กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 254
มือของเยี่ยเฟิงสั่นสะท้าน “อาหารที่ข้าทำดูไม่น่ารับประทานหรือ?”
“แน่นอนน่ะสิ ฮูหยินของข้าไม่ชอบรสชาติเช่นนี้เป็นที่สุด เจ้ารีบนำอาหารของเจ้ากลับไปเสียเถอะ” ซิ่งเอ๋อร์รีบพูดออกมา
“ซิ่งเอ๋อร์”
อัครมเหสีฉู่ตำหนินางอีกครั้งและเสียงก็ดุกว่าเมื่อสักครู่มาก ซิ่งเอ๋อร์ตกใจจนแทบจะคุกเข่าลง
นางยกแขนเสื้อขึ้นเบา ๆ เช็ดน้ำตาที่หางตาเล็กน้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายไม่ต้องไปฟังที่นางพูดหรอก อาหารสามอย่างนี้ล้วนเป็นของที่ข้าชอบทั้งสิ้น”
พระองค์หยิบตะเกียบขึ้นมาและคีบรากบัวขึ้นมารับประทาน รากบัวทั้งนุ่มและอร่อย มีรสชาติกลมกล่อมเมื่อเข้าปาก เป็นรสชาติที่อยู่ในความทรงจำของพระองค์เลย
“อร่อยมาก ข้าไม่ได้ทานอาหารที่อร่อยเช่นนี้มานานมากแล้ว”
“หากฮูหยินชอบ เช่นนั้นก็รับประทานเยอะๆ เลย ท่างวางใจได้ อาหารเหล่านี้นั้นล้วนเป็นอาหารมังสวิรัติ ไม่มีเนื้อเจือปนเลย”
“คุณชายก็ไม่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์หรือ?”
“ใช่” หนึ่งคือ เขาทนดูไม่ได้ที่เห็นสัตว์เหล่านั้นต้องถูกฆ่าตายอย่างทารุณและอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ เขาทำเพื่อเป็นการสั่งสมบุญให้กับพ่อแม่ของเขา ฉะนั้นเขาไม่กินเนื้อสัตว์เลยตั้งแต่เล็กจนโต นอกจาก…..
นอกเสียจากว่าผู้นำกองธงกล้วยไม้จะบังคับให้เขากิน
อาหารเหล่านี้ถูกปากของอัครมเหสีฉู่อย่างมาก พระองค์รับประทานไปเป็นจำนวนมาก
เยี่ยเฟิงยิ้มและกล่าวว่า “ข้ายังต้มข้าวต้มมาอีกหนึ่งถ้วย ฮูหยินลองทานดูสิ ช่วยให้อุ่นท้องได้”
“จริงหรือ”
อัครมเหสีฉู่ยกช้อนขึ้นมาและค่อยๆ ตักเข้าปาก ข้าวต้มนี้ทำมาจากข้าวฟ่าง ลูกเดือยและถั่วแดง ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำออกมาได้ช่างอร่อยถูกปากเช่นนี้ ไม่หวานและไม่เอียน และให้ความรู้สึกละลายในปาก ช่างอร่อยมากเสียเหลือเกิน
“คุณชายอายุยังน้อยเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าฝีมือการทำอาหารจะดีเลิศเพียงนี้ อนาคตหากใครได้แต่งงานกับเจ้าไปแล้ว ต้องมีความสุขและโชคดีมากอย่างแน่นอน”
รอยยิ้มของเยี่ยเฟิงก็จางหายไป
เขาดูสกปรกโสมมเช่นนั้น เขาจะคาดหวังว่าจะได้แต่งงานมีลูกได้เช่นไร
เดิมทีเขาเรียนการทำอาหารก็เพียงเพื่อสามารถทำอาหารง่ายๆ เพื่อเลี้ยงดูตัวเองก็เท่านั้น
