนี้ข้าคิดดีแล้ว ข้าไม่อยากปล่อยเจ้า”