กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 229
“ที่นี่มีคนของเผ่าปีศาจไม่น้อย ไม่ใช่เรื่องของเราอย่าเข้าไปข้องเกี่ยวจะดีกว่า” เยี่ยเฟิงกล่าว “ท่านว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าหญ้านรกจะอยู่ในตัวของพวกเขา? หรือว่าพวกเขารู้ร่องรอยของหญ้านรกหรือเปล่า?”
จู่ๆมือของกู้ชูหน่วนที่เท้าคางอยู่ก็วางลงอย่างกะทันหันและผิวปากทีหนึ่ง “ไป พวกเราไปกินให้อิ่มท้องกันเถอะ”
“นายท่าน มีเงินเพียงสิบห้าอีแปะเกรงว่าจะไม่เพียงพอที่จะเติมท้องให้อิ่ม”
กู้ชูหน่วนหลับตาลงจากนั้นคลำหาตรงกลางของแหวนอยู่ครู่หนึ่งก็พบเศษเงินที่เล็กที่สุดจำนวนหนึ่งจากด้านในทว่าก็มีถึงสิบตำลึงถ้วน
นางโยนไปให้ฝูกวงเลยโดยตรง “หาร้านแล้วแลกเงินสิบตำลึงเป็นเศษเงินเล็ก”
ฝูกวงอ้าปากกว้างอย่างประหลาดใจ
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้านายมีแหวนที่ตรงกลางนั้นกลวง นางเก็บสะสมเงินไว้ในนั้นไม่น้อย
ก้มหน้าลงมองดูเหรียญทองแดงสิบห้าเหรียญอันน้อยนิดน่าสงสารในมือ เขาพบว่าตนเองหลงกลเจ้านายเสียแล้ว
ด้วยสมบัติของนายท่านพวกเขาไม่จำเป็นต้องขอทานกินเลยและไม่จำเป็นต้องหาเงินเลี้ยงชีพ
ฝูกวงมองไปยังกู้ชูหน่วนด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรมและเบะปาก “นายท่าน ท่านก็ช่างไร้ความปรานียิ่งนักแม้แต่ข้าก็หลอกลวงด้วย”
“เงินสิบห้าอีแปะก็เป็นเงินเช่นเดียวกัน หาเงินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นการยากที่คนจะให้รางวัลกับพวกเราแล้วเหตุใดเราจะต้องปฏิเสธด้วย เจ้าเด็กคนนี้ช่างไม่รู้จักวิธีจัดการเงินเลย”
“……”
นางมอบเงินหลายแสนตำลึงให้คนอื่นไปอย่างง่ายดาย อยู่ในหอไร้กังวลควักทีหนึ่งก็เป็นเงินจำนวนมากมายนัก
ตอนนั้นเหตุใดถึงไม่เห็นนางรู้สึกปวดใจ?
แม้ว่าจะรู้สึกประท้วงแต่ฝูกวงก็ยังแลกเงินสิบตำลึงเป็นเศษเงิน จากนั้นจึงได้ตามกู้ชูหน่วนเข้าไปในโรงเตี๊ยมผิงอัน
ด้านนอกโรงเตี๊ยมเด็กยกอาหารขวางพวกเขาเอาไว้แล้วมองดูพวกเขาอย่างดูแคลนโดยที่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“ขอทานน้อยที่มาจากที่ใดกันรู้หรือไม่ว่าที่นี่เป็นที่ใด? เห็นป้ายร้าน……หรือไม่? โรงเตี๊ยมผิงอันที่นี่นั้นไม่ได้เป็นแค่โรงเตี๊ยแต่เป็นหอสุราด้วย เพียงแค่พวกเจ้าทั้งสามจะมีเงินพอให้กินให้พักได้หรือ?”
กู้ชูหน่วนกวาดตาไปทางโรงเตี๊ยมโดยไร้ร่องรอย
ช่วงเวลานี้ไม่ใช่เวลาทานอาหาร ผู้คนในโรงเตี๊ยมนั้นไม่มาก มีแขกเพียงแค่ไม่กี่โต๊ะซึ่งนับจำนวนได้
เป็นไปตามที่นางคาดไว้ ยอดฝีมือลึกลับที่เพิ่งเข้าไปเหล่านั้นแต่ละคนไม่ได้ทานอาหารในห้องโถงแล้วก็ไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ที่มุมคับแคบใดเพื่อหารือเรื่องเป็นทางการ
เงินหนึ่งตำลึงในมือฝูกวงโผล่ออกมาให้เห็น
สีหน้าของเงินหนึ่งตำลึงในมือในร้านก็ยังคงดูถูกเหยียดหยามอยู่
“เงินแค่หนึ่งตำลึงพวกเจ้าทั้งสามคนก็อยากจะมากินข้าว? อาหารที่นี่ของเราแพงนะ กับข้าวธรรมดาๆอย่างหนึ่งก็เป็นเงินหนึ่งตำลึงแล้ว”
“บะหมี่เนื้อหยางชุนสามชาม” กู้ชูหน่วนพูดจาเรียบง่ายชัดเจน
“ไปไปไป อย่าได้มาวุ่นวายต่อการรับรองแขกที่มีเกียรติของข้า”
มุมปากของกู้ชูหน่วนยกขึ้นด้วยรอยยิ้มอันเย้ยหยัน
“โรงเตี๊ยมผิงอันที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหงที่แท้เป็นโรงเตี๊ยมที่ต้อนรับแต่คนร่ำรวย”
“ผู้ใดต้อนรับแต่คนร่ำรวยกัน? พวกเจ้ามีเงินแค่หนึ่งตำลึงจะพอกินบะหมี่เนื้อหยางชุนได้หรือ? รีบไปให้พ้น”
“อ้อ ที่นั่นไม่ได้เขียนไว้ว่าบะหมี่เนื้อหยางชุนสามชามเป็นเงินหนึ่งตำลึงหรือ?”
เด็กยกอาหารในร้านหันหน้าและสำลักครู่หนึ่ง
ในร้านมีบะหมี่หยางชุนสามชามราคาหนึ่งตำลึงจริง แต่ว่าสามารถมากินข้าวที่นี่ได้ใครจะสั่งเพียงแค่บะหมี่หยางชุนเพียงอย่างเดียว?
“หากว่าวันนี้เจ้าไม่ให้พวกเราเข้าไป พวกเราสามคนจะกระจายไปทั่วว่าโรงเตี๊ยมผิงอันของพวกเจ้าต้อนรับแต่คนร่ำรวยและดูถูกขอทานอย่างพวกเรา”
กู้ชูหน่วนหาเรื่องนั่งอยู่ตรงหน้าประตูพอดีและรั้งแขกทุกคนที่ต้องการเข้าไปในโรงเตี๊ยมราวกับเป็นหญิงปากร้ายผู้หนึ่ง
“ลุกขึ้น เจ้าลุกขึ้นมานะ จะหาเรื่องวุ่นวายก็ไปที่อื่น”
“โรงเตี๊ยมผิงอันอันใหญ่โตรังแกนายซะแล้ว โรงเตี๊ยมผิงอันดูถูกดูแคลนผู้คนและดูถูกขอทาน”
เสียงนางช่างดังนัก เมื่อตะโกนเช่นนี้ผู้คนจำนวนมากได้ถูกดึงดูดมาโดยที่แต่ละคนต่างวิจารณ์กันทั่ว