เยี่ยเฟิงคีบเต้าหู้ขึ้นมาชิ้นหนึ่งและต้องการจะวางเข้าไปในถ้วยของพระองค์ แต่กลับไม่กล้าที่จะวางลงไป สุดท้ายจึงวางเข้าไปในถ้วยของตัวเอง
สามารถได้ร่วมรับประทานอาหารกับแม่แท้ๆ ของเขานั้น นับว่าเป็นเรื่องที่มีความสุขมากที่สุดแล้วในชีวิตของเขา เขาพึงพอใจแล้ว
ทันใดนั้นในถ้วยของเขาก็มีเห็ดเพิ่มเข้ามาหนึ่งชิ้น เสียงที่อ่อนโยนของอัครมเหสีฉู่ดังขึ้นใกล้ๆ หูของเขา
“เจ้าดูซูบผอมเหลือเกิน เจ้าก็ควรกินเยอะๆ นะ”
นอกจากเห็ดหนึ่งชิ้นแล้ว อัครมเหสีฉู่ยังตักข้าวให้เขาอีกหนึ่งถ้วย
รอยยิ้มของพระองค์นั้นดูจริงใจและเป็นกันเอง ไม่มีทีท่าของอัครมเหสีที่ดูสูงส่งเย่อหยิ่งเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกได้ถึงท่านแม่ที่ใจดี “รีบกินเข้าสิ เย็นแล้วก็ไม่อร่อยแล้วนะ”
“ขอบคุณขอรับ” เยี่ยเฟิงสะอื้น
เขาก้มหน้าลงและไม่กล้าหันไปมองพระมเหสีฉู่ เพราะกลัวว่าอัครมเหสีฉู่จะเห็นว่าเขาดูแปลกไป
ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้แขนเสื้อปกปิดหลังมือที่ถูกตัวเองกัดจนเป็นแผล แต่ตอนนี้เพราะความอ่อนโยนและอบอุ่นของอัครมเหสีฉู่ ทำให้เขาลืมเรื่องปกปิดรอยแผลไปสนิท ทำให้รอยแผลที่หลังมือทั้งสองของเขาปรากฏขึ้นมา
หลังฝ่ามือของเขานั้นมีรอยช้ำของฟันเต็มไปหมด ถึงแม้ว่าจะไม่มีเลือดออกมาแล้ว แต่ก็ยังน่าตกใจ
อัครมเหสีฉู่ก็รู้สึกตกใจมากเช่นกันเมื่อเห็นเข้าครั้งแรก
“มือของเจ้าเป็นอะไรไปหรือ?”
เยี่ยเฟิงรีบซ่อนมือของตัวเองและหลบสายตา “เป็นเพียงแค่บาดแผลเล็กๆ เท่านั้นที่กัดตัวเองเข้าโดยไม่ระวัง อีกสองวันก็หายดีแล้ว”
“บาดแผลหนักเช่นนี้ ทำไมถึงบอกว่าเป็นแค่บาดแผลเล็กๆ ล่ะ ซิ่งเอ๋อร์ รีบเข้าไปหยิบกล่องยาออกมา”
“เจ้าค่ะ”
“เด็กคนนี้ โตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักดูแลตัวเองดีๆ หากบาดแผลติดเชื้อจะทำเช่นไร?”
พระองค์จับมือของเขาเอาไว้และจัดการทำแผลให้เขาอย่างระมัดระวังและใส่ยาให้เขาอย่างห่วงใย ในดวงตาของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยความสงสาร
เดิมทีเยี่ยเฟิงต้องการปฏิเสธ แต่เขาเกรงว่าจะทำให้อัครมเหสีฉู่เสียใจ จึงได้ปล่อยให้พระองค์ทำแผล
นอกจากกู้ชูหน่วนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าคนที่กำลังทำแผลให้กับเขานั้น เหมือนกับกำลังดูแลสมบัติล้ำค่าที่กลัวว่าหากไม่ระวังจะทำให้เขาเจ็บเอาได้
เขารู้สึกชอบความรู้สึกที่ถูกดูแลเอาใจใส่เช่นนี้
“คนอื่นกัดเจ้าหรือ?”
“ไม่……ไม่ใช่